สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 82.1 อานอ๋องเฟิงอี้ (1)
ฉู่สวินหยางจำหน้าตาของคนนั้นไม่ได้แล้ว เพียงแต่เสื้อคลุมที่เย็บด้วยผ้าดิ้นสีแดงเหมือนเปลวไฟที่ร้อนแรงนั้นกลับเหมือนเคยเห็นมาก่อน
เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่เห็นสีหน้าของสองคนทางด้านนั้นเหมือนจะผิดปกติ
ทว่าฉู่สวินหยางก็ไม่ถามอะไรอีกเช่นกัน แต่หันไปหยิบเสื้อคลุมจากบนรถแล้วก็เดินเข้าไปหาเอง
เวลานี้เหยียนหลิงจวินหันหลังมาทางนี้ และเพราะงานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว ผู้คนจึงมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทักทายกันจนเสียงดังอึกทึกครึกโครมตรงนอกประตูวังนี้ เหมือนกับเขาก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาเช่นกัน
สุดท้ายกลับเป็นชายที่เขาหันหน้าเข้าหาและกำลังพูดคุยกับเขาอย่างสนุกสนานที่สังเกตเห็น และมองข้ามไหล่เขามาอย่างจริงจัง
คนนั้นนัยน์ตากลมโต หางตาเรียวยาวชี้ขึ้นดุจตาหงส์ ริมฝีปากบาง จมูกโด่ง หน้าตาเรียกได้ว่าโดดเด่นมาก ทว่าพอตั้งใจมองให้ดีแล้วหน้าตาของเขากลับคล้ายคลึงกับเหยียนหลิงจวินมากทีเดียว
ฉู่สวินหยางกะพริบตาแล้วก็มองเขาอีกโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
คนนั้นท่าทางเหมือนเฉื่อยชา เขาน่าจะคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยและมีอำนาจแบบฉู่สวินหยางจะจ้องเขาอย่างไร้ความเกรงกลัวต่อหน้าทุกคน แล้วมุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย
ทันใดนั้นเหยียนหลิงจวินถึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างและหันกลับไปมองอย่างระแวง
“จวินอวี้!” ฉู่สวินหยางยิ้มและเดินเข้าไปใกล้ตัวเขาอย่างสุภาพเรียบร้อย
จวินอวี้เป็นชื่อเล่นของเหยียนหลิงจวิน ถึงแม้เขาจะบอกให้นางรู้ตั้งนานแล้ว แต่ปกติต่อให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็น้อยมากที่ฉู่สวินหยางจะเรียกเขาแบบนั้น นางจะเรียกแค่ ‘เหยียนหลิง’ เท่านั้น
ทว่าครั้งนี้กลับเอ่ยปากเรียกต่อหน้าทุกคนได้อย่างคุ้นเคยมาก ฟังดูคล่องปากและขี้เล่น และเหมือนจะปนนุ่มนวลอ่อนหวาน ทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
การเรียกเช่นนี้แม้แต่เหยียนหลิงจวินเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน แต่เขากลับรู้สาเหตุที่ฉู่สวินหยางจะเรียกเขาต่อหน้าแบบนี้ดี
ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ยินแล้วก็อดที่จะกวาดสายตาที่แฝงด้วยรอยยิ้มมองทั้งสองคนไม่ได้
หรงเลี่ยอยู่ที่นี่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนทั้งหมด เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย
ดูเหมือน…
ผู้หญิงคนนี้จะรู้ตัวตนที่แท้จริงและเบื้องหลังของเขา
เรื่องใหญ่เช่นนี้ต่างร่วมกันแบ่งเบาภาระได้…
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ
ชายคนนั้นมองอย่างสนใจมากทีเดียว ทว่าหลังจากที่สายตาเหลือบไปเห็นปิ่นหยกที่ฉู่สวินหยางใช้ปักผมโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกจนถึงขั้นเฉยชาในชั่วพริบตา
ฉู่สวินหยางถึงกับรู้สึกได้ถึงความเย็นชาจากใบหน้าเรียบเฉยของเขาอย่างชัดเจน
“ทำไมถึงเพิ่งมา?” แน่นอนว่าเหยียนหลิงจวินก็รู้สึกได้เช่นกัน เพียงแต่เขากลับแสดงสีหน้าออกมาไม่ชัดนัก และแค่ยกมือลูบผมด้านหลังศีรษะของฉู่สวินหยางด้วยท่าทางสนิทกันมาก
“มาเร็วก็ไม่มีอะไรให้ทำเหมือนกัน” ฉู่สวินหยางยิ้มตอบ พลางสะบัดเสื้อคลุมที่คล้องแขนออกมา และเขย่งปลายเท้าผูกให้เขาเรียบร้อย แล้วต่อว่าเสียงเบาว่า “ร่างกายของตนเองก็ยังไม่หายดี ออกมาข้างนอกตอนกลางคืนทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อย”
“เพิ่งจะลงมาจากรถม้าแล้วก็เดินแค่สองก้าว ยังไม่ทันโดนลมเลย” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พอก้มหน้าลงก็มองเห็นขนตางอนของนางกะพริบ
อยู่ใกล้กันเสียจนได้กลิ่นผมหอมๆ ของนางอย่างเบาบาง
ถึงแม้ทั้งสองคนจะทำตัวสุภาพเรียบร้อยต่อกัน แต่เปิดเผยเช่นนี้ก็ทำให้คนอื่นแอบมองตลอดเหมือนกัน
ทีแรกเหยียนหลิงจวินยังคิดว่าฉู่สวินหยางจะหลบเลี่ยง ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าหลังจากกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้นางจะเปลี่ยนไปมาก…
ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ได้ปิดบังความสนิทสนมส่วนตัวของทั้งสองคนอีก
ท่าทางที่เป็นตัวของตนเองของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะว่าอย่างไรแล้ว
เหยียนหลิงจวินถอนหายใจในใจอย่างจนใจแล้วถึงจะตั้งสติส่งสายตาให้ฉู่สวินหยางมองผู้ชายที่อยู่ใกล้ตัว พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “นี่ท่านน้าสิบสอง!”
องค์ชายสิบสองแห่งหนานฮวาเป็นน้องชายคนสุดท้องของฉงหมิงตี้ มีชื่อเพียงพยางค์เดียวว่า ‘อี้’ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอานอ๋อง และในทั้งราชสำนักหนานฮวานั้นยังเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวที่เกิดจากแม่คนเดียวกันกับองค์หญิงหยางเซี่ยนแม่ของเหยียนหลิงจวิน
ดังนั้นเขาจึงเป็นน้าแท้ๆ เพียงคนเดียวของเหยียนหลิงจวิน
เพียงแต่เหยียนหลิงจวินแค่ปฏิบัติกับเขาไปตามมารยาทอย่างสงบนิ่งเท่านั้น
เพราะนอกจากหรงเสี่ยนหยาง เวลานี้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สายเลือดใกล้กับเหยียนหลิงจวินมากที่สุดใต้หล้านี้ ฉู่สวินหยางก็อดที่จะมองเขาอีกหน่อยไม่ได้
“องค์ชายสิบสอง!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าเล็กน้อยทักทายเขา
แล้วเหยียนหลิงจวินถึงจะแนะนำต่ออีกว่า “นี่ท่านหญิงสวินหยางแห่งวังบูรพา!”
ฉู่สวินหยางแห่งวังบูรพา ชื่อนี้ไม่เพียงแต่โด่งดังมาก ทว่าหากเป็นคนที่คอยจับตาดูและสนใจซีเยว่ก็ต้องเคยได้ยินกันทั้งนั้น
ฉู่สวินหยางเพิ่งจะปรากฏตัวเมื่อครู่ แต่แค่จากชุดพิธีการที่นางสวมใส่ เฟิงอี้ก็คาดเดาฐานะของนางได้พอสมควรแล้ว อีกอย่าง…
เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ ก็เพราะได้ข่าวจริงว่าเหยียนหลิงจวินอยู่ที่นี่
และ…
ในข่าวส่วนที่เขาได้มานั้นก็เกี่ยวพันไปถึงฉู่สวินหยางด้วยไม่น้อย
“ที่แท้คือท่านหญิงสวินหยาง ได้ยินชื่อเสียงมิสู้ได้พบหน้าจริงๆ!” เฟิงอี้ยิ้ม สีหน้าของเขายังเหมือนเดิมอยู่ชั่วครู่แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนตอนแรก
เขาไม่ซักไซ้เรื่องความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยาง เพียงแค่วางตัวเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและมองทั้งสองคนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วย ‘ความเมตตาและเอ็นดู’ และโบกพัดในมืออย่างมีชีวิตชีวา ซึ่งเมื่อรวมกับหน้าตาหล่อเหลานั้นแล้ว เขาดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากจริงๆ
ทว่าถึงแม้จะมีศักดิ์สูงกว่าหนึ่งรุ่น แต่ความจริงแล้วเฟิงอี้ก็อายุมากกว่าเหยียนหลิงจวินแค่สี่ปีเท่านั้น
ดังนั้นพอเวลานี้เขายิ้มอย่างมีเมตตาและเอ็นดูเหมือนผู้ใหญ่เต็มตัวออกมา ฉู่สวินหยางก็คล้ายจะรับไม่ค่อยได้
นางเบี่ยงเบนความสนใจเร็วมาก และหันไปหาเหยียนหลิงจวินว่า “เจ้าจะคุยเรื่องเก่ากับองค์ชายสิบสองหรือ? งั้นข้าเข้าไปก่อนแล้วกัน?”
“ไม่ล่ะ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางมองเฟิงอี้ครั้งหนึ่ง “ข้ายังมีธุระที่สำนักหมอหลวงอีกนิดหน่อย ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ เจ้าเข้าไปกับท่านน้าสิบสองก่อนเถอะ แล้วพวกเราค่อยเจอกันในงานเลี้ยงตอนดึกหน่อย”
“ยังมีเวลาก่อนที่จะเริ่มงานนี่ ข้าไปตรงนั้นก็เบื่อเหมือนกัน ให้ข้าไปกับเจ้าด้วยเถอะ!” ฉู่สวินหยางเอ่ย
เหยียนหลิงจวินคิดอยู่ชั่วครู่ แต่คิดดูแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเช่นกันจึงพยักหน้า “งั้นก็ได้!”
พูดไปเขาก็หันไปมองเฟิงอี้อีกครั้งว่า “ข้ามีธุระ ต้องขอตัวก่อน คงไม่ได้เข้าไปเป็นเพื่อนท่านน้าแล้ว!”
“อื้ม!” เฟิงอี้พยักหน้าและค่อยๆ เอียงตัวหลบเปิดทางให้
สำนักหมอหลวงอยู่ใกล้ประตูวังด้านตะวันตกที่สุด หากเดินไปก็จะเสียเวลามาก อิ้งจื่อจึงจูงม้ามาให้ทั้งสองคนอย่างรู้ใจ
เหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยางเดินเคียงข้างกันไปยังทางเดินแคบที่ค่อนข้างเปลี่ยวทางด้านตะวันตก
เฟิงอี้มองภาพเงาด้านหลังของเขา ทันใดนั้นก็เอ่ยปากเรียกเขาไว้อีก “จวินอวี้!”
เหยียนหลิงจวินหันกลับไปอมยิ้มส่งสายตาถามเขา
“พรุ่งนี้เที่ยง หอยลนที ข้าจะรอเจ้า!” เฟิงอี้เอ่ย
ถึงแม้อีกสักครู่จะได้เจอกันในงานเลี้ยง แต่เดิมทีในวังคนก็เยอะอยู่แล้ว และในงานเลี้ยงก็คุยกันไม่สะดวก ดังนั้นเขาถึงได้นัดพบเป็นการส่วนตัว
“อื้ม!” เหยียนหลิงจวินลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่กลับไม่ปฏิเสธ เขาดึงสายตากลับมาอีกครั้งและลูบผมฉู่สวินหยาง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่นว่า “ไปเถอะ!”
แล้วทั้งสองคนก็เดินเคียงข้างกันออกไป
ทั้งสองคนเดินกันไปก่อนระยะหนึ่ง จนกระทั่งทิ้งห่างแสงไฟที่ส่องประกายระยิบระยับและเสียงโหวกเหวกทางด้านหลังไปไกลมากแล้ว เหยียนหลิงจวินถึงหันไปขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว แล้วยื่นมือหส่งให้ฉู่สวินหยางจากบนหลังม้า
ฉู่สวินหยางบีบปลายนิ้วของเขาและกระโดดขึ้นหลังม้าตามไปด้วย
เหยียนหลิงจวินดึงเสื้อคลุมมาห่มนางไว้ แล้วขี่ม้าไปอย่างไม่รีบร้อน
กลางคืนแสนเงียบสงบ แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบร่างของทั้งสองคน
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับเงียบไปนานมาก และไม่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไรแม้แต่นิดเดียว
ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองไป แล้วยื่นมือไปลูบแก้มข้างหนึ่งของเขา พลางยิ้มว่า “เป็นอะไรไป? ไม่ดีใจหรือ?”
“ไม่ใช่!” เหยียนหลิงจวินขี่ม้าต่อไปอย่างแน่วแน่ แสงจันทร์สาดส่องลงมา ทำให้หน้าตาของเขาดูเหมือนเย็นชามากขึ้น
ฉู่สวินหยางเงยหน้าไปทางด้านหลังและคอยมองเขาตลอด
หลังจากถูกนางจ้องจนอึดอัด เขาถึงก้มลงมองในที่สุด แต่กลับไม่พูดไม่จา แล้วโน้มตัวมาจูบนางอย่างดูดดื่มและรุนแรงในทันใด
ฉู่สวินหยางตกใจมาก ทว่าคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอื้อมมือไปโอบรอบคอของเขาไว้แล้วจูบตอบกลับไปอย่างโอนอ่อน
————————–