สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 79.2 ถ้าเจ้าไม่ไหว เดี๋ยวข้าจัดการเอง! (2)
ฉู่สวินหยางจงใจคิดอยากจะพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้นำ ในทุกท่วงท่านางจึงเอาแต่บุกรุกอีกฝ่ายไม่หยุด
เหยียนหลิงจวินเองก็มีใจคิดอยากจะยอมให้กับนาง แต่นางตั้งใจทรมานเขาถึงขนาดนี้ พอถึงสุดท้ายเขาเองก็ยากที่จะควบคุมร่างกายของตนเอาไว้ได้
ฉู่สวินหยางคร่อมอยู่บนตัวเขา ไม่เปิดโอกาสให้เขาหายใจเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงตอนสุดท้าย ตอนที่จูบนั้นหยุดรุกล้ำเข้ามา หน้าของเหยียนหลิงจวินเองก็พลันแดงก่ำไปทั้งใบ
เขานอนหงายอยู่บนบ่อน้ำ หอบหายใจแรง
ทว่าฉู่สวินหยางเองก็เกาะอยู่บนตัวเขาราวกับปลาหมึก อ้าปากหมายจะกัดคางของอีกฝ่าย มือที่ยันอยู่บนหน้าอกของเขาเองก็อยู่นิ่งไม่ได้ลูบไล้ซุกซนไปทั่ว
“อือ…” เหยียนหลิงจวินครางออกมาเสียงเบา รีบจับมือนางเอาไว้ แล้วเบี่ยงหน้าหนีริมฝีปากของนาง พลางพูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ซินเป่า…เจ้าเลิกเล่นโวยวายแบบนี้ได้แล้ว ถ้ายังเล่นแบบนี้อยู่อีก ข้าจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ!”
ฉู่สวินหยางซุกหน้าอยู่บนซอกคอเขาสักพัก จากนั้นค่อยเงยหน้าสบตาเขา ใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระอยู่เกี่ยวเอาปอยผมขึ้นไปเขี่ยปลายจมูกเขา แล้วพูดเย้าหยอกว่า “ก็เจ้าเป็นคนพูดเองนี่นา ตอนนี้คิดเปลี่ยนใจหรืออย่างไร?”
เหยียนหลิงจวินสะอึก รู้สึกแต่ว่าคำพูดที่ออกมาจากปากนางนั้นไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร แต่ไม่สามารถต่อว่าโทษอะไรนางได้ ในขณะที่กำลังสับสนลังเลอยู่นั้น ฉู่สวินหยางเองเริ่มหัวเราะอย่างดื้อรั้นขึ้นมาเบาๆ สะบัดผมลงไปบนคอของอีกฝ่าย แล้วก้มหน้าประกบปากจูบเขาลงไปทันที
เหยียนหลิงจวินตกใจ เลือดในร่างกายสูบฉีดขึ้นมาอย่างร้อนแรง วินาทีนั้นสติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มีแตกกระเจิดกระเจิง ลอยล่องออกไปไกลจนไม่เห็นแม้แต่เงา
เขาฮึดแรงขึ้น โอบเอวของนางแล้วหมุนพลิกตัวอีกฝ่ายลงมา
น้ำในบ่อสาดกระเซ็นจนชะโลมเข้าใส่ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคน
เมื่อฉู่สวินหยางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นทั้งสองคนก็ได้สับเปลี่ยนตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว
ทั้งเนื้อทั้งตัวจมอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน ทำให้รูขุมขนทั้งหมดขยายใหญ่ขึ้น
ฉู่สวินหยางลืมตาขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย ก็สบตาเข้ากับแววตาอันร้อนแรงของชายหนุ่มที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนอย่างพอดิบพอดี
“ซินเป่า!” เหยียนหลิงจวินก้มมองใบหน้าอ่อนหวานจิ้มลิ้มของหญิงสาวที่อยู่ด้านล่างกายของตน การตอบสนองของร่างกายมันไม่เคยหลอกใคร ทว่าสติสัมปชัญญะกลับสั่งให้เขาต่อต้านเป็นครั้งสุดท้าย กลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึกแล้วพูดว่า “เจ้าแน่ใจรึ…ว่าจะทำกันตรงนี้? พวกเราไม่คิดจะรอให้ถึงวันแต่งงานก่อนงั้นรึ?”
ฉู่สวินหยางนอนหงายอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน ริมฝีปากยกขึ้นยิ้มอย่างขี้เกียจ แต่เอ่ยถามขึ้นว่า “ร่างกายของเจ้าไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ข้า…” น้ำเสียงของเหยียนหลิงจวินแหบพร่าทุ้มต่ำลงยิ่งกว่าเดิม
น้ำในบ่อน้ำพุร้อนกระเพื่อม จนปิดบังร่างบางของหญิงสาวเอาไว้ ทุกส่วนโค้งเว้ามันช่างสมบูรณ์แบบ ทั้งๆ ที่นางไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับสะท้อนผิวน้ำขึ้นมา ภาพที่อยู่ใต้พื้นผิวน้ำอันนั้นมันช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน
จิตใจของเหยียนหลิงจวินฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิง เวลาผ่านไปนานพอสมควรถึงค่อยพูดขึ้นอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “น่าจะ…ไหวอยู่กระมัง!”
ฉู่สวินหยางได้ยินดังนั้น แววตาของนายก็ส่องประกายขึ้น ออกแรงบิดเอวกอดเขาหมุนกลิ้งไปด้านข้างโดยไม่แม้แต่รอให้เขาขยับตัวสักนิด
เหยียนหลิงจวินไม่ทันได้ระวังตัว ก็ถูกกดร่างจมลงจนสำลักน้ำออกมาทันใด เมื่อเขาบ้วนน้ำที่สำลักเข้าไปออกมาจนหมด ก็เห็นเข้ากับใบหน้าขี้เล่นซุกซนของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางยังคงซบอยู่บนร่างกายเขา ภายใต้รอยยิ้มแป้นแล้นนั้นแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ที่ไม่ลบเลือนไปได้อยู่เนืองๆ นางใช้ปลายนิ้วลูบไล้ผ่านลำคอของเขาไป พูดขึ้นเสียงอ่อยว่า “ในเมื่อร่างกายของเจ้ารับไม่ไหว งั้นข้าจัดการเองแล้วกัน!”
เหยียนหลิงจวินถูกนางเล่นไม้นี้เข้าใส่จนสะอึกอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง เขายังคิดอยากจะเอาคืนนางอยู่
ทั้งสองคนประชิดตัวเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างพยายามแย่งชิงตำแหน่งผู้นำที่ว่านั่นจนกลายเป็นสงครามร้อนแรงกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างร้อนแรง
ไอระเหยในบ่อน้ำพุร้อนลอยขึ้นสูงเป็นหมอกควัน ราวกับมีผ้ามุ้งปิดบังร่างของพวกเขาทั้งสองไว้อยู่ ผืนน้ำสาดกระเซ็นกระจาย กระเพื่อมไม่หยุด ภายในเสียงน้ำไหลอันอ่อนโยนนั้นมีเสียงคนกำลังหัวเราะหยอกเย้า เสียงคนครวญครางอย่างหงุดหงิดดังขึ้นอยู่เนืองๆ
ดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ สาดส่องผ่านหมอกนั้นลงมา เหมือนกับดวงตาอันน่าสงสัยของเด็กน้อยไม่มีผิด กำลังเงี่ยหูฟังเสียงพึมพำบอกรักของหญิงสาวและชายหนุ่มในหุบเขาลึกนั้น
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ฉู่สวินหยางจัดแจงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย คำนวณเวลาที่ผู้เฒ่าเหยียนหลิงจะออกตรวจเสร็จ ก็หยิบน้ำแกงที่เจี๋ยหงตุ๋นไว้ เดินไปหาเหยียนหลิงจวินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ ก็เจอเข้ากับผู้เฒ่าเหยียนหลิงที่กำลังถือตะกร้าใส่ยาสมุนไพรเดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้ามพอดี
เมื่อเขาเห็นนางเข้า ผู้เฒ่าเหยียนหลิงก็นึกสงสัยเอ่ยถามขึ้นว่า “เช้าตรู่ป่านนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่อีกแล้วงั้นรึ?”
“เช้าตรู่ป่านนี้ข้าถึงเพิ่งจะมาต่างหากล่ะเจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางกล่าว ชูกล่องข้าวในมือขึ้น “ถ้าข้าไม่มา ศิษย์หลานของท่านคนนั้นคงต้องเคี้ยวสมุนไพรให้อิ่มท้องแทนข้าวแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงพูดไม่ออก ถลึงตามองนางอย่างเหี้ยมโหดแค่นเสียงเย็นชาออกมาหนึ่งที แล้วเดินนำหน้าเข้าไปด้านใน
ฉู่สวินหยางยิ้ม นางเองก็หาได้คิดจะแซงเขาไม่ เพียงแต่เดินตามเขาเข้าไปด้านใน
ทั้งสองคนเดินตามกันเข้ามาถึงในห้อง ในตอนนั้นเหยียนหลิงจวินยังไม่ตื่นดี เขาถูกเสียงฝีเท้าด้านนอกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างว่องไว จนกระโดดลุกขึ้นนั่ง
“ท่านอาจารย์!” เมื่อเห็นผู้เฒ่าเหยียนหลิง เขาก็รีบทักทายทำความเคารพ
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงตรวจดูสีหน้าของเขาพลางพูดพึมพำขึ้นว่า “วันนี้สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อคืนหลับไม่สบายงั้นรึ?”
ในระหว่างที่พูดอยู่ก็จับชีพจรเหยียนหลิงจวินไปด้วย
แววตาของเหยียนหลิงจวินหลุบลงต่ำ รีบปิดแขนเสื้อแล้วชักมือออกอย่างว่องไว พลางพูดปัดไปว่า “ตอนกลางวันนอนเยอะไป ตกดึกเลยหลับไม่สนิทน่ะขอรับ ไม่ได้มีเป็นอะไรหรอกขอรับ”
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในขณะที่กำลังจะพูดอะไรขึ้นมาอีก ฉู่สวินหยางก็เดินตามเข้ามาด้านหลัง ยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าหุบเขาปีศาจเจ้าคะ หากเป็นยาอย่างไรมันก็ย่อมมีพิษอยู่สามในสิบส่วน ท่านพักผ่อนเสียบ้างเถอะเจ้าค่ะ วันๆ เอาแต่ขลุกตัวต้มยาเจ็ดปวดชั่วโมงแบบนั้น ไม่กังวลว่ามันจะมากเกินไปงั้นหรือเจ้าคะ?”
สายตาของผู้เฒ่าเหยียนหลิงเบี่ยงออก จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างโมโหอารมณ์เสียขึ้นว่า “เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร? ข้าจะจัดยาแบบไหนมันถึงเวลาให้เจ้ามาคอยชี้นิ้วสั่งแบบนี้เมื่อไรกัน? เจ้ามีธุระอะไร? ถ้าไม่มีก็กลับไปได้แล้ว อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา!”
เหยียนหลิงจวินมองหน้านาง เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่รู้ร้อนของนางนั้นก็พลันขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
ฉู่สวินหยางมองปกคอเสื้อชุดนอนที่ปิดมิดชิดนั่นของเขา เดินทีนางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นกลับมลายหายไปทันใด นางเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างผ่าเผย หยิบพระกระโดดกำลังแพงที่เจี๋ยหงตุ๋นออกมาวางไว้บนโต๊ะ ยักไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าหุบเขาปีศาจเจ้าคะ ท่านลองมาดูหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ถ้ามันไม่มีวัตถุดิบอะไรที่ขัดแย้งกัน ก็ให้เขากินได้เลยนะเจ้าคะ ข้าจะได้ไม่อยู่ให้ขวางหูขวางตาท่านอีก”
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงแค่นเสียงเย็นชา แล้วมองผ่านไปอย่างไม่สนใจ
ทว่าฉู่สวินหยางกลับยิ้มตาหยีไม่โกรธที่เขาทำแบบนั้น นางเพียงหันหลังแล้วเดินออกไป
เหยียนหลิงจวินเห็นดังนั้นก็ทนไม่ไหว สวมรองเท้าแล้วรีบเดินไปเพียงแค่สองก้าวก็ตามอีกฝ่ายทัน เขาจับข้อมือของนางไว้ ลากตัวอีกฝ่ายเหวี่ยงเข้าผนัง
ฉู่สวินหยางก้มหน้าไม่สบตาเขา เอาแต่จับเครื่องประดับบนเสื้อผ้าเล่นไม่พูดอะไรออกมา
หากเหยียนหลิงจวินเลี่ยงผู้เฒ่าเหยียนหลิงได้เขาก็เลี่ยง ทำให้ตอนนั้นเขาไม่สามารถพูดอะไรมากได้ เขาจึงเพียงเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฉู่สวินหยางเม้มปาก ตอนนี้นางถึงค่อยเงยศีรษะสบตามองอีกฝ่าย
ทั้งสองคน ดวงตาสบมองกัน เหยียนหลิงจวินตกใจขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เอื้อมมือขึ้นไปจับแก้มนางไว้อย่าอดใจไม่ได้
ฉู่สวินหยางยืนพิงผนังด้านหลังไม่ขยับไปไหน นางเพียงหรี่ตาลง สายตาของนางครึ่งหนึ่งสัมผัสกับอากาศอันบริสุทธิ์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งทอดมองไปบนหน้าเขา รอคอยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
เดิมทีเหยียนหลิงจวินกังวลที่นางจู่โจมเข้าประชิดใส่แบบนั้น กลัวว่าพอใจเย็นลงแล้วจะเกิดช่องว่างแห่งความรู้สึกระหว่างพวกเขาสองคน แต่ตอนนี้เห็นนางเป็นแบบนี้เข้า หัวใจดวงนั้นก็ถือได้ว่ารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาแล้ว
ที่จริงแล้วทั้งสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันนานมากนัก ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนั้นน้อยมาก ถึงขนาดเพียงแค่ได้ยินเสียงผู้เฒ่าเหยียนหลิงเคาะโต๊ะอยู่ด้านใน แล้วตะโกนเรียน ‘เซินหลาน’ ก็เท่านั้น
“เจ้าเข้าไปเถอะ เจ้าทนอากาศหนาวเย็นไม่ได้ไม่ใช่หรือไง!” ฉู่สวินหยางกล่าวพลางช่วยจับคอเสื้อของเขา
เหยียนหลิงจวินถือโอกาสนั้นโน้มตัวเข้าหาแล้วประกบปากจูบลงมา วินาทีที่กล้ามเนื้อประกบแนบเข้าหากันตอนนั้น มันทำให้เขารู้สึกหวานชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“อืม!” เขาหยักหน้าพลางเกี่ยวปอยผมทัดหูให้ฉู่สวินหยาง จากนั้นก้มลงจูบหน้าผากของนาง “ผ่านไปสักสามสี่ห้าวันเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราก็เตรียมตัวกลับเมืองหลวงได้ทันที”
“อืม!” ฉู่สวินหยางยิ้ม
เหยียนหลิงจวินจ้องมองนางอย่างลึกซึ้งอีกครา ในขณะที่ผู้เฒ่าเหยียนหลิงเคาะโต๊ะลงไปเป็นครั้งที่สามถึงได้ยอมปล่อยมือนางออกอย่างเสียดาย แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ได้อยู่ต่อในสถานที่แห่งนี้นาน เดินทางกลับไปยังที่พักของตนทันที
ในตอนนั้นทั้งเจี๋ยหงและอิ้งจื่อเองก็อยู่ด้วย ทั้งสองคนยังกำลังเก็บกวาดกันอยู่ในห้องครัว
ฉู่สวินหยางก้าวเท้าเข้าไปแล้วโพล่งเอ่ยปากถามขึ้นอย่างไม่ทันได้ให้พวกเขาตั้งตัว “ทำไมจู่ๆ ร่างกายเจ้านายของพวกเจ้าบาดเจ็บหนักถึงขนาดนี้กันแน่? พวกเจ้าคิดจะปิดบังข้าไปตลอดงั้นรึ?”
—————————–