สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 71.2 ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายของผู้หญิงคนนั้น! (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 71.2 ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายของผู้หญิงคนนั้น! (2)
ฉู่ฉีเฟิงจึงพูดต่อ “วันหลังอย่าพูดว่าใครติดค้างใครแบบนี้อีกเลย เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวมันเองอยู่แล้ว เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครเข้าใจมันดียิ่งกว่าเสด็จแม่แล้วล่ะขอรับ ถึงแม้จะไม่ใช่ทำไปเพราะเหตุผลอื่น แต่เสด็จพ่อ…เขาเองก็ไม่เคยทำผิดต่อท่านเลยนี่ ท่านก็ถือเสียว่าเป็นการชดใช้บุญคุณที่เขาคอยดูแลเลี้ยงดูข้ามาตลอดหลายปีนี้เถิดขอรับ ขอให้ท่านช่วยสนใจเอาใจใส่เขาบ้าง ส่วนฉู่สวินหยาง…นางไม่ได้ทำอะไรผิดเลย!”
“ถ้าหากว่าตอนแรกไม่ได้…” ก่อนหน้านี้ที่พูดถึงฉู่อี้อัน อารมณ์ของคนแซ่ฟางเริ่มกลับมาคงที่แล้ว แต่ตอนหลังที่เขาพูดถึงฉู่สวินหยาง มันก็ทำให้คนแซ่ฟางเสียอาการขาดการควบคุมไปอีกครั้ง ในแววตาเผยให้เห็นความรู้สึกที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นแววตาเศร้าโศกของผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยน้ำเสียงแหลมแสบหู
หนึ่งประโยคที่พูดพลั้งออกจากปากไป ทำให้นางราวกับคิดอะไรขึ้นได้จึงเงียบไม่พูดประโยคหลังต่อ น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากนั้นก็ใจเย็นลงเยอะพอสมควร พลางพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “การที่นางมีชีวิตเหลือรอดมาได้ก็เป็นโชคดีของนางแล้ว นางยังมีสิทธิ์อะไรมาน้อยใจ มาบอกตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดอีก?”
นางเป็นคนยึดมั่นเกินไป ดื้อดึงมากเหลือเกิน
ไฟร้อนแห่งความหงุดหงิดในใจที่ฉู่ฉีเฟิงพยายามกลั้นเอาไว้อยู่นั้นก็ถูกนางยั่วยุจนถึงขีดสูงสุด
“เสด็จแม่ขอรับ วันนี้ข้าถือซะว่าข้าได้อธิบายให้ท่านฟังทุกอย่างรู้เรื่องชัดเจนหมดแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนแตะต้องนางทั้งนั้น หากท่านยังสนใจความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างเราอยู่ ท่านก็ถือเสียว่าเห็นแก่หน้าข้า อย่าได้ไปทำให้นางลำบากใจอีกเลยนะขอรับ” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว เลือดสูบฉีดจนสีหน้าแดงก่ำ ใบหน้าอันสง่างดงามนั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็นโหดเหี้ยม
คนแซ่ฟางตกใจผวา
ตลอดหลายปีมานี้ นางเพิ่งเคยเห็นฉู่ฉีเฟิงเผยสีหน้าอารมณ์จนแทบจะเรียกได้ว่าดุร้ายโหดเหี้ยมเป็นครั้งแรก
หัวใจของนางสั่นเทิ้ม ทั้งรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัว แต่ความรู้สึกที่มีมากกว่านั้นคือความโมโหโกรธเกรี้ยว พลางพูดตะคอกเสียงดังใส่ “หากรู้แต่แรกว่านางจะทำให้เจ้าเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ ตอนนั้นข้าน่าจะปล่อยให้นางตายไปพร้อมกับแม่ของนางก็ดี!”
ประโยคที่นางพูดออกมานั้นมันร้ายแรงมากเหลือเกิน อย่างน้อย…
มันก็เกินความคาดหมายของฉู่ฉีเฟิงไปมากแล้ว
ฉู่ฉีเฟิงอึ้ง มองหน้านางอย่างตกตะลึง
“นางแย่งความรักที่เจ้าควรได้รับไป แย่งชิงตำแหน่งของเจ้า นางไม่คู่ควรเหมาะสมกับความหวังดีและเป็นห่วงของเจ้าเลยสักนิดเดียว” คนแซ่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน ถึงขนาดมองฉู่ฉีเฟิงด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความขอร้องอ้อนวอน “ฉู่ฉีเฟิง ถือซะว่าข้าขอร้องเถอะนะ ถึงแม้ว่านางกับเจ้าจะไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ กัน แต่ระหว่างเจ้ากับนาง…”
“ไม่…” ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ปล่อยให้นางพูดจบ เขาก็พูดแทรกนางขึ้นทันที “ในชีวิตนี้ข้ายอมรับนางแล้ว นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า เมื่อก่อนข้าเคยปฏิบัติต่อนางเยี่ยงไร อนาคตก็จะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในจุดๆ นี้มันจะไม่มีวันเปลี่ยนไป”
“ข้ากลัวเสียแต่ว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าจะควบคุมหัวใจตัวเองเอาไว้ไม่ได้!” คนแซ่ฟางยิ้มเย็นชา รอยยิ้มนั่นแฝงไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ต้องพูดถึงหรอกว่าเจ้ากับนางเป็นพี่น้องกันแท้ๆ หรือเปล่า เพียงแค่ชาติกำเนิดของนางมันก็เพียงพอต่อการทำลายเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าสงสัย เจ้าเองก็คงส่งคนไปสืบมาแล้วใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อหาเอาหลักฐานทั้งหมดมาไม่ได้ แต่มันก็พอจะทำให้รู้อะไรมาบ้าง หากไม่ใช่เป็นเพราะเหตุการณ์สุดวิสัย เจ้าคิดว่าพ่อของเจ้าจะเลี้ยงนางไว้ข้างกายทำไมเล่า? วันนี้ที่ข้าพูดให้ฟังตอนนี้ หากเจ้ายังคิดที่จะดึงดันทำตามใจตัวเองอยู่อีก ข้าก็คง…”
นางสังหารฉู่ฉีฮุยได้ เพราะฉะนั้นแล้วฉู่สวินหยางก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงหรอก
อีกอย่างหากฟังจากน้ำเสียงดูจากอารมณ์ที่นางพูดแล้ว นางไม่ได้พูดเล่นแน่ๆ
ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนดื้อรั้น ส่วนคนแซ่ฟางนั้น…
สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่านางเป็นคนโง่เง่าไร้ปัญญา
“ที่จริงแล้ว…” จู่ๆ ฉู่ฉีเฟิงก็หันหน้ากลับไปมองนาง ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาแล้วค่อยๆ เปล่งออกมาทีละคำด้วยถ้อยคำชัดเจนว่า “ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายของผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมล่ะ!”
“ฉู่ฉีเฟิง!” คนแซ่ฟางตกใจจนชะงักไป จากนั้นก็ตบมือลงไปบนโต๊ะอย่างแรงแล้วตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
นางเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ง้างมือขึ้นหมายจะตบลงไปบนหน้าของฉู่ฉีเฟิง
ฉู่ฉีเฟิงไม่ถอยซ้ำยังไม่ป้องกัน เขาเพียงแต่มองนางอย่างนิ่งสงบ
มือของนางยกขึ้นไปกลางอากาศได้ครึ่งทาง แต่เมื่อเห็นแววตาเยาะเย้ยและเยือกเย็นของเขานั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มือข้างนั้นก็ค่อยๆ ร่วงลง
“อย่าพูดซี้ซั้วแบบนี้!” เวลาผ่านไปนานพอสมควร นางจึงกัดฟันกรอดแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ฉู่ฉีเฟิงมองแผ่นหลังของนาง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ
“ข้าไม่ได้อยากอกตัญญูต่อท่านหรอกนะขอรับ และข้าก็ไม่อยากให้เสด็จพ่อเสียใจด้วย เพราะงั้นท่านอย่าได้บีบบังคับข้าเลย อย่าให้ข้าทำเรื่องอะไรที่มันไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นมันจะดีหรือร้ายเลยขอรับ” ฉู่ฉีเฟิงพูด
“ท่านอย่าได้พยายามเข้ามาบังคับวางแผนชีวิตข้า อย่าได้มาควบคุมความรู้สึกของข้า ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าหากท่านยื่นมือเข้ามายุ่งอีก ข้าก็คงจะรับประกันไม่ได้ว่าหลังจากนี้ข้าจะทำอะไรต่อ” น้ำเสียงของฉู่ฉีเฟิงทั้งเบาบางและนิ่งเรียบ แต่เมื่อเสียงนั้นลอยเข้ามาในหูแล้ว มันกลับทำให้คนที่ได้ยินนั้นไม่อาจมองข้ามไปได้เลย
ริมฝีปากของคนแซ่ฟางสั่นระริก มองลำตัวด้านข้างของเขาภายใต้แสงแดดนั่น ก็รู้สึกหวาดกลัวไปทั้งตัวและจิตใจ
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบจนแทบจะน่ากลัว
เวลาผ่านไปนานพอสมควร แสงแดดด้านนอกก็เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้องมากยิ่งขึ้น
ฉู่ฉีเฟิงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “เสด็จแม่ยังบาดเจ็บอยู่ ท่านพักผ่อนเสียเถิดขอรับ ข้าขอตัวก่อน!”
พูดจบเขาก็ดึงชายกระโปรงขึ้นแล้วก้าวท้าวเดินออกจากเรือนไปในทันที
“ฉู่…” คนแซ่ฟางกำลังจะตามออกไป ทว่าสุดท้ายก็หยุดฝีเท้าลงตรงที่ประตู
แม่นมฉางที่คอยอยู่ด้านนอกเองก็เตรียมสำรับอาหารกลางวันเสร็จแล้ว พลางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีจนแทบจะชนเข้ากับฉู่ฉีเฟิง
“ท่านจวิ้นอ๋อง!” แม่นมฉางยิ้มแย้มทักทายเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงเย็นชาของเขานั้น ลิ้นของนางก็แข็งพูดอะไรไม่ออกมาในทันที
ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับเดินตัวปลิวออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้านางเลยสักนิด
แม่นมฉางเพิ่งเคยเห็นเขาเย็นชาโหดเหี้ยมแบบนี้เป็นครั้งแรก นางอึ้งตะลึงจนยืนค้างอยู่กับที่นานพอสมควร อุตส่าห์ได้สติกลับมา เงยศีรษะขึ้นก็เห็นเข้ากับคนแซ่ฟางในใบหน้าเย็นชาโหดเหี้ยมจับขอบประตูอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน
ราวกับว่าสองแม่ลูกคู่นี้ต่างบ้าคลั่งขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน
แม่นมฉางเองก็ตกใจที่จะต้องเข้าร่วมสงครามเย็นนี้ด้วย นางเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ขมวดคิ้วเป็นปมพูดขึ้นว่า “พระชายาเจ้าคะ ท่านอ๋องไปไหนแล้วล่ะเจ้าคะ? ไม่ได้บอกว่าจะ…”
คนแซ่ฟางเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว นางหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง “ข้าจะไปสวดมนต์ อย่าเข้ามารบกวนเชียว!”
พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องทันทีด้วยความรวดเร็วโดยไม่รอให้แม่นมฉางตอบ
แม่นมฉางยืนอยู่หน้าประตูอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวังทุกข์ทรมานใจ
——————————-