สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 84.2 เมืองหลวงวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างฉกฉวย (2)
เวลานี้ที่พำนักขององค์ชายหกแห่งหนานฮวาเกิดความวุ่นวายไปทั่ว ผ่านไปค่อนคืนแล้วแต่ไฟตะเกียงยังจุดสว่างโร่ สาวใช้กับองครักษ์พากันเดินเข้าออกกันให้ควั่ก ด้านในเสียงดังจ้อกแจ้ก อลหม่านไปทั่ว
ฉู่อี้อันแวะมาเพียงครู่เดียว เพียงสอบถามสถานการณ์ให้ชัดเจน สั่งให้คนออกค้นหา แล้วเขาก็จากไป
ตอนที่เฟิงเหลียนเซิ่งไปถึง ตรงนั้นยังคงสับสนไร้ระเบียบเละเทะไปหมด
“องค์รัชทายาท!” หลี่เหวยที่ล่วงหน้ามาตรวจสอบก่อนแล้วเดินออกมารับหน้าเขาด้วยท่าทีเป็นกังวล
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เฟิงเหลียนเซิ่งถาม ฝีเท้าก้าวต่อเข้าไปด้านใน
“ก่อนเกิดเรื่องไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยพ่ะย่ะค่ะ ขนาดองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้ององค์ชายหกก็ยังไม่รู้สึกผิดสังเกต กระทั่งตอนที่สาวใช้เข้าไปเปลี่ยนอาหารว่างให้จึงพบว่าคนไม่อยู่ในห้องแล้ว” หลี่เหวยรายงาน สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตก “เมื่อครู่รัชทายาทแห่งซีเยว่แวะมา ตรวจสอบพบว่าใต้เตียงมีอุโมงค์ที่ขุดขึ้นใหม่ คาดว่าองค์ชายหกน่าจะหนีไปทางนั้น ในขณะนี้ศาลาว่าการได้ส่งคนไปสืบหาแล้ว เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าองค์ชายหกถูกคนจับตัวไปหรือว่าติดต่อกับคนนอกแล้วหนีออกไปเองขอรับ”
“ข้ามาที่นี่เพื่อรับเขากลับวัง จะติดต่อคนนอกแล้วหนีไปเพื่ออะไร? ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งซีเยว่ เขาจะไปรู้จักใครได้?” เฟิงเหลียนเซิ่งยิ้มเย็น เอ่ยกับหลี่เหวยด้วยท่าทีข่มขู่ “คำพูดของข้า ฟังเข้าใจหรือไม่?”
หากว่าองค์ชายหกมีหนทางที่หนีเอาตัวรอดไปได้อย่างเงียบเชียบ คงไม่ต้องรอจนถึงวันนี้
เห็นชัดว่าฉู่สวินหยางมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
นังเด็กนั่นคิดจะทำอะไร? ใช้การหลบหนีขององค์ชายหกเป็นจุดเริ่มต้น คิดจะใส่ร้ายว่าเขาวางแผนทำเรื่องเลวทราม?
นางก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น แล้วตัวนางจะได้ประโยชน์อะไร?
เฟิงเหลียนเซิ่งแค้นใจนัก มองที่พำนักนอกในที่วุ่นวายเละเทะก็รู้สึกเบื่อหน่าย
อย่างไรเรื่องราวทั้งหมดก็วางแผ่ให้เห็นอยู่ตรงหน้า เขาลังเลเล็กน้อย ชะงักเท้าหยุด แล้วหมุนกายออกไปด้านนอก
“ข้าจะกลับไปรอฟังข่าวที่จวน เจ้าพาคนไปช่วยศาลาว่าการทางนั้นค้นหาร่องรอยของเจ้าหกเถอะ!” เฟิงเหลียนเซิ่งสั่ง
“ขอรับ!” หลี่เหวยรับคำ กำลังจะหมุนกายตามเขาไปด้วยใจไม่อยู่กับตัว วินาทีนั้นดวงหน้าพลันเปลี่ยนสี
“ฝ่าบาทระวัง!” หลี่เหวยร้องตกใจก่อนกระโจนเข้าหา แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ยังดีที่เฟิงเหลียนเซิ่งปฏิกิริยาว่องไวพอ เห็นว่าองครักษ์ที่พุ่งเข้าใส่ควักมีดสั้นคมกริบออกจากแขนเสื้อคิดจะปักลงที่หัวใจของเขา เพราะหลบไม่ทัน จึงตัดสินใจยกมือหยุดคมมีดของคนผู้นั้นไว้
คนผู้นั้นนึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาเนื้อหนังมาเป็นเกราะ พลันตะลึงตะลานไป
ขณะที่จะเพิ่มแรงกดบนมีดสั้น หลี่เหวยก็ตามมาทันจากด้านหลัง ยกเท้าถีบใส่จนกระเด็นไปไกล
ร่างของคนผู้นั้นกระแทกกับกำแพงเสียงดังก่อนจะร่วงลงพื้น กระอักเลือดออกมา
มือของเฟิงเหลียนเซิ่งยังกำคมมีดไว้ มือกุมหน้าอกด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ระหว่างซอกนิ้วมีเลือดอุ่นหยดลงมาไม่หยุด
“ฝ่าบาท!” หลี่เหวยตกใจใหญ่โต เก็บสีหน้ากระสับกระส่ายไว้ไม่มิด
นักฆ่าผู้นั้นนอนกองบนพื้นไม่คิดสู้ต่อ พยุงร่างให้ปีนขึ้นมาแล้วพุ่งไปทางประตู
“จับเป็นมาให้ข้า!” เฟิงเหลียนเซิ่งกัดฟันสั่ง บนหน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปน ส่อแววอำมหิตอย่างบอกไม่ถูก
องครักษ์ด้านนอกของเขาวิ่งกรูเข้ามาในลานเมื่อได้ยินเสียง
นักฆ่าผู้นั้นเห็นว่าเบื้องหน้าไร้ทางหนี นัยน์ตาวาบสีดำมืด พลันก็เอามือล้วงเข้าไปในอก
ครั้งนี้หลี่เหวยเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ไม่รอให้เขาควักของที่อยู่ในอกออกมา ก็กระชากเฟิงเหลียนเซิ่งหลบไปด้านข้างทันที
วินาทีต่อมาที่นักฆ่าสะบัดมือใส่ กระสุนลูกใหญ่สีดำเมี่ยมก็วิ่งเข้าใส่โคมแขวนใต้ชายคาด้านหลังจนแตก
ร่วงเพล้งลงพื้น!
เสียงระเบิดดังสนั่นจนฟ้าดินสั่นสะเทือน ผนังพังลงมา ไม่รู้ลูกไฟบินเข้ามาจากไหนจนทั่วสารทิศ
ในลานมีควันดำลอยทั่วทุกหนแห่ง เสียงตะโกนด่าทอเกรี้ยวกราดดังระงม สับสนอลหม่าน
เฟิงเหลียนเซิ่งถูกหลี่เหวยกระชากให้นอนหมอบอยู่บนพื้น บนร่างของคนทั้งคู่นั้นมีประกายไฟติดอยู่จนไม่เหลือเค้าของผู้สูงศักดิ์ องครักษ์ที่อยู่ไม่ไกลรีบเข้ามาดับไฟให้ทันที
ดวงหน้าของเฟิงเหลียนเซิ่งมีเขม่าควันเปื้อนจนมองไม่เห็นสีเดิม ดำปิ๊ดปี๋ไม่ต่างอะไรกับก้นหม้อ
หลี่เหวยกลัวเขาจะถูกไฟลวก ไม่ทันได้คำนึงถึงฐานะ เห็นถังไม้อยู่ข้างตีนกำแพงก็วิ่งไปหิ้วมา ก่อนจะราดน้ำเย็นเฉียบที่มีอยู่ครึ่งถังใส่ศีรษะเขาทันที
ประกายไฟบนเสื้อผ้าดับมอด เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ยอมปริปาก มือขวากดตรงหน้าอก เลือดสดๆ ที่ไหลตามหว่างนิ้วมองไม่ออกว่าเป็นสีใด
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นอะไรไหมขอรับ?” เหล่าองค์รักษ์ถามกันให้วุ่นวายด้วยความเป็นห่วง
เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ตอบ สายตาจดจ้องมุมใดมุมหนึ่งกลางอากาศที่ว่างเปล่า
เขาเม้มปากแน่นไม่ส่งเสียง คล้ายว่าไม่สนใจว่าตนจะอยู่ในสภาพย่ำแย่เพียงใด เพียงลากเท้าออกเดิน ก้าวขาหนักอึ้งทีละก้าวผ่านฝูงชนที่ร้องดังระงมไปทางประตูใหญ่
เหล่าองครักษ์ได้แต่มองหน้ากัน จากนั้นก็ตามไปด้วยความเคร่งเครียด
นับจากนั้นร่างของเขาก็เหมือนถูกหุ้มด้วยน้ำแข็ง ส่งผลให้บรรยากาศรอบด้านแปลกประหลาดอย่างสิ้นเชิง
หลี่เหวยเห็นเขาออกจากประตูไป ก็รีบสั่งให้คนจูงม้ามาให้ ตอนที่จะพยุงเขาขึ้นหลังม้า เขากลับยกมือซ้ายหยุดไว้เสียก่อน
หลี่เหวยถูกผลักให้ถอยออกมาก้าวหนึ่ง
เฟิงเหลียนเซิ่งปีนขึ้นม้าเองด้วยสีหน้าเย็นเยียบ แต่สายตาของเขากลับล่องลอย เท้าที่ยกขึ้นจึงเหยียบพลาด ด้วยหาตำแหน่งของโกลนม้าไม่เจอ
หลี่เหวยถูกรังสีดำมืดของเขาแผ่ใส่จนรู้สึกกลัว ยื่นมือออกไปแต่ก็ไม่กล้าประคองเขา
เฟิงเหลียนเซิ่งก้าวขาครั้งที่สองถึงค่อยปีนขึ้นม้าได้สำเร็จ
หลี่เหวยคุ้มกันเขาอยู่ด้านหลัง พอเห็นว่าเขานั่งได้มั่นคงแล้ว ตนกำลังจะหมุนกายปีนขึ้นม้าบ้าง พลันเห็นร่างสูงบนหลังม้าของเฟิงเหลียนเซิ่งโอนเอนไปมา
วินาทีถัดไป อย่างไม่มีสัญญาณเตือน ร่างนั้นก็ร่วงหล่น
“ฝ่าบาท!”
เปลวเพลิงในที่พำนักพุ่งสูงเทียมฟ้า ที่หน้าประตูใหญ่พลันสับสนวุ่นวายไม่หยุด
ฉู่สวินหยางหยุดม้าที่หัวมุมถนน จ้องมองไปจากมุมมืดที่แสงสลัว มุมปากค่อยๆ คลี่ยิ้ม “รัชทายาทหนานฮวาผู้นี้ช่างปรับตัวเข้าได้กับทุกสถานการณ์จริงๆ”
พูดจบก็บังคับม้าให้หันเดินกลับ
“ท่านหญิง เช่นนี้เขาก็หลุดจากผู้ต้องสงสัยแล้วสิเจ้าคะ!” เจี๋ยหงขี่ม้าตาม ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเสียใจ
“ปล่อยเขาไป เขาไม่ยอมเข้าร่วม ข้าก็ยังมีคนอื่นที่ใช้งานได้อยู่” ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้มอย่างไม่แยแส ก่อนจะหันกลับไปมองอีกที
เฟิงเหลียนเซิ่งผู้นี้เป็นคนเด็ดขาด ไม่รอให้นางเดินหมากก็เขียนบทแสดงเองเสียแล้ว ทั้งยังเล่นบทเจ็บตัวเสียด้วย
อีกเดี๋ยวเขาคงต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อโวยวายอีกฉากหนึ่งแน่…
องค์รัชทายาทแห่งหนานฮวาถูกลอบฆ่ากลางเมืองหลวง?
มองอย่างไรก็เป็นความรับผิดชอบของซีเยว่
ที่สำคัญ…
องค์ชายหกกับเขาเกิดเรื่องติดๆ กัน ดูท่า…
เรื่องนี้คงโยงไปถึงตัวเขาไม่ได้แล้ว
——————————-