สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 83.1 แค่เห็นหน้าก็เกลียดแล้วจริงๆ! (1)
“หรงเฟยเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮ่องเต้ตรัสถาม
ถึงแม้เวลานี้เขาจะมีลูกหลานเต็มวัง แต่ก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องให้ความสำคัญกับลูกหลงคนนี้มาก
“พระสนมอาการไม่ดีเพคะ!” เขาจ้องแม่นมเขม็ง ใบหน้าของนางไร้สีเลือดและเอ่ยเสียงสั่นว่า “หมอตำแยยังคอยดูแลอยู่ พระสนมน้ำคร่ำแตกเร็วก็จริง แต่เด็กกลับคลอดออกมาไม่ได้สักที เห็นว่า…เห็นว่าอันตรายมากเพคะ!”
แม้ลูกของทั่วป๋าหรงเหยาจะยังไม่ถึงกำหนดคลอด แต่ที่จริงวันนี้ก็ทำท่าจะคลอดมาตั้งแต่เช้าแล้ว
ทว่าฮ่องเต้ก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มานานแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องการคลอดลูกของผู้หญิงในวังหลังมากนัก และยังคงจัดงานเลี้ยงต้อนรับเฟิงอี้กับเฟิงเหลียนเซิ่งและคนอื่นๆ เช่นเดิม
พอตอนนี้ได้ยินว่าทั่วป๋าหรงเหยาอาการไม่ดี เขาถึงร้อนรนขึ้นมา
“ฝ่าบาท หมอตำแยบอกว่าพวกนางไม่มีทางรักษาอาการของพระสนมแล้ว พระองค์ว่า…ลองให้หมอหลวงไปดูดีหรือไม่ บางทีอาจจะดีขึ้นเพคะ!” แม่นมเอ่ยอย่างใจกล้า
ฉู่สวินหยางหรี่ตา นัยน์ตาพลันฉายแววเย็นชาอย่างเลือนราง แล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
นางยกยิ้มมุมปากเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับเหมือนดอกรุ่งอรุณที่บานอยู่บนหน้าผาสูงชันในหน้าหนาว แม้ไม่สวยงามนัก ทว่าเห็นแล้วก็ทำให้คนเหงื่อตกทั้งตัวได้ในชั่วพริบตา
เฟิงเหลียนเซิ่งถือจอกเหล้าอยู่ในมือ จึงมองเห็นทุกความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในดวงตาของนางได้ง่ายมาก
ฮ่องเต้ยังคงลังเล…
ชายหญิงต่างกัน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังเป็นผู้หญิงของเขาด้วย แต่ไหนแต่ไรมาก็ห้ามให้ผู้ชายอยู่ด้วยเวลาผู้หญิงคลอดลูก ถึงจะเป็นหมอหลวงหรือหมอก็ไม่ได้เหมือนกัน
นัยน์ตาของเฟิงเหลียนเซิ่งก็ยิ้มตามไปด้วยเช่นกัน แล้วเขาก็ตีหน้านิ่งอย่างรวดเร็ว พลางลุกขึ้นเดินเข้าไปหาและเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เรื่องเกี่ยวพันถึงรัชทายาท ฝ่าบาทเสด็จไปดูพระสนมหรงเฟยสักหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วและเหลือบมองเขา
ถึงแม้สายตาของนางจะไม่ชัดเจนนัก ทว่ากลับปนความไม่พอใจอย่างชัดเจน
เฟิงเหลียนเซิ่งเห็นกับตา เขาแอบยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยตามไปด้วย แต่สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเช่นเดิม และหันไปเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงก็อยู่ที่นี่ด้วยพอดี กระหม่อมได้ยินว่าฝีมือการฝังเข็มประสานกับกำลังภายในของเขายอดเยี่ยม อาจจะ…ช่วยพระสนมหรงเฟยให้รอดพ้นจากอันตรายได้ และอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้ทั้งแม่และลูกนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็ชายตามองฉู่สวินหยางด้วยสายตาเหมือนจะเป็นประกายและท้าทายนางอย่างชัดเจนมาก
เขายังไม่เคยเอาเปรียบผู้หญิงคนนี้ซึ่งๆ หน้า ถึงแม้จะดูออกว่ามีคนวางกับดักจัดการเหยียนหลิงจวิน แต่ถ้าหากสามารถทำให้ฉู่สวินหยางอารมณ์เสียจนต้องออกหน้าได้…
เขาก็ไม่ถือสาที่จะก้าวออกมาทำเนียนผสมโรงไปด้วย
ต่อให้ไม่สำเร็จ แต่ถ้าทำให้ฉู่สวินหยางหงุดหงิดได้สักหน่อย เขาก็ยอม
ฉู่สวินหยางเองก็ดูออกว่าคนๆ นี้นิสัยเสีย นางไม่อยากจะมองเขาแม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้ยังคงไม่ตกลงในทันที
เรื่องเกี่ยวพันถึงเหยียนหลิงจวิน เฟิงอี้ที่นั่งอยู่กับที่และคอยสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ มาตลอดกลับนั่งดูอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้ เขาสะบัดเสื้อคลุมลวกๆ และลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเช่นกัน น้ำเสียงเฉื่อยชาปนตำหนิเฟิงเหลียนเซิ่งว่า “เหลียนเซิ่ง ทำอะไรไม่ยั้งคิด เรื่องในวังของฝ่าบาท เจ้าอย่าได้ออกความเห็นมั่วซั่วไปด้วย”
เขาคนนี้ทำอะไรตามใจมาตลอด ถึงแม้ตอนนี้จะก้าวออกมาก่อกวนก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าจงใจ
เฟิงเหลียนเซิ่งยิ้มและก้มหน้าหยิบหยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวของตนเองขึ้นมาดู “ข้าก็พูดไปเพราะเป็นห่วงมาก!”
“พูดไปเพราะเป็นห่วงมาก?” ฉู่สวินหยางหัวเราะเยาะเสียงเย็นเยียบในทันใด พลางมองเขาเหมือนจะยิ้มและไม่ยิ้ม “องค์รัชทายาทยังสนิทกับพระสนมหรงเฟยของพวกเราด้วยงั้นหรือ?”
นางพูดจาจาบจ้วงยิ่งนักและไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งฮ่องเต้
เดิมทีฮ่องเต้ก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งหน้าดำคร่ำเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้ สายตาคมกริบดุจมีดมองไปทางนาง
ฉู่สวินหยางถือว่าตนเองแค่บังเอิญพลั้งปากไปเท่านั้น จึงก้มหน้าลงเงียบๆ
แต่เฟิงเหลียนเซิ่งกลับปล่อยไปให้มันผ่านไปเช่นนั้นไม่ได้ คำพูดของนางทำให้เขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา ความโกรธเดือดดาลเริ่มแล่นพล่านไปทั่วอกทีละน้อยอีกครั้ง
ฉู่ฉีเฟิงเดินเข้ามาจ้องฉู่สวินหยางก่อน แล้วขออภัยต่อฮ่องเต้ว่า “เพราะสวินหยางพูดไม่ทันคิด เสด็จปู่อย่าได้ลดตัวลงมาทะเลาะกับเด็กอย่างนางเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ฮ่องเต้ก็ไม่มีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้เช่นกัน เขาถือโอกาสหันไปทางอื่นและเหลือบมองไปทางเหยียนหลิงจวิน
ปกติเหยียนหลิงจวินวางตัวเป็นอิสระมาโดยตลอด มุมปากของเขาเหมือนยกยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติเสมอ ดังนั้นถึงเวลานี้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ รอยยิ้มมุมปากอย่างเป็นธรรมชาติของเขาก็ทำให้ดูไม่ออกเหมือนกัน
ฮ่องเต้หันมา…
แน่นอนว่ารัชทายาทของเขาสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด!
เหยียนหลิงจวินรับรู้สิ่งที่เขาสื่อผ่านสายตา แล้วก็ก้มลงคารวะอย่างให้เกียรติตามหน้าที่ว่า “ฝ่าบาททรงทราบดีว่ากระหม่อมเชี่ยวชาญเพียงด้านการรักษาและยาเท่านั้น แต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคของผู้หญิง ร่างกายของพระสนมหรงเฟยสูงส่งมาก กระหม่อมไม่กล้าอวดอ้างความสามารถ หากเกิดความผิดพลาดกับพระสนมขึ้นมา กระหม่อมคงไม่สามารถให้คำอธิบายแก่ฝ่าบาทได้พ่ะย่ะค่ะ”
จะให้เขาไปช่วยเร่งให้ทั่วป๋าหรงเหยาคลอดที่ห้องคลอด? ไม่ต้องพูดถึงว่าจะรักษาชีวิตทั้งแม่และลูกไว้ได้หรือไม่ แค่ผู้ชายทั้งแท่งอย่างเขาไปที่แบบนั้น…
จุดจบต่อไปก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…
เพราะว่าเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ ภายนอกฮ่องเต้ก็ต้องไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่แล้วก็มาตายอย่างกะทันหันโดยไม่มีอาการบอกล่วงหน้าและแทบจะมีจุดจบไม่ต่างกันอย่างแน่นอนที่สุด
คนที่วางกับดักอยู่เบื้องหลังยังคิดกระทั่งวิธีแอบแทงข้างหลังแบบนี้ออกมาได้ คงอยากจะฆ่าเขาให้ได้จริงๆ
เหยียนหลิงจวินอ้างว่าไม่รู้เรื่องโรคของผู้หญิงเพื่อผลักภาระให้พ้นตัว และยังคิดถึงความปลอดภัยของหรงเฟย
ตลอด ถึงแม้จะรู้ดีว่าที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเพื่อปัดภาระ แต่ฮ่องเต้ก็บังคับเขาไม่ได้เช่นกัน
“ไปเถอะ ข้าจะไปดูสักหน่อย!” ฮ่องเต้สูดหายใจลึกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
เหยียนหลิงจวินก็ไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจหรือไม่ดีใจเช่นกัน ตอนที่เห็นว่าควรจะจบเรื่องนี้ได้แล้ว เขากลับก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมติดตามไปด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
กว่าจะหลุดพ้นจากกับดักได้ก็ยากลำบาก เพียงชั่วพริบตาเขาก็จะวิ่งเข้าใส่มันอีกแล้วหรือ?
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างแปลกใจ สายตาของพวกเขารวมไปอยู่ที่จุดเดียวโดยพร้อมเพรียง
ฮ่องเต้ตกใจจนชะงักฝีเท้าไป แล้วมองเขาอย่างลุ่มลึก
เหยียนหลิงจวินยังคงพูดต่อไปอย่างเยือกเย็นว่า “ถึงจะคลอดยาก แต่กระหม่อมคิดว่าเรื่องอาจจะไม่ได้ร้ายแรงเหมือนอย่างที่แม่นมคนนี้พูดก็ได้ หมอตำแยในวังล้วนจัดการเรื่องแบบนี้กันจนชำนาญและมีประสบการณ์ช่ำชองในด้านนี้แล้ว ต่อให้สถานการณ์ถึงขั้นเลวร้ายที่สุด และต้องตัดสินใจเลือก อย่างไรก็ต้องมีทางแก้ไขสถานการณ์ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ตัดสินใจเลือกที่ว่า ก็แค่ปัญหาว่าจะเก็บแม่หรือลูกไว้เท่านั้น
นัยน์ตาของฉีเต๋อเฟยที่ติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้ทอประกายวาบ…
——————