สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 77.3 พบกันอีกครั้ง (3)
ฉู่สวินหยางเดินเร็วมาก เจี๋ยหงก็รีบก้าวตาม รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกสองก้าวเพื่อกางร่มให้นาง
คนทั้งสองเดินผ่านม่านน้ำ ก้าวข้ามสายน้ำที่ไหลอยู่ด้านล่าง กำลังจะก้าวออกไป พลันได้ยินเสียงไอต่ำลึกจากด้านหน้าเล็กน้อยดังขึ้น
เท้าของฉู่สวินหยางเพิ่งจะเหยียบอยู่ระหว่างก้อนหินที่อยู่ระหว่างสายน้ำ เลือดในกายและความคิดราวกับถูกทำให้แข็งค้างไปหมดทั้งตัว
ในชั่วขณะนั้น นางแทบจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า เพียงแต่ได้ยินเสียงอิ้งจื่อที่กล่าวขึ้น
“นายท่านสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยเสียก่อน ต้องระวังอย่าให้รับความเย็นสัมผัสร่างกาย ข้าจะไปหยิบร่มมาให้นะเจ้าคะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของนาง มีเสียงของเชินหลานดังขึ้นตามมาติดๆ “เอ๊ะ! ท่านหญิง”
ความคิดที่กระจัดกระจายของฉู่สวินหยางถูกรวบรวมกลับมาแล้ว ครานี้จึงได้เงยหน้าช้อนตาขึ้นมองไปอย่างระมัดระวัง
ตรงข้าม เหยียนหลิงจวินเพิ่งจะลงจากหลังม้า ไม่มีเวลาสังเกตความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ เมื่อได้ยินจึงเงยหน้ามองข้ามมาด้วยความตกตะลึง
ฉู่สวินหยางยังคงยืนอยู่ใต้ม่านน้ำนั้น เจี๋ยหงถือร่มคันหนึ่ง สายน้ำที่ตกลงมาจากที่สูงกระทบลงบนร่ม กระซ่านกระเซ็นเป็นละอองน้ำใหญ่เล็กนับไม่ถ้วน ทำให้สายตาเบื้องหน้าของคนทั้งสองพร่าเลือน
ละอองน้ำที่มาจากทุกๆ ด้านทำให้กระโปรงของฉู่สวินหยางเปียกชุ่ม หยดลงเป็นสายมาถึงปลายเท้า
เหยียนหลิงจวินขมวดคิ้วอึดใจหนึ่ง รีบเดินเข้ามาหนึ่งก้าว
“เอ่อ…” อิ้งจื่อร้อนใจ อยากจะเข้าไปขวางแต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
เหยียนหลิงจวินก้าวขึ้นไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง กุมข้อมือข้างหนึ่งของฉู่สวินหยางเอาไว้ ดึงนางออกจากมากใต้ม่านน้ำนั่น
“เหม่ออะไรกันเล่า? เสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว” ดึงฉู่สวินหยางออกมาอีกด้านหนึ่ง เหยียนหลิงจวินต่อว่าเสียงเบาพร้อมกับทำทีจะก้มตัวลงไปสะบัดน้ำที่เปื้อนกระโปรงของนางออกให้
แต่ยังไม่ได้ทันก้มลงไป กลับถูกสายน้ำที่กระจายออกมาทำให้หายใจติดขัด เขารีบหันกายกลับไป ใช้มือปิดปากแล้วไอเสียงต่ำ
ฉู่สวินหยางวิ่งออกมาสองก้าวอ้อมมายืนอยู่ข้างหน้าเขา ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้เขา พร้อมกับถามเสียงแหบพร่าว่า “ท่านเป็นอะไร?”
“ไม่มี…” เหยียนหลิงจวินคิดจะโบกมือ แต่ทันทีที่อ้าปากกลับไอขึ้นมาอีกอย่างควบคุมไม่ได้ ในความเร่งรีบนี้เขาจึงกุมมือของฉู่สวินหยางพร้อมๆ กับผ้าเช็ดหน้าที่นำมาปิดปากและจมูก
เมื่อเขาจับมือนางนั้น ฉู่สวินหยางรู้สึกยิ่งปวดใจ…
ความเย็นจากมือของเขาทำให้คนตระหนกตกใจยิ่งนัก เวลานี้ยังไม่ถึงเดือนแปด กำลังเป็นช่วงฤดูร้อนที่สุดของปี แต่มือของเขาไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย รู้สึกถึงกระดูกได้อย่างชัดเจนจากมือที่กุมนิ้วมือของนางอยู่ สัมผัสนั้นของเขาทำให้ฉู่สวินหยางหวาดกลัวจนอยากร่ำไห้
อิ้งจื่อรีบหยิบขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อด้วยความร้อนใจ หยิบยาลูกกลอนสีดำสองเม็ดยื่นมาให้
“นี่เจ้าค่ะนายท่าน”
เหยียนหลิงจวินแทบจะไม่มีเวลาที่จะดูให้ชัดเจน ยื่นมือออกมารับแล้วส่งเข้าปากกลืนลงไป
มืออีกข้างหนึ่งของเขาจับมือของฉู่สวินหยางไว้ตลอดเวลา ด้วยเหตุที่ไออย่างหนัก และทุกครั้งๆ ที่ไอออกมานั้นฉู่สวินหยางจะรู้สึกได้ถึงแรงมือของเขาที่บีบนิ้วมือของนางจนเจ็บ
อิ้งจื่อเห็นนางมีท่าทางที่ช่วยตนเองไม่ได้ จึงรีบอธิบายเสียงเบาว่า “ระยะนี้ร่างกายของนายท่านยังต้องบำรุงอีกสักหน่อยเจ้าค่ะ รับความเย็นไม่ได้”
คำพูดของนางพูดราวกับเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องอะไรกันทำให้คนที่แข็งแรงราวกับพยัคฆ์หรือมังกร กลับกลายมาเป็นคนที่แม้แต่จะหายใจยังรับลมหนาวไม่ได้?
ยามนี้เมื่อฉู่สวินหยางได้สังเกตอย่างละเอียดจึงพบว่า บนร่างของเหยียนหลิงจวินได้สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกอย่างหนาและหนัก ลำคอถูกพันเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยหนังจิ้งจอก สีหน้าของเขาซีดขาวกลมกลืนไปกับขนจิ้งจอกสีขาวราวหิมะ ไม่มีแม้แต่สีเลือด
ฉู่สวินหยางตาแดงก่ำในชั่วขณะ
นางคิดจะยื่นมือไปลูบใบหน้าของเขา แต่นึกขึ้นได้ว่าบนร่างกายของตนนั้นมีแต่ละอองน้ำ จึงฝืนใจดึงมือของเขาออก ถอยหลังออกไปสองก้าว ไม่ให้ร่างกายที่มีละอองน้ำและความเย็นอยู่ใกล้เขา
เหยียนหลิงจวินควบคุมการไอของตนอย่างไม่ง่ายดายนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองหน้านางอีกครั้งนั้นจึงมีรอยยิ้มอย่างจนใจ “เพียงลมหนาวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ได้กลับเมืองหลวงไปแล้วหรือ? ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่า มีความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจนในนั้น ต่อให้พยายามปิดบังเท่าใดก็ไม่สามารถปกปิดได้
ฉู่สวินหยางกำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าผู้เฒ่าเหยียนหลิงกระโดดลงจากหลังพร้อมกับล่วมยา พูดอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าโอ้อวดไปเถอะ ทรมานจะตายอยู่แล้ว ข้าจะดูว่าเจ้าจะอดทนไปถึงเมื่อไรกัน”
พูดแล้วยังออกแรงเดินชนไหล่ของเหยียนหลิงจวินราวกับเด็กๆ ก็ไม่ปาน จากนั้นจึงเดินคอแข็งผ่านคนทั้งสองไปไม่มีใครกางร่มให้เขา เขาจึงนำถุงยานั้นซุกไว้ในอกแล้วมุดผ่านเข้าไปหลังม่านน้ำ
เหยียนหลิงจวินไม่รู้จะทำอย่างไรกับอารมณ์เช่นนี้ของเขา จึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ
ดวงตาและคิ้วของเขายังคงไม่เปลี่ยนไป ภายใต้รอยยิ้มนั้น ดวงตาสว่างไสว เจิดจ้า แต่แสงแดดที่ส่องมาถูกใบหน้าซีดขาวนั้นยิ่งทำให้คนตกใจ
ฉู่สวินหยางมองเขา กัดริมฝีปากแน่น ไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดจา
เหยียนหลิงจวินถูกนางจับจ้องจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน…
สาวน้อยผู้นี้ไม่ฟังคำไร้สาระ พูดโกหกกับนางย่อมไม่มีทางเชื่อ
อิ้งจื่อเห็นแล้วจึงได้แต่ก้าวขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนว่า “นายท่าน ที่นี่มีละอองน้ำหนัก ท่านหญิงเดินทางมาอย่างลำบาก เข้าไปด้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้า กุมมือฉู่สวินหยางอีกครั้ง “มีอันใดเข้าไปพูดข้างในเถิด”
นิ้วมือถูกสัมผัสของเขา ฉู่สวินหยางรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
นางครุ่นคิด ทว่ากลับไม่ได้ปล่อยมือเขา กลับเกี่ยวนิ้วมือของเขาทั้งห้านิ้ว ค่อยๆ ระมัดระวังก่อนออกแรงกุมเอาไว้
เหยียนหลิงจวินเห็นการกระทำของนาง ในใจนั้นอบอุ่นยิ่งนัก รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นมาให้เห็น
ปากทางเข้าหลังม่านน้ำนั้นไม่ได้กว้างขวางนัก เจี๋ยหงยื่นร่มเข้าไปก่อน
เหยียนหลิงจวินคิดจะไปรับ ทว่ากลับถูกฉู่สวินหยางแย่งไว้ในมือ
เหยียนหลิงจวินจนปัญญาจึงหัวเราะและไม่ได้เอ่ยอันใด ได้แต่ตามใจนาง
ฉู่สวินหยางกางร่มช่วยบังละอองน้ำให้เขาอย่างระมัดระวัง เกรงว่าละอองน้ำจะถูกร่างกายของเขา คนทั้งสองเดินหน้าคนหนึ่งตามหลังคนหนึ่งข้ามน้ำไป
เวลานี้เป็นเวลายามบ่าย ชั้นวางดอกไม้เถาวัลย์กำลังอาบแสงแดดอยู่ในนั้น
ฉู่สวินหยางเก็บร่ม แล้ววางออกไปไกลๆ
สายตาของเหยียนเหลิงจวินตกอยู่บนไหล่ของนางที่เปียกไปครึ่งหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “นี่จะทำอะไรกันเล่า? ผู้อื่นพบเห็นเข้าจะบอกว่าข้านั้นรังแกเจ้าแล้ว”
พูดแล้วก็ยื่นมือไปจัดดึงอาภรณ์บนหัวไหล่ของนาง “เข้าไปเถิด ข้าให้อิ้งจื่อหาเสื้อผ้าให้เจ้าผลัดเปลี่ยนแล้ว อย่ารับลมหนาว”
ฉู่สวินหยางยกมือขึ้นจับนิ้วมือของเขา สัมผัสได้ถึงความเย็นผิดปกติจากนิ้วมือของเขาอีกหน ในใจนั้นกระตุกวาบขึ้นมาอีกครั้ง มองเขาแล้วพูดว่า “ระยะนี้ท่านเอาแต่หลบหน้าข้า เพราะแบบนี้หรือ? ทำไมจึงกลายเป็นแบบนี้ได้? เป็น…”
———————–