สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 8.4 เขาต้องตาย (4)
ฉู่หลิงอวิ้นไม่สนใจสีหน้าของทั้งสองคนแม้แต่น้อย และยังเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าไปทำตามข้าที่สั่ง เราสองคนก็จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ ไม่เช่นนั้น…เจ้านอนกับสาวใช้ประจำตัวข้าและน้องชายเจ้าดันไปเจอเข้าพอดี เขาจึงต้องตาย แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็เสียสติฆ่าคนปิดปากเพราะกลัวข้าจะสืบหาความจริง หากนำเหตุผลแบบนี้ไปแจ้งห้องพิจารณาคดีของกรมอาญา ก็น่าจะมีแรงจูงใจพอใช่หรือไม่?”
ในสมองของจางอวิ๋นอี้ตีกันสับสนวุ่นวาย จิตใต้สำนึกเขาเชื่อว่าคนเมื่อคืนคือฉู่หลิงอวิ้น แต่ผู้หญิงคนนี้ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับง่ายๆ ถึงเวลานั้นหากเรื่องไปถึงหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้ก็ต้องปกป้องศักดิ์ศรีของราชวงศ์ สุดท้ายคนที่จะมีภัยมาถึงตัวก็คือเขาเองอย่างแน่นอน
ส่วนจื่อซวี่นั้นได้ยินแล้วก็แข้งขาอ่อนยวบคุกเข่าลงไปทันที แล้วเงยหน้าซีดมองไปที่ฉู่หลิงอวิ้น…
หากจางอวิ๋นอี้ไม่ยอมทำตาม ฉู่หลิงอวิ้นต้องทอดทิ้งนางแน่ ถึงเวลานั้นนางก็ตายแน่อย่างไม่ต้องสงสัย!
บรรยากาศในห้องต่างไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน จางอวิ๋นอี้ชั่งใจอยู่นาน ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับการข่มขู่ของฉู่
หลิงอวิ้น จึงกัดฟันเอ่ย “ได้ ในเมื่อเจ้าอยากไป ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่!”
“เรื่องนี้จะพูดจาส่งเดชไม่ได้เชียว!” ฉู่หลิงอวิ้นเห็นเขาลุกขึ้นจะจากไป ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชาอีก
จางอวิ๋นอี้พยายามสะกดกลั้นความโกรธที่ปะทุขึ้นในใจ แล้วหยุดฝีเท้าหันกลับมามองนาง “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่วันเดียว” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย “ฮูหยินของซื่อจื่อเข้ากันได้ดีกับฮูหยินโหวมาตลอด ดังนั้นข้าอยากรบกวนนางให้ช่วยไปพูดกับฮูหยินโหวสักหน่อย!”
ภรรยาแซ่เฉียนของจางอวิ๋นอี้กับฮูหยินจางเป็นลูกสะใภ้กับแม่สามีที่สนิทสนมกันมาก หากให้นางออกหน้าไปนินทาให้ฮูหยินจางฟัง บวกกับเวลานี้ฮูหยินจางกำลังอารมณ์เสียอีก แน่นอนว่าลงแรงน้อยแต่ได้ผลมาก
จางอวิ๋นอี้หน้าดำคร่ำเครียดไปเสียนาน แต่ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องไหนเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ทั้งนั้น
“ได้!” ในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงฝืนใจตอบรับ แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
จื่อซวี่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างหวาดหวั่นและไม่สบายใจ
ฉู่หลิงอวิ้นพยุงนางขึ้นมาว่า “ไปเตรียมตัวเก็บของเถอะ!”
จื่อซวี่ลุกขึ้นมาและออกไปอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก
เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าผู้หญิงแซ่เจิ้งเป็นมือวางอันดับหนึ่งด้านการยุแยงให้คนแตกคอกันอย่างแท้จริง วันนั้นตอนบ่ายฮูหยินจางก็ไปทั้งร้องไห้และทะเลาะต่อหน้าจางติ่งอีก ส่วนจางติ่งเองก็ไม่อยากให้ฉู่หลิงอวิ้นอยู่ในตระกูลจางต่อ เขาพิจารณาอยู่เพียงชั่วครู่ก็ให้คนไปส่งจดหมายแจ้งจวนอ๋องหนานเหออย่าง ‘อ้อมค้อม’ และเย็นวันนั้นฉู่ฉีเหยียนก็มารับตัว
ฉู่หลิงอวิ้นกลับไปด้วยตนเอง
ทว่าเวลาแค่ช่วงกลางวันสั้นๆ นั้นข่าวเรื่องจางอวิ๋นเจี่ยนคุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหวจมน้ำตายก็แพร่สะบัดไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิงอวิ้นก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ผู้คนให้ความสนใจมากและถกเถียงกันอย่างดุเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
นางเพิ่งแต่งงานเข้าตระกูลจางไปเมื่อวันที่หก เวลานี้วันที่สิบหกพอดี เวลาสิบวันก็กลายเป็นแม่หม้ายในทันใด
นี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าพิศวงทีเดียว
ที่จวนอ๋องหนานเหอนั้นฉู่อี้หมินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาสาดน้ำชาร้อนใส่ฉู่หลิงอวิ้น แล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “วันนี้เจ้าต้องอธิบายให้ข้าฟังอย่างชัดเจน เจ้าคิดว่าข้ายังขายหน้าไม่พออีกหรือ? ถึงได้ก่อเรื่องใหญ่บ่อยๆ เจ้าต้องให้ข้าโกรธเจ้าจนตายก่อนถึงจะยอมหยุดใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิงอวิ้นคุกเข่าอยู่บนพื้น ถูกน้ำชาสาดเต็มไปทั้งตัว แต่กลับนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“นี่เจ้าทำอะไร?” คนแซ่เจิ้งถลาเข้าไปดึงแขนเสื้อขึ้นจนเห็นหลังมือที่บวมแดงและเจ็บจนน้ำตาไหลออกมาของนาง “ลูกสาวเจอเรื่องแบบนี้ก็ทุกข์มากพอแล้ว เจ้าไม่เข้าข้างนางก็ช่าง ยังจะมาอารมณ์เสียใส่นางอีก นี่เจ้าไม่อยากให้นางมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?”
“นางตายแล้ว ข้าถึงจะไร้มลทิน!” ฉู่อี้หมินโกรธจัด แล้วด่าทอเสียงดังด้วยหน้าแดงก่ำว่า “เด็กคนนี้ถูกเจ้าตามใจจนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทำให้ข้าเสียหน้านับครั้งไม่ถ้วน ข้ากลับหวังให้ไม่มีลูกสาวแบบนี้ด้วยซ้ำ จะได้ไม่ต้องขายขี้หน้าไปด้วย!”
ไม่ว่าจางอวิ๋นเจี่ยนจะตายอย่างไร เดิมทีเรื่องแต่งงานครั้งนี้ก็ทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีไปหมด ตอนนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ลูกสาวแต่งงานไปได้สิบวันก็กลายเป็นแม่หม้ายแล้ว
ครั้งนี้เขาพูดแรงจริงๆ คนแซ่เจิ้งก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน จึงรีบปลอบใจเสียงอ่อน
ฉู่ฉีเหยียนนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ มาตลอด บางครั้งก็กวาดสายตามองหน้าฉู่หลิงอวิ้นรอบหนึ่งแล้วเบือนหนีไปอีกทางอย่างเฉยชา เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ฉู่อี้หมินอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงสั่งให้คนพาฉู่หลิงอวิ้นกลับเรือนและเฝ้าไว้ให้ดี ส่วนตนเองก็สะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างฉุนเฉียว
ฉู่หลิงอวิ้นตอบสนองอย่างฉับไว ไม่ร้องไม่วุ่นวาย และตามแม่บ้านกลับเรือนของตนเองไป
คนแซ่เจิ้งถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอย่างเงียบๆ พลางเอ่ยกับฉู่ฉีเหยียน “เช่นนี้จะดีได้อย่างไร? ทำไมถึงได้เจอเรื่องแบบนี้?”
“ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว รอให้ท่านพ่อหายโกรธก็พอแล้วขอรับ” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย แล้วตบบ่าของนางเบาๆ
เห็นว่าจางอวิ๋นเจี่ยนก้าวพลาดจมน้ำตาย? เขาไม่เชื่อเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว เขาคิดไว้แล้วว่าฉู่หลิงอวิ้นคงอยู่ตระกูลจางไม่นาน แต่คิดไม่ถึงว่านางจะหมดความอดทนเร็วขนาดนี้ แต่เขารู้นิสัยของพี่สาวตนเองดี ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ไม่คิดจะเตือนอีก จึงปลอบใจคนแซ่เจิ้งนิดหน่อยและไปส่งนางกลับเรือนด้วยตนเอง
พอออกมาจากเรือนหลักก็เจอหลี่หลินเข้ามาหาพอดี
“ข้างนอกมีข่าวอะไรอีก?” ฉู่ฉีเหยียนถาม
“เยอะมากขอรับ!” หลี่หลินตอบ สีหน้าเป็นกังวล “จางอวิ๋นเจี่ยนจมน้ำตาย ฮูหยินจางทะเลาะกับท่านหญิงก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็มีคนพูดอีกว่าเมื่อคืนเห็นท่านหญิงกับใต้เท้าเหยียนหลิงเดินเที่ยวงานวัดและล่องเรือด้วยกัน ถึงขั้น…”
เขาพูดไปแล้วก็พูดไม่ออกจนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วฝืนยิ้มอีกว่า “ยังมีข่าวที่เล่าลือกันว่าท่านหญิงให้คนไปส่งจดหมายที่จวนเฉินเมื่อวานตอนเที่ยงคืน สรุปแล้วมีข่าวลือมากมายเต็มไปหมดขอรับ”
ฉู่หลิงอวิ้นกับเหยียนหลิงจวินอยู่ด้วยกันที่ถนนไฉ่ถัง ฉู่ฉีเหยียนกลับไม่ได้สนใจมากนัก ถึงอย่างไรในตอนนั้นก็ยังมีฉู่สวินหยางและคนอื่นอยู่ด้วยทั้งคน แต่เรื่องจดหมายนั้นกลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา
แทบจะในเวลาเดียวกับที่หลี่หลินพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็เข้าใจทันที และด่าอย่างโกรธเคือง “คนโง่!”
นางคิดจะใช้จดหมายฉบับนั้นเป็นจุดอ่อนไว้ข่มขู่เหยียนหลิงจวินหรือ? แต่ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร มีอย่างที่ไหนจะยอมให้ง่ายขนาดนั้น?
“ข่าวออกมาจากจวนเฉินรึ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยอย่างมั่นใจและไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
“ขอรับ!” หลี่หลินพยักหน้า “ใต้เท้าเหยียนหลิงน่าจะจงใจให้คนปล่อยข่าวออกมา เวลานี้ข้างนอกทุกถนนทุกตรอกพูดคุยกันอย่างออกรส ต่างก็พูดกันว่า…”
หลี่หลินไม่กล้าพูดคำที่เหลือออกมา
ฉู่หลิงอวิ้นมีใจให้เหยียนหลิงจวิน คนที่ช่างสังเกตมากมายต่างรู้ดี อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เคยเดินเที่ยวงานวัดและล่องเรือด้วยกัน เหมือนสร้างสถานการณ์ให้คนอื่นเห็นไปแล้ว
หากไม่มีเรื่อง ‘จดหมายลับ’ ฉบับนั้นก็แล้วไป เพราะตอนนั้นมีคนอยู่ด้วยเยอะมาก คงไม่ใครกล้าเชื่อมโยงการตายของจางอวิ๋นเจี่ยนกับฉู่หลิงอวิ้นเข้าด้วยกัน ตอนนี้นี่สิ ถ้าเรื่องจดหมายฉบับนั้นหลุดออกไป ก็เห็นได้ชัดว่าจงใจให้คนคิดกันไปไกล!
ฉู่หลิงอวิ้นหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ!
ทีแรกฉู่ฉีเหยียนไม่ได้อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของนางแล้ว แต่เวลานี้ก็อดทนไม่ได้อีก เขาลุกขึ้นเดินไปเรือนของฉู่หลิงอวิ้นอย่างรวดเร็ว
สองสามวันมานี้ จื่อเหวยไม่อยู่ มีแค่จื่อซวี่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฉู่หลิงอวิ้นคนเดียว
นางพอจะรู้แผนการของฉู่หลิงอวิ้นคร่าวๆ ตอนนี้จึงใส่ยาบนหลังมือที่โดนชาร้อนลวกอย่างระมัดระวังไปพลาง ลองถามเสียงเบาไปพลาง “ท่านหญิง ท่านอ๋องโมโหมากขนาดนั้น เกรงว่าจะไม่หายโมโหในเร็ววัน จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
ฉู่หลิงอวิ้นทอดสายตามองด้านนอก ชัดเจนว่าจิตใจก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้เช่นกัน อยู่ๆ นางก็ถามขึ้นมาว่า “เรื่องที่ให้เจ้าไปจัดการเรียบร้อยหรือยัง?”
จื่อซวี่ตกใจจนมือสั่นไปโดนแผลบนมือของฉู่หลิงอวิ้น ทำให้อีกฝ่ายด่าอย่างเดือดดาลว่า “เงอะงะซุ่มซ่าม!”
“ข้าสมควรตาย!” จื่อซวี่รีบเอ่ย แล้วคุกเข่าลงไปขออภัย สุดท้ายก็อดเอ่ยไม่ได้ว่า “ท่านหญิงจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ? เวลานี้ท่านอ๋องกำลังอารมณ์เสีย หากว่า…”
“เจ้าทำอะไรก็ระวังหน่อย แค่อย่าให้เขารู้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย
นางจงใจให้คนไปส่งจดหมายให้เหยียนหลิงจวิน ก็เพื่อสร้างจุดอ่อนขึ้นมาแทนเรื่องนี้ พอจางอวิ๋นเจี่ยนตาย ตอนนี้เป็นแค่แผนขั้นแรกเท่านั้น บวกกับเรื่องที่ทุกคนปรากฏตัวด้วยกันอย่างโจ่งแจ้งเมื่อคืนก่อน นางไม่พูดถึงก็ยังแล้วไป แต่หากนางเปิดเผยเรื่องจดหมายฉบับนั้น เหยียนหลิงจวินก็ไม่อาจหาข้อแก้ตัวได้เหมือนกัน
นางยอมวางเดิมพันสูง เพราะไม่เชื่อว่าเหยียนหลิงจวินจะยอมเสี่ยงให้ชื่อเสียงป่นปี้และตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้โอกาสแล้วก็ควรรีบทำ นางจึงจำเป็นต้องรีบไปหงายไพ่ต่อหน้าเขาให้เร็วที่สุด
เพราะว่าไม่สามารถคาดเดาวิธีจัดการเรื่องราวของเหยียนหลิงจวินได้อย่างแม่นยำ เวลานี้ในใจฉู่หลิงอวิ้นจึงทั้งเฝ้ารอและกังวล ทว่าตอนที่จิตใจกำลังสับสนวุ่นวายนั้นเอง ฉู่ฉีเหยียนก็เดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้ามาได้อย่างไร?” ฉู่หลิงอวิ้นถามอย่างใจลอย เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดจะสนใจเขา
“มาเตือนเจ้าไว้สักหน่อย” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย “เตรียมชุดเข้าวัง และข้ออ้างที่น่าเชื่อถือไว้ให้พร้อม อย่างช้าที่สุดก็พรุ่งนี้เช้าน่าจะมีคนจากในวังมาแจ้งเจ้าแล้ว!”
ฉู่หลิงอวิ้นจับต้นชนปลายไม่ถูก แค่รู้สึกว่าเขาพูดฉีกหน้ากันแบบนี้ไม่มีเหตุผล จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาทันทีว่า “เจ้ากำลังเพ้อเจ้ออะไรอยู่? ข้า…”
“เรื่องที่เจ้าส่งจดหมายไปจวนเฉินตอนดึกดื่นเที่ยงคืน ตอนนี้ทุกคนรู้กันทุกตรอกซอกซอย เจ้าคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะลบล้างเรื่องนี้ไปได้ จะทำกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย พลางมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
ฉู่หลิงอวิ้นหน้านิ่ง และไม่ตอบสนองไปพักใหญ่
“เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ก็คิดหาวิธีปิดบังความผิดเองเถอะ!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยพลางหันตัวจากไปอย่างองอาจอีกครั้ง
—————————————————–