สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 8.2 เขาต้องตาย (2)
สิ่งของถูกจัดวางอย่างประณีต คัดสรรเครื่องเรือนและของตกแต่งอย่างพิถีพิถัน แต่ไม่ใช่ห้องในเรือนของเขาแน่
เวลานั้นในห้องว่างเปล่า โต๊ะเล็กข้างเตียงถูกผลักไปไว้ด้านหนึ่ง เสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่บนพื้น ส่วนใหญ่นั้นเป็นของเขา และยังมีเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนของผู้หญิงที่ดูคุ้นตาอย่างมากด้วย
เขาสับสนมึนงง และคิดไปเองว่าตนเองคงนอนอยู่ในเรือนไหนสักแห่ง แต่พอสติค่อยๆ กลับมา ภาพมากมายที่ไม่ปะติดปะต่อกันก็ไหลเข้าสู่สมอง
เรือสำราญ ห้องหนังสือ สวนดอกไม้ เมาเหล้า หลังจากนั้น…
ก็ห้องนี้
พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในสมองเขาก็มีเสียงหวึ่งดังอยู่ชั่วครู่ และดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที
ที่นี่คือเรือนตะวันตกที่ฉู่หลิงอวิ้นอาศัยอยู่ เมื่อคืนพวกเขาสองคนอยู่ที่นี่…
เขาไม่เพียงแต่เป็นชู้กับน้องสะใภ้ตนเอง แต่เสร็จเรื่องแล้วยังนอนอยู่ที่นี่อย่างไม่แยแสอีกด้วย
เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า เวลานี้เขาก็หวาดกลัวจนมือไม้สั่น คิดถึงใบหน้ายามปกติที่ทั้งเย็นชา งดงาม และหยิ่งยโสของฉู่หลิงอวิ้นก็เหงื่อตกไปทั้งตัว กลัวแต่ว่าจะมีคนเข้ามาขวาง จึงรีบร้อนเก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นก็ยื่นศีรษะมองไปทางประตูทางเข้าตลอด เพราะมัวแต่กลัวว่าจะโดนจับได้
แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้เลยสักคน
จางอวิ๋นอี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เขาเก็บเสื้อคลุมของฉู่หลิงอวิ้นที่ตกอยู่บนพื้นไปซ่อนไว้ในที่นอนอย่างลนลาน แต่กลับดูมีพิรุธยิ่งกว่าเดิม เขาตั้งใจฟังเสียงอยู่ครู่หนึ่ง พอรู้สึกว่าข้างนอกไม่มีเสียงอะไร ถึงจะค่อยๆ หอบเสื้อผ้าย่องไปที่ประตูแล้วหลบออกไป
ยามฟ้าสาง บริเวณลานบ้านมีเพียงความวังเวงเล็กน้อย และอากาศหนาวเย็นยะเยือก
หิมะอาจจะตกลงมาอีกช่วงหลังเที่ยงคืน ตอนนี้พื้นจึงลื่นเล็กน้อย เขาเดินอย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าในลานบ้านไม่มีคนก็คิดว่าโชคดีแล้ว…
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องน่าอาย ฉู่หลิงอวิ้นน่าจะกลัวมากกว่าเขาเสียอีก ดังนั้นตอนนี้ถึงได้หลบไปก่อนแล้วใช่หรือไม่? แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน รีบไปจากเรือนนี้แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียดีกว่า
พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปพอตัว พลันเผลอคิดเตลิดไปถึงความรู้สึกยามทั้งสองคนได้ร่วมรักกอดรัดกันไว้ไม่ปล่อยเมื่อคืนในห้องนั้น ใจก็อดที่จะรู้สึกผวาขึ้นมาอีกไม่ได้
เขาเดินอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนที่กำลังจะลอบออกไปทางประตูนั้น พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นฉู่หลิงอวิ้นนั่งมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่บนเก้าอี้หินข้างๆ ภูเขาจำลองทางขวาไม่ไกล
จางอวิ๋นอี้รู้สึกกระวนกระวายอยู่พักหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะมีท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้ เขาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ฝืนใจเดินเข้าไปหา
เมื่อสองสามวันก่อน จื่อเหวยถูกนางตบหน้าจนบาดเจ็บ ช่วงนี้จึงขออนุญาตกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน เวลานี้ข้างกายฉู่หลิงอวิ้นจึงมีจื่อซวี่แค่คนเดียว
จื่อซวี่สีหน้าย่ำแย่ นางจงใจก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้ตนเองเปิดเผยความรู้สึกออกไป
“ท่านหญิง…” จางอวิ๋นอี้เอ่ย น้ำเสียงค่อนข้างอ่อนระโหยโรยแรงอย่างบอกไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าฉู่หลิงอวิ้นอย่างกลัวความผิดมากทีเดียว แทบไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน
“นี่ซื่อจื่อจะไปแล้วหรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นถามเสียงเรียบ ราวกับไม่เป็นอะไรเลย
“ขอรับ!” จางอวิ๋นอี้เดาท่าทีของนางไม่ถูก จึงแอบเหลือบหางตาสังเกตสีหน้านาง พลางเอ่ยอ้อมแอ้มว่า “อีกครู่ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
หากฉู่หลิงอวิ้นไม่อนุญาต เขาก็ไม่กล้าออกไปโดยพลการเหมือนกัน จึงทำได้เพียงยืนอยู่ด้วยสีหน้าอึดอัด จนรอไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงยอมเอ่ยว่า “เมื่อคืนข้าดื่มมากไป รบกวนท่านหญิงแล้ว ขออภัยด้วยจริงๆ ”
คำพูดนี้เพื่อลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น
ความจริงแล้วนอกจากเกรงกลัวฐานะของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ในใจเขากลับไม่ได้มีความหวาดหวั่นมากสักเท่าไรนักอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของคนสองคน ยิ่งไปกว่านั้นฉู่หลิงอวิ้นเป็นผู้หญิง หากคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาจริง นางก็น่าจะร้อนใจยิ่งกว่าเขาอีก
พอคิดได้แบบนี้ จางอวิ๋นอี้ก็มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มอย่างเย็นชา ไม่ปริปากพูดสักคำ เพียงแค่ก้มมองเล็บที่ทาสีแดงเพลิงของตนเอง หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ถึงจะยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยว่า “เรื่องนี้…เจ้าคิดจะจัดการอย่างไรหลังจากนี้?”
จัดการอย่างไรหลังจากนี้หรือ?
ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาคนหนึ่งก็เป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว อีกคนก็เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เขาเป็นพี่เขยของนาง นางก็เป็นน้องสะใภ้ของเขา หลังจากนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร? เพียงแค่ทั้งสองฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจก็จบแล้ว!
จางอวิ๋นอี้คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิงอวิ้นจะถามต่อหน้าแบบนี้ จึงอึ้งไปครู่หนึ่ง อยู่ดีๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ…
ฉู่หลิงอวิ้นหมายความว่ามาได้บ่อยๆ งั้นหรือ? อย่างไรตอนนี้นางก็ยังอายุไม่ถึงสิบเก้าปี แต่จางอวิ๋นเจี่ยนชาตินี้ก็ใช้การไม่ได้แล้ว ก็ถือว่าเขาได้โอกาสใกล้ชิดนางแล้ว
ความกังวลก่อนหน้านี้มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา นัยน์ตาของจางอวิ๋นอี้ทอประกายความดีใจ เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิง…”
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มและแค่กวักมือเรียกให้เดินตามไปด้านหลัง โดยไม่รอให้เขาพูดต่อจนจบ
ด้วยฐานะสูงศักดิ์ของฉู่หลิงอวิ้น ตอนที่นางแต่งเข้ามา ฮูหยินจางก็ยกเรือนที่ใหญ่ที่สุดในจวนให้นางอยู่ เรือนนี้จึงมีบริเวณกว้างขวาง และยังให้คนขุดสระน้ำขึ้นมาด้านในและเลี้ยงปลาอัมรินทร์พันธุ์ที่โด่งดังและล้ำค่าไว้ด้วย
จางอวิ๋นอี้เงยหน้ามองไปอย่างงุนงง
เขาเห็นเงาคนอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาจำลองไกลๆ อย่างเลือนราง แต่กลับเป็นองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่สองคนฉุดกระชากลากถูคนๆ หนึ่งมา คนนั้นดิ้นรนสุดชีวิต แต่ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดจากพันธนาการ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น…
น้องชายแท้ๆ ของเขา จางอวิ๋นเจี่ยน
จางอวิ๋นอี้สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เขามองฉู่หลิงอวิ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถามว่า “ท่านหญิง นี่ท่านจะทำอะไร?”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ดูออกอยู่แล้วรึ!” ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ส่งสัญญาณมือต่อไปอีก
สองคนนั้นลากจางอวิ๋นเจี่ยนไปที่ริมสระน้ำ ดึงผ้าขี้ริ้วที่อุดปากเขาออกอย่างไว แล้วฉวยโอกาสตอนที่จางอวิ๋นอี้จ้องมองอย่างตกตะลึงถีบคนตกลงไปในสระ
เวลาเช้ามืดผิวน้ำจับตัวเป็นผืนน้ำแข็งค่อนข้างหนา พอร่างกายของจางอวิ๋นเจี่ยนกระแทกลงไป ผืนน้ำแข็งก็แตกออกเป็นโพรงน้ำแข็งขนาดใหญ่มหึมาในชั่วพริบตา เสียงร้องอย่างเจ็บปวดด้วยตื่นตระหนกของเขาเพิ่งดังขึ้นก็กลืนหายไปในสายน้ำแสนเย็นเยียบแล้ว
มือของเขาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่เหนือผิวน้ำไม่กี่ครั้ง พยายามตะเกียกตะกาย แต่กลับไม่มีใครช่วยสักนิด อีกทั้งสระน้ำในช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ก็เย็นเฉียบ ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเขาก็ค่อยๆ ดิ้นรนช้าลงจนนิ่งไปในที่สุด
จางอวิ๋นอี้ยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก เขาตกตะลึงจนเบิกตาโพลงและนิ่งไปอีกครู่ใหญ่
แต่องครักษ์สองคนนั้นพอเสร็จเรื่องแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“น้องรอง!” จางอวิ๋นอี้ที่เพิ่งได้สติกลับมาตกใจกลัวจนตัวสั่น ถลาเข้าไปหาด้วยความกลัวจนฉี่แทบราด เขานอนคว่ำอยู่ริมฝั่งอยากจะลองดึงตัวจางอวิ๋นเจี่ยนขึ้นมา
แต่เขามัวแต่อึ้งนานเกินไป ตอนที่ไปถึงก็สายไปเสียแล้ว
จางอวิ๋นอี้คุกเข่าอยู่ข้างสระน้ำด้วยหน้าซีดไร้สีเลือด หวาดหวั่นจนแข้งขาอ่อนแรง เบิกตากว้างมองผิวน้ำที่มีฟองอากาศลอยขึ้นมา แล้วก็ไร้เสียงใดอีก
เศษน้ำแข็งที่ถูกกระแทกจนแตกกระจายลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
หากไม่ได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตนเอง เขาคงไม่เชื่อว่าฉู่หลิงอวิ้นจะกล้าลงมือฆ่าจางอวิ๋นเจี่ยนต่อหน้าเขาแน่นอน
ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วรึ?
ทันใดนั้นความโกรธแค้นอย่างไร้ที่มาก็ผุดขึ้นในใจของจางอวิ๋นอี้ เขาหันไปมองฉู่หลิงอวิ้นด้วยแววตาดุร้ายทันที
เวลานั้นฉู่หลิงอวิ้นก็ลุกเดินเข้ามาหา นางจ้องมองผิวน้ำตรงหน้าที่กลับมาสงบราบเรียบแล้วด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาฉาบด้วยความเย็นชาอย่างเบาบาง
ทีแรกจางอวิ๋นอี้ตั้งใจจะต่อว่านาง แต่พอเห็นสายตาเย็นยะเยือกที่เจือความโหดเหี้ยมอำมหิตและบ้าคลั่งของนางก็ทำให้เขาใจสั่นและเสียงก็ค้างอยู่ในลำคอ
ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย แค่ถามเสียงเย็นว่า “อึ้งไปเลยรึ?”
จางอวิ๋นอี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องน่าสงสารด้วยตื่นตระหนกตกใจดังขึ้น
“มานี่หน่อย…ช่วยด้วย…”
หลังจากเสียงร้องน่าสงสารของจื่อซวี่ดังผ่านไป นางก็รีบถลาออกไปนอกเรือน พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังว่า “รีบมานี่เร็วเข้า ช่วยด้วย คุณชายรอง คุณชายรองแย่แล้วเจ้าค่ะ…”
จางอวิ๋นอี้คุกเข่าอยู่ตรงนั้น เสื้อผ้าจุ่มอยู่ในน้ำครึ่งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เหมือนในสมองมีแต่สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาอย่างต่อเนื่อง
สวนดอกไม้ด้านนอกพลันเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที จนถึงตอนที่ฮูหยินจางที่เพิ่งตื่นและผมยาวสยายรีบพาคนเข้ามา ทั้งฉู่หลิงอวิ้นและจางอวิ๋นอี้ก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในท่าเดิมข้างๆ สระน้ำนั้น
จางอวิ๋นอี้คุกเข่าอยู่ข้างสระน้ำด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ท่าทางกระอักกระอ่วน
ส่วนฉู่หลิงอวิ้นกลับยืนขมวดคิ้วแน่นอยู่ข้างๆ และจ้องมองผืนน้ำแข็งที่แตกกระจายตรงหน้าด้วยสีหน้าเป็นกังวลและเหม่อลอย
“เกิดอะไรขึ้น? สาวใช้บอกว่าเจี่ยนเอ๋อร์…” ฮูหยินจางน้ำเสียงหวาดหวั่น สายตาสอดส่ายไปทั่วทุกที่ แต่กลับไม่มองไปที่ผิวน้ำแม้แต่นิดเดียวราวกับหลอกตนเอง
จางอวิ๋นอี้ผวากลัวความผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาอ้าปากจะเอ่ยบางอย่าง แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับหันไปมองฮูหยิน จางหน้าซีดว่า “ท่านแม่ คุณชาย คุณชายเขา…”
นางพูดไปรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา และหันไปมองผืนน้ำแข็งที่แตกกระจายอยู่บนผิวน้ำอย่างสับสน “วันนี้เขาตื่นแต่เช้า พอสาวใช้ไปแจ้งให้ข้าทราบ ข้าถึงได้ออกมาหาเขา แต่คิดไม่ถึงว่า…”
นางพูดไปก็น้ำตาไหลพราก แสร้งทำหน้าทั้งตื่นตกใจและเสียใจอย่างไม่มีพิรุธแม้แต่นิดเดียว
“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินจางตวาดอย่างโมโห
นางไม่ยอมรับว่าจะเสียลูกชายไปแบบนี้เด็ดขาด ถึงแม้ใจจะเชื่อว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังปลีกตัวจากไปทันที
—————————————–