สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 72.1 ยอมได้งั้นเหรอ? (1)
“ทำไมถึงถามแบบนั้นเล่า?” ฉู่ฉีเฟิงเงยหน้ามองนางหนึ่งที นิ้วมือที่ออกแรงกดลงไปบนเตียงขยับขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย
ที่ผ่านมาพวกเขาสองพี่น้องเวลาอยู่ด้วยกันต่างก็เป็นคนง่ายๆ มาตลอด เหมือนกับพี่น้องแท้ๆ แบบนั้นก็ไม่ปาน
แต่ว่าวันนี้หลังจากที่เขาได้คุยถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งกับคนแซ่ฟางแล้ว มันรู้สึกคล้ายกับว่าบางอย่างถูกทำลายลงไป ฉู่สวินหยางอาจจะรู้สึกไม่ได้ แต่ทว่าในจิตใจของเขานั้นกับรู้สึกมีช่องว่างห่างเหินขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเขาหันไปมองนางอีกครั้งตอนนั้น มันก็มีความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปลูบผมของนาง แต่ในครั้งนี้เขากลับต้องอดกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้
ฉู่สวินหยางขลุกตัวอยู่ในผ้าห่ม นางนั่งกอดเข่ายิ้มแล้วกล่าวว่า “ที่จริงเสด็จพี่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะเจ้าคะ หลายปีมานี้เสด็จแม่เองก็ลำบากมากพอแล้ว ทำไมถึงต้อง…”
นางพูดไปจู่ๆ ก็หยุดพูดลง ยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ก็ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นเมื่อชาติที่แล้ว นางก็ยังคิดว่าคนแซ่ฟางไม่ควรที่จะยอมทอดทิ้งนางแล้วไปช่วยฉู่ฉีเฟิง ยิ่งไปกว่านั้น…
ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี คนแซ่ฟางกับนางไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด
ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว ทำไมนางยังต้องหวังให้อีกฝ่ายไปต่อสู้ไปพยายามเพื่อนางอีกเล่า?
อีกอย่างหากต้องพูดแล้ว…
คนแซ่ฟางช่วยชีวิตฉู่ฉีเฟิงเอาไว้ นางเองก็รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจเพราะเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ส่วนเหยียนหลิงจวิน…
นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของนางคนเดียวเท่านั้น
สำหรับเรื่องของคนแซ่ฟาง ก่อนหน้านี้ฉู่ฉีเฟิงเงียบไม่ยอมปริปากพูดมาตลอด แต่เมื่อลองคิดทำความเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ตอนที่เขาไปเมืองชางวันนั้น ฉู่สวินหยางเองก็คาดเดาเหตุและผลของเรื่องนั้นได้ทันที
นอกจากคนแซ่ฟางแล้ว ไม่มีใครทำให้เขาปิดปากเงียบไม่กล้าพูดกลัวจะหลุดปากแบบนี้หรอก
สำหรับเรื่องนี้แล้ว ฉู่ฉีเฟิงเองก็ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายเช่นเดียวกัน ถึงแม้ภายในใจของเขามันจะเจ็บปวดแค้นเคืองมากสักเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงพยายามยิ้มออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางพูดว่า “กินข้าวก่อนเถิด เดี๋ยวกลับไปถึงบ้านทุกอย่างมันก็จะดีเอง”
“เจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางพยักศีรษะ ลุกขึ้นไปล้างหน้า ในเวลานั้นชิงเถิงก็สั่งให้ข้ารับใช้อีกสองคนเข้ามาจัดโต๊ะวางสำรับอาหาร
เมื่อรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จ ฉู่ฉีเฟิงก็ขอตัวกลับไปก่อน
ทว่าเขาไม่ได้กลับไปยังเรือนจิ่นโม่ แต่เลี้ยวตัวกลับไปหาฉู่อี้อัน
“เสด็จพ่อ!” ฉู่ฉีเฟิงผลักประตูเดินเข้าไป
“อืม!” ฉู่อี้อันเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะหนังสือที่นั่งอยู่ ชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้างพลางเดินออกมาแล้วนั่งลงด้านข้างเขา
“ครั้งนี้ข้าทำให้ฉู่สวินหยางเข้ามาลำบากไปด้วย ทำให้เสด็จพ่อเป็นห่วงแล้วขอรับ” ฉู่ฉีเฟิงพูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด
ฉู่อี้อันยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมา ค่อยๆ รินน้ำชาให้ตนเอง ไม่พูดตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เงียบอยู่นานจู่ๆ ก็พูดถามขึ้นว่า “เรื่องของรุ่ยชินอ๋องทางนั้นเจ้ามั่นใจมากแค่ไหน?”
“มั่นใจเต็มร้อยขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวพลางทำสีหน้าจริงจัง แววตามืดมนจนเผยให้เห็นแสงเงาวับส่องประกายขึ้นมา
เขาล้วงจดหมายออกมาจากแขนเสื้อสองฉบับแล้วยื่นส่งให้ฉู่อี้อัน
ฉู่อี้อันเปิดออกแล้วส่องไฟอ่านคร่าวๆ ไปหนึ่งรอบ จากนั้นริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาให้เห็นพลางพูดขึ้นว่า “เขานี่ช่างกล้าคิดกล้าทำจริงๆ นะ!”
เขาหยิบที่ครอบโคมไฟบนโต๊ะออกแล้วนำจดหมายสองฉบับนั้นเผาทิ้งไป
เปลวไฟม้วนขึ้นมา แสงไฟสะท้อนลงบนใบหน้าของเขา ยิ่งทำให้มองไม่ชัดเลยว่าใบหน้าแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวนั้นกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่
ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของอีกฝ่าย เขาเพียงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เมื่อปีนั้นเมืองหลวงมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งครอบครัวรวมถึงตัวฮ่องเต้ก็ยังครองตำแหน่งอยู่ ครอบครัวของรุ่ยชินอ๋องเสียหายมหาศาล แถมฉู่อี้เจี่ยนเองก็เกือบต้องสังเวยชีวิตไปเพราะเหตุการณ์นั้น ก่อนหน้านี้พวกเราประมาทเกินไป ที่จริงหากต้องพูดอย่างละเอียดแล้ว การที่เขาโกรธแค้นเพราะเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องที่สมควร”
สำหรับสิ่งที่ฉู่เป้ยกระทำลงไปเมื่อตอนนั้น ฉู่อี้อันเองก็ไม่ขอเข้าร่วมบทสนทนาด้วย
“เวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว หลักฐานของเรื่องนั้นก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ถ้าหากต้องปลอมแปลงสิ่งที่คล้ายๆ กันขึ้นมา ข้าเองก็มั่นใจว่าตัวเองสามารถทำได้ขอรับ” ฉู่ฉีเฟิงไม่รอให้อีกฝ่ายตอบแล้วพูดต่ออีกว่า “ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว”
“ไม่ได้!” ฉู่อี้อันเม้มปากแน่นพูดปฏิเสธขึ้นว่า “อย่าเพิ่งทำแบบนั้น หากการคาดการณ์ของข้าไม่ผิด อีกไม่กี่วันให้หลังทางหนานฮวาจะส่งจดหมายประนีประนอมมา ถึงตอนนั้นฮ่องเต้หนานฮวาจำเป็นต้องส่งขบวนคนมาสะสางและจัดการเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการประนีประนอมกันครั้งนี้แน่นอน หากต้องการจะเล่นงานพวกนั้น เก็บพวกเขาไว้ก่อน มันจะเป็นประโยชน์กับเราในภายหลัง!”
“เสด็จพ่อหมายความว่า…” ฉู่ฉีเฟิงกลั้นหายใจเล็กน้อย
“หลายปีมานี้เขาแอบซ่อนตัวอย่างลึกลับ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่อดทนมาก ครั้งนี้เรื่องเกิดขึ้นที่นี่ เขาไม่มีนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ รอความตายเป็นแน่ เมื่อมีคนของหนานฮวาเข้ามาในวัง นั่นก็ถือเป็นโอกาสอันดีงามมากที่สุด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย” ฉู่อี้อันกล่าว
“แต่ว่า…” ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับลังเล “ข้าน่ะอดทนได้ กลัวเสียแต่ว่าฉู่สวินหยางนางคิดจะทำอะไรขึ้นมา!”
หากเป็นเมื่อก่อน ฉู่สวินหยางกับพวกเขาสองพ่อลูกคงคิดเหมือนกันเป็นแน่ แต่ตอนนี้มันมีเรื่องเหยียนหลิงจวินเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ฉู่ฉีเฟิงเองไม่สามารถรับประกันได้ทั้งหมด
แววตาของฉู่อี้อันมืดมนลง เขายกถ้วยชาขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ
ฉู่ฉีเฟิงมองสีหน้าของเขา ถึงแม้อารมณ์ท่าทางบนใบหน้านั้นจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
เป็นอย่างที่คาดคิด ฉู่อี้อันนิ่งเงียบไปชั่วครู่จากนั้นก็เงยหน้ามองเขาพลางพูดว่า “เรื่องของน้องสาวเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเจ้าอย่ายื่นมือเข้าไปยุ่ง เจ้าอาจจะคิดว่าข้าตามใจนางมากเกินไป ทำแบบนั้นไม่แน่อาจจะเป็นผลดีกับนางก็ได้ แต่ว่า…”
เขาพูดไปได้ครึ่งหนึ่งจู่ๆ ก็หยุดลง เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง คิดวิเคราะห์อยู่นานแล้วถึงค่อยตัดสินใจพูดต่อ “ในเมื่อนางตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ข้าก็วางแผนว่าจะทำให้นางสมหวัง อายุของนางตอนนี้เองก็ถึงเวลาที่ควรจะออกเรือนแล้วเหมือนกัน”
ถึงแม้เขาจะเดาออกตั้งนานแล้วว่าฉู่อี้อันรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างไร แต่เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาจากปากด้วยตัวเอง หัวใจของฉู่ฉีเฟิงก็หดยวบลงแล้วรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในทันที
“เสด็จพ่อ!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยปาก พยายามบังคับให้สีหน้าตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด “ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกเราเผชิญกับอันตรายรอบด้าน แต่เมื่อผ่านเรื่องนี้มาแล้ว สวินหยางเองก็ถือว่าตกอยู่ในสถานการณ์ปากเหวอันตรายเหมือนกันนะขอรับ ส่วนสถานการณ์ของแคว้นหนานฮวาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าทางเราสักเท่าไรเลย หากส่งตัวนางไปสถานที่ห่างไกลแบบนั้น…อาจจะเกิดเรื่องที่ท่านและข้านึกไม่ถึงขึ้นได้นะขอรับ”
“ในเมื่อทั้งสองฝั่งต่างก็อันตรายเหมือนกัน แล้วการที่ปล่อยให้นางอยู่ที่ใดที่หนึ่งมันจะแตกต่างกันตรงไหนเล่า?” ทว่าฉู่อี้อันกลับตอบมาแบบนี้
เขาเบนสายตาหันไปมองบานหน้าต่างอันไกลลิบตรงนั้น
—————————-