สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 83.3 แค่เห็นหน้าก็เกลียดแล้วจริงๆ! (3)
เดิมทีในวังถือเรื่องพูดคำว่า ‘ตาย’ มากที่สุด ทว่าเวลานี้สถานการณ์เร่งด่วนอย่างที่สุด หมอตำแยคนนั้นจึงพูดจาเลอะเทอะไป
สายตาของเต๋อเฟยทอประกายวาบ นางรีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วและเอ่ยอย่างกังวล “หรงเฟยอาการไม่ดีหรือ?”
หมอตำแยทั้งสองคนต่างอับจนหนทาง คนหนึ่งใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ พลางมองสีหน้าของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง แล้วถึงจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันวาจาสามหาว พระสนมกับเด็ก…พระองค์…”
สุดท้ายก็รักษาไว้ได้แค่คนเดียวเท่านั้น
เต๋อเฟยแสดงสีหน้ากระวนกระวายและเห็นใจ แต่ในใจกลับโล่งอก…
ผู้หญิงของฮ่องเต้มีมากมาย และตั้งแต่ทั่วป๋าหรงเหยาเข้าวังมาก็ไม่ได้โปรดปรานมากเป็นพิเศษสักเท่าไร ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรก็ต้องเก็บเด็กไว้แน่นอน!
“กำจัดเด็กทิ้งไป ข้าต้องการให้หรงเฟยปลอดภัย!” แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะตรัสอย่างกะทันหัน
เต๋อเฟยอึ้งจนอ้าปากค้าง และยังคิดว่าตนเองฟังผิดไปในทันใด
“ฝ่า…ฝ่าบาท…” หมอตำแยทั้งสองคนต่างมองหน้ากันอย่างตกใจเช่นกัน
“ข้าบอกว่าต้องการให้หรงเฟยปลอดภัย ฟังไม่เข้าใจหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสซ้ำ น้ำเสียงยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น พูดไปก็มองเหยียนหลิงจวินตรัส “เจ้าจ่ายยาเถอะ หรงเฟยจะเป็นหรือตาย ข้าฝากไว้กับเจ้าแล้ว!”
ตรัสจบก็หันตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่นิดเดียว
“ฝ่าบาท!” เต๋อเฟยคาดไม่ถึง ทว่าทันทีที่ตั้งสติได้ นางก็รีบเดินตามไปและเอ่ยหน้าตาเรียบเฉยว่า “อย่างไรแล้วหรงเฟยก็ตั้งครรภ์สายเลือดของราชวงศ์ จะ…”
“จะตายอยู่แล้ว ยังจะสนใจอะไรกับสายเลือดอีก?” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นเยียบ พลางสะบัดมือของนางออก แล้วเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก
เต๋อเฟยถูกเขาผลักจนเซ สาวใช้ของนางคอยประคองไว้ นางนิ่งอึ้งไปนานทีเดียว
ฮ่องเต้เริ่มจะใส่ใจหรงเฟยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ถึงได้ยอมเสียสละชีวิตลูกหลงของเขาเพื่อรักษาชีวิตของหรงเฟยไว้ให้ได้?
นี่มันเหมือนเรื่องตลกชัดๆ!
หมอตำแยสองคนสบตากัน แต่กลับโอ้เอ้ไม่ลุกขึ้นมา และเอาแต่มองไปทางเหยียนหลิงจวินอย่างอึกอัก
เหยียนหลิงจวินไม่แสดงความเห็นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเดินไปตำหนักข้างๆ ดึงแขนเสื้อขึ้นและเขียนใบสั่งยา
เขาทิ้งใบสั่งยาไว้และกำชับข้อควรระวังในการใช้ยาแล้วก็จากไปพร้อมกับฉู่สวินหยาง ไม่อยู่ที่นี่ต่อเช่นกัน
หลังจากออกมาจากตำหนักแล้วฉู่สวินหยางยืนอยู่ตรงประตูใหญ่และหันกลับไปมองตำหนักที่แสงไฟสว่างไสวไปทั่วทางด้านหลัง รอยยิ้มเยาะเย้ยค่อยๆ ผุดขึ้นมาตรงมุมปากของนาง “ที่แท้พระองค์ก็ทรงทราบเรื่องระหว่างทั่วป๋าไหวอันกับทั่วป๋าหรงเหยาสองพี่น้องตั้งนานแล้ว”
เรื่องบัดสีระหว่างทั่วป๋าไหวอันกับทั่วป๋าหรงเหยาสองพี่น้องนี้เป็นเรื่องจริง ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะไม่คิดว่าทั่วป๋าไหวอันจะโง่ถึงขั้นใช้วิธีปลอมปนสายเลือดของราชวงศ์มาวางแผนร้ายอะไรบางอย่าง…
ทว่าชัดเจนมากว่าฮ่องเต้ก็คิดเช่นนี้
ต่อให้พิสูจน์สายเลือดของเด็กคนนี้ให้แน่ชัดไม่ได้ เขาก็จะไม่เสี่ยงปล่อยให้ลอยนวลเหมือนกัน
ดังนั้นเขาก็ไม่คิดจะให้ทั่วป๋าหรงเหยาคลอดเด็กออกมาได้อย่างสบายๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ว่าแต่ทรงทราบได้อย่างไรกัน?” เหยียนหลิงจวินยิ้มอย่างมีเลศนัยและสบตากับฉู่สวินหยาง
หากเขารู้เรื่องนี้ดีตั้งแต่ทั่วป๋าหรงเหยาเข้าวัง เช่นนั้นก็ไม่น่าจะตกลงให้นางที่ตั้งใจมาสวมเขาให้ตนเองเข้าวังมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือเขาได้ข่าวมาทีหลัง
“ไม่ใช่ฉู่อี้เจี่ยนก็ต้องเป็นฉู่ฉีเหยียน ไม่งั้นยังจะเป็นใครไปได้อีก?” ฉู่สวินหยางเอ่ย
จะยืมมือฮ่องเต้ฆ่าคน สองคนนี้ก็ถือว่าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย
แต่เหยียนหลิงจวินกลับส่ายหน้ายิ้มอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย เขาหันมาพลางเดินต่อไปข้างหน้าและถึงจะค่อยๆ เอ่ยอีกว่า “อาจจะมีคนหวังที่จะเห็นเรื่องนี้สำเร็จ ถึงได้ทำเนียนผสมโรงไปด้วย แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆ ตนเองจะกลายเป็นสินค้าขายดีไปเสียแล้ว ใครๆ ต่างก็อยากจะแทงข้าให้ได้สักแผล!”
ฉู่สวินหยางหัวเราะเพราะน้ำเสียงเยาะเย้ยตนเองของเขา นางรีบวิ่งตามเขาไปและกลอกตาใส่เขาว่า “ใครใช้ให้เจ้าเกิดมาแบบแค่เห็นหน้าก็เกลียดแล้วล่ะ?”
เหยียนหลิงจวินเหลือบเห็นรอยยิ้มสว่างไสวอย่างมีเลศนัยของนาง สายตาเฉียบแหลมกวาดมองไปทั่ว พอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้วก็ยื่นแขนไปโอบเอวบางนุ่มแน่นรวบนางเข้าสู่อ้อมกอด แล้วหลบเข้าไปซ่อนหลังต้นหอมหมื่นลี้ที่อยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว
เหมือนเขาจงใจแกล้งกอดรัดนางอย่างแรง จนฉู่สวินหยางหายใจไม่ออกและตีมือเขาอย่างโมโห ทว่าเขากลับฉวยโอกาสก้มหน้าลงมางับปลายจมูกของนาง “สรุปแล้วแค่เห็นหน้าเจ้าก็เกลียดแล้วหรือแค่เห็นหน้าข้าก็เกลียดแล้วกันแน่?”
ฉู่สวินหยางเอียงศีรษะหลบ แต่เขาก็งับติ่งหูของนางจนได้
พอโดนกัด ฉู่สวินหยางก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด นางรีบผลักหน้าเขาออกและเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ็บมากนะ!”
“ยังรู้สึกเจ็บหรือ? รับเคราะห์แทนเจ้าแล้วยังต้องมาฟังเจ้าพูดจาเสียดสีกระแหนะกระแหนอยู่ข้างๆ ข้ายังคิดว่าเจ้าไร้หัวใจแล้วเสียอีก!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย แล้วโน้มตัวฉกจูบนางอย่างรวดเร็วอีก
ฉู่สวินหยางยอมปล่อยให้เขากักตัวไว้ในอ้อมกอดพลางเอียงศีรษะ คิดแล้วก็ยกมือเกาะตรงซอกคอของเขา นางมองเขาและยิ้มตาหยีว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็เต็มใจทำเอง จะมาเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”
“หึ…” เหยียนหลิงจวินหัวเราะเสียงต่ำแล้วก็นิ่งไป อาศัยแค่แสงจันทร์มองใบหน้างดงามของนาง ถอนหายใจกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเจ้านิสัยเหมือนใครจริงๆ ดีที่เกิดที่วังบูรพา มีพ่อและพี่ชายคอยปกป้องเจ้า หากไปเกิดที่อื่นก็ไม่แน่ว่าจะต้องเสียเปรียบคนอื่นสักแค่ไหนกัน!”
นิสัยนี้ของฉู่สวินหยาง บางครั้งก็ทำให้รู้สึกว่าควบคุมได้ยากจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องละทิ้งจิตใจอันแข็งแกร่ง นิสัยส่วนตัวของนางที่เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา จริงใจ และจิตใจเยือกเย็นนั้นล้วนมักจะทำให้รู้สึกว่ารับมือได้ยากเสมอ
นางชอบเจ้าก็คือชอบเจ้า จะไม่ปิดบังความรู้สึก อยากจะปฏิเสธแต่ก็ยอมทำตามใจ เว้นแต่จะมีเหตุผลชัดเจนที่จำเป็นต้องปฏิเสธ ไม่งั้น…
ก็จะเชื่อใจอีกฝ่ายจนถึงที่สุดจริงๆ
การอยู่ด้วยกันแบบนี้เรียบง่ายที่สุดและล้ำค่ามาก
ทว่าทุกครั้งที่เห็นใบหน้าแสนเอาแต่ใจและงดงามนี้ของนาง บางครั้งเหยียนหลิงจวินก็จะรู้สึกว่าตนเองดูนางไม่ออก แล้วก็ไม่มีทางที่จะควบคุมนางได้เช่นกัน
ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ…
จึงเปลี่ยนให้นางมาควบคุมทุกอย่าง และเปลี่ยนให้นางมาควบคุมเขาแทน
ถึงจะสลับบทบาทสำคัญกันเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกว่ารับไม่ได้ตรงไหน เพียงแค่ยังจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเป็นบางครั้งเท่านั้น
“ไปเถอะ กลับไปที่งานเลี้ยงก่อน อีกสักครู่หากคนอื่นออกจากวังแล้วหาพวกเราไม่เจอจะแย่เอา!” พอสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เหยียนหลิงจวินก็จูบหน้าผากนางเบาๆ อีกครั้ง แล้วจับมือนางเดินกลับไป
ตอนที่ทั้งสองคนจูงมือกลับไปนั้นก็เหมือนจะดึกแล้วจริงๆ
หลังจากฮ่องเต้กลับมาจากตำหนักของทั่วป๋าหรงเหยาก็หมดอารมณ์แล้ว จึงสั่งให้เลิกงาน ทว่าขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินออกไปนอกตำหนักนั้นกลับเห็นองครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน และตะโกนเสียงดังว่า “ฝ่าบาท ที่พำนักขององค์ชายหกแห่งหนานฮวาเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
———————————