สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 70.4 ข้ารู้มาโดยตลอด! (4)
ฉู่อี้อันเป็นคนที่นิ่งเงียบทั้งไม่ชอบเปิดเผย แม้ว่าจะเอ็นดูหรือตามใจนางอย่างไร แต่หากเป็นทางคำพูดคำจาแล้วกลับแสดงออกมาให้เห็นน้อยมาก
ฉู่สวินหยางฟังจบก็สะอื้นขึ้นมา น้ำตารินไหลอย่างกลั้นไม่อยู่ ยิ่งกอดแขนข้างนั้นของเขาแน่นขึ้นไปอีก
ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะรอเจี่ยงลิ่วระหว่างทาง เขาดูคล้ายกับเร่งรีบอยู่บ้าง ออกจากเมืองก็ตรงไปยังอารามเมตตาด้วยตัวคนเดียวทันที
เขามาที่นี่บ่อยครั้ง พวกอาจารย์ที่อารามต่างก็คุ้นเคยดี รู้ว่าคนแซ่ฟางไม่ชอบพบคนนอก จึงให้คนไปนำทางฉู่ฉีเฟิงไปยังเรือนที่คนแซ่ฟางพำนักอยู่
อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาแล้ว ยามนี้ประตูห้องของคนแซ่ฟางจึงได้เปิดอยู่
“ท่านแม่!” ฉู่ฉีเฟิงก้าวเท้าเข้าไปในประตู ร้องเรียกคนแซ่ฟางที่กำลังนั่งหลับตานับลูกประคำอยู่ข้างโต๊ะ
คนแซ่ฟางลืมตาขึ้น
แม่นมฉางที่จัดการความเรียบร้อยอยู่ภายในห้อง เพิ่งจะถือชุดเปลี่ยนอาบน้ำไม่กี่ตัวออกมา เมื่อพบเข้ากับฉู่ฉีเฟิงก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เบิกบานทันที “ท่านชายมาเจ้าค่ะ!”
ฉู่ฉีเฟิงก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไป สะบัดเสื้อคลุมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างนาง
คนแซ่ฟางสีหน้าไม่ค่อยดี เผยใบหน้าขาวซีดคล้ายคนป่วยอยู่กลายๆ
“ได้ยินว่าท่านแม่ไม่ค่อยสบาย ข้าจึงมาเยี่ยมเยือนท่านเสียหน่อย!” ฉู่ฉีเฟิงมองนาง ทั้งขมวดคิ้วขึ้นเลือนราง
แม่นมฉางเห็นอย่างนั้น ก็ก้มหน้าตอบด้วยสีหน้าละอายใจ “ล้วนเป็นเพราะบ่าวเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ที่บ้านของบ่าวเกิดเรื่องเร่งด่วนเล็กน้อย พระชายาสงสาร จึงอนุญาตให้บ่าวลงเขากลับไปพักที่บ้านช่วงหนึ่ง ไม่คาดคิดว่ากลับชักช้าจนทำให้พระชายาป่วยเช่นนี้เจ้าค่ะ”
แม่นมฉางติดตามคนแซ่ฟางมาหลายปี แม้ว่านิสัยของคนแซ่ฟางจะดูเงียบขรึม ความสัมพันธ์ของทั้งสองคล้ายจะไม่มีอันใดเป็นพิเศษ ทว่าก็ยังคงมีความผูกพันของนายกับบ่าวอยู่บ้าง
ขณะที่แม่นมฉางพูด ขอบตาก็แดงรื้นขึ้นอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียหน่อย เป็นข้าเองที่ลืมปิดประตูยามดึก จึงถูกลมหนาวนิดหน่อยเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้หรอก” คนแซ่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและใจเย็น
แม่นมฉางเห็นนางพูดแก้ต่างแทนตน ก็ยิ่งซาบซึ้งขึ้นมา เร่งร้อนเช็ดน้ำตากล่าว “ท่านชายยากที่จะมาเยือน เดี๋ยวบ่าวจะเข้าไปดูในห้องครัวสักครู่ ในเมื่อมาแล้ว ท่านก็ทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนพระชายาก่อนแล้วค่อยไปเถิดนะเจ้าคะ!”
คนแซ่ฟางมักมีท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับลูกสาวและลูกชายทั้งสองคน แม่นมฉางเห็นเช่นนั้นจึงร้อนใจแทน ดังนั้นยามนี้จึงไม่สนใจฐานะอันใด ก็ตัดสินใจกล่าวออกไป
ขณะที่นางพูด ก็คล้ายกับกลัวว่าจะถูกฉู่ฉีเฟิงปฎิเสธ จึงรีบร้อนกล่าวอีกครั้ง “ถือโอกาสยามนี้ที่ยังไม่เย็นมาก บ่าวจะรีบไปยกมา ในฤดูร้อนเวลากลางวันจะยาวนาน อย่างไรก็ลงเขาทันก่อนมืดแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางพยายามเช่นนี้ ก็ไม่คิดปฏิเสธอันใด กล่าวด้วยแย้มยิ้มเล็กน้อย “ได้! อีกสักพักเจี่ยงลิ่วจะเข้ามา ข้าให้เขานำพวกเสื้อผ้าและหยูกยามาด้วย รบกวนแม่นมฉางไปดูทางนั้นก่อน ช่วยพาเขานำของไปเก็บหน่อยเถิด!”
“เจ้าค่ะๆ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” แม่นมฉางตอบซ้ำไปซ้ำมาอย่างดีอกดีใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย…
แม้ว่าชายารองของตนจะเข้าถึงยาก แต่ยังดีที่เจ้านายทั้งสองล้วนเอาใจใส่ ความสัมพันธ์แม่ลูก แม้จะนับว่าห่างเหินอยู่บ้าง แต่พวกเขากลับไม่เคยเห็นชายารองเป็นคนนอกแต่อย่างใด
แม่นมฉางเดินยิ้มออกไปอย่างสุขใจ
ฉู่ฉีเฟิงทอดสายตามองตามแผ่นหลังของนางออกจากเรือนไป เวลานี้จึงค่อยเก็บสายตาหันกลับมามองคนแซ่ฟางอีกครั้ง กล่าวถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “อาการบาดเจ็บของท่านแม่ดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
ขณะที่พูดก็ควักขวดกระเบื้องสีน้ำตาลสองอันออกมาจากอกส่งออกไป “ทั้งสองขวดนี้เป็นยาที่รักษาอาการเจ็บปวดโดยเฉพาะ คงจะช่วยรักษาอาการเจ็บปวดของท่านได้บ้าง!”
“แผลเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องมาใส่ใจถึงเพียงนี้” คนแซ่ฟางกล่าว กลับไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งที่ลูกชายดูแลเอาใจใส่ปรากฏออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
ถึงกระนั้นขวดยาทั้งสองนางก็รับมาไว้ เก็บเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นจึงค่อยกล่าว “ภารกิจของเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วรึ? ไม่ได้เกิดเรื่องผิดพลาดอันใดใช่หรือไม่? ในวัง…”
“ท่านแม่…” ฉู่ฉีเฟิงมองหน้านาง จู่ๆ ก็ตัดบทนางด้วยความขุ่นเคืองอย่างทันที
หลายปีมานี้ เขาปฏิบัติตัวกับคนแซ่ฟางอย่างสุภาพทั้งยังเคารพนอบน้อมมาโดยตลอด
ทว่าในยามนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาเสียอาการเผลอขึ้นเสียงแข็งกร้าวออกมาใส่นาง
เมื่อเห็นหญิงที่เผยสีหน้าเรียบนิ่งตรงหน้า ดวงตาของฉู่ฉีเฟิงกลับปรากฏประกายแสงดูสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก หากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะอดกลั้นไว้อย่างถึงที่สุด อยากจะกดความรู้สึกที่พรั่งพรูขึ้นมาจากหัวใจลงไปให้หมด ทำเป็นว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
แต่ว่าผู้หญิงที่ประกายสายตาเย็นเยียบตรงหน้า เผยใบหน้าเย็นชาเช่นนี้ ในช่วงขณะนั้น สิ่งที่ถูกเก็บกดไว้มานานในใจเขา ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ควบคุมไว้มาเนิ่นนาน ราวกับถูกกระตุ้นขึ้นมา ชั่วพริบตาความโมโหก็ปะทุขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ก่อนที่จะพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนี้ ท่านแม่ควรจะถามถึงความปลอดภัยของสวินหยางก่อนสักนิดมิใช่หรอกหรือ?” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว แม้ว่าเขาจะไม่อยากทำให้คนแซ่ฟางโมโห แต่ก็ไม่อาจยับยั้งความรู้สึกได้อีกแล้ว “วันนั้นที่เมืองฉู่ เพื่อจะช่วยข้าแล้ว ท่านก็ทิ้งนางโดยไม่สนอันใด แม้ว่าจะมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็ยังไม่สนใจความเป็นความตายของนาง? แม้แต่ถามสักคำก็ไม่มีอย่างนั้นรึ?”
วันนั้นเขาไปเป็นกองหนุนในการขนเสบียง แต่กลับติดอยู่ที่หนองน้ำ ในช่วงวิกฤตนั้น เป็นคนแซ่ฟางที่นำทหารเทพมาช่วยเขา ทำให้เขารอดจากวิกฤตครั้งนั้นมาได้
แต่หากจะพูดออกมาตามตรง สถานการณ์ในยามนั้นของฉู่สวินหยางกลับอันตรายกว่าเขามาก
ช่วงเวลาที่สำคัญ ผู้ที่คนแซ่ฟางมองเห็นกลับมีเพียงเขา
เขารู้ดีว่าแม้ตัวเองจะคร่ำครวญไปก็ไม่ได้อะไร แต่ชั่วขณะที่ถูกช่วยจากปัญหานั้น ในใจกลับโมโหขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด…
คล้ายกับเขาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉู่สวินหยางควรจะได้
ไม่มีใครรู้ว่าในเวลานั้นที่เขาเร่งไปที่บนหน้าผา มองไปที่หุบเขาว่างเปล่าด้านล่างเป็นความรู้สึกอย่างไร หัวใจทั้งดวงราวกับถูกอะไรบางอย่างทับแตกจนไม่เป็นชิ้นดี
หากว่าวันนั้นไม่มีเหยียนหลิงจวิน หากว่าวันนั้นอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นเช่นนั้น…
ความคิดเช่นนี้เขาไม่กล้าที่จะคิดมาโดยตลอด เพราะมักคิดว่า หากวันนั้นมาถึงอย่างจริงๆ บางที…
เวลานี้เขาก็คงไม่มีความกล้าที่จะมีชีวิตยืนอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว
ฉู่ฉีเฟิงมีท่าทีโกรธเคือง ภายใต้ความพยายามอดกลั้น ดวงตาที่มักจะมีความอ่อนโยนอยู่ตลอดนั้น ก็ปรากฏน้ำแข็งชั้นหนาเคลือบอยู่อย่างเลือนราง ความรู้สึกนั้นกลับเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรง
คนแซ่ฟางมองเขามาโดยตลอด เดิมทีตอนที่เขาย้อนถามก็ยังไม่รู้สึกอันใดมาก ทว่ายามนี้พอเห็นแววตาของเขาแล้วความรู้สึกที่จริงจังทั้งแทบจะบ้าคลั่งเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้นมาในฉับพลัน
“ฉีเฟิง!” จู่ๆ นางก็ตกใจ เบิกตากว้าง ทั้งกล่าวอย่างตะลึง “แม้ว่ายามนั้นข้าจะลำเอียง แต่เจ้าคิดว่าระหว่างพี่ชายและน้องสาวอย่างพวกเจ้า ข้าจะควรต้องเลือกอย่างไรเล่า?”
ระหว่างพี่ชายน้องสาว ตามความคิดของคนทั่วไป แน่นอนว่าย่อมต้องรักษาผู้ชายเอาไว้
ฉู่ฉีเฟิงได้ยินคำนี้ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกสบายใจ แต่ความโมโหนั้นกลับยิ่งสุมอยู่ในอก บีบจนเขาแทบจะบ้าคลั่งออกมา
“พี่ชายน้องสาวอะไรกัน? ใครกับใครเป็นพี่น้องกัน?” เขาแค่นยิ้ม ดูคล้ายสิ้นหวังอย่างแปลกประหลาด ปิดตาลงไปทั้งกำหมัดแน่น คำพูดทุกคำที่ออกมาจากปากล้วนแต่เต็มไปด้วยความเหน็บแนม “ท่านแม่ ท่านคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ งั้นรึ? ความจริงแล้ว ตั้งแต่แรก…ข้าก็รู้มาโดยตลอด!”
————————