สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 84.4 เมืองหลวงวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างฉกฉวย (4)
วินาทีที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศ ฉู่สวินหยางเปิดรับโสตประสาทเต็มที่ อาศัยแสงจากดวงจันทร์ พลันสังเกตเห็นตะปูยาวสะท้อนแสงอยู่บนพื้นเต็มบริเวณหนึ่งจั้ง
ปลายตะปูคมกริบ ด้านบนมีสีดำเข้ม เห็นชัดว่าถูกเคลือบด้วยพิษ วางกระจายอย่างหนาแน่นอยู่ทั่วพื้น
ฉู่สวินหยางลอยอยู่กลางอากาศ ในเสี้ยววินาที นางพลิกมือดึงกริชที่ซ่อนไว้ในรองเท้าหุ้มข้อออกมา ตอนที่ร่วงถึงพื้นก็ใช้กริชปักลงบนถนน จากนั้นก็ยืมแรงส่งตัวตีลังกาออกมาจากบริเวณนั้น
เวลาเดียวกัน มืออีกข้างก็ดึงแส้ออกมาจากแขนเสื้อ
เดิมนางคิดจะตวัดแส้เกี่ยวชายคาที่อยู่ด้านหนึ่งของถนน
แต่คนที่ซ่อนตัวในเงามืดกลับไม่ยอมให้นางรอดไปได้ง่ายๆ พุ่งตัวออกมาจากมุมอับของถนน แล้วเงื้อมีดฟันใส่แส้ของนาง
ฉู่สวินหยางหรี่ตามอง รีบสละชายคานั้น แส้ในมือพลันเปลี่ยนทิศ หันไปสะบัดใส่เอวของคนผู้นั้นแทน
มีดในมือคนผู้นั้นร่ายรำอยู่กลางอากาศ คิดจะล่าถอยเอาตัวรอดแต่ก็สายเกินแก้ ร่างกายซวนเซ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงครวญครางเมื่อตัวกระแทกลงพื้น
ตะปูยาวที่กระจุกแน่นบนพื้นทิ่มแทงร่างเขาจนพรุน
ฉู่สวินหยางกระตุกปลายแส้ที่พันอยู่กับเอวเขาเพื่อทำให้เกิดแรงกระชากกลับ ร่างที่ลอยอยู่เหนือสนามตะปูเหยียบเท้าลงบนศพที่เปลี่ยนเป็นสีดำด้วยความผ่อนคลาย ก่อนจะเคลื่อนตัวผ่านไป
สีหน้าของนางสบายใจไร้กังวล ไม่มีซึ่งความหวาดกลัวหรือโกรธแค้นอย่างคนที่เพิ่งเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ที่มุมปากยังมีรอยยิ้มหยันติดอยู่
บนตะปูนั่นมีพิษของต้นน่องยางขาว[1]เคลือบไว้ เมื่อคนผู้นั้นร่วงลงไปจึงไร้กระทั่งการดิ้นรน
อีกสิ่งหนึ่งที่ถูกพิษของตะปู คือม้าของนางที่ตอนนี้นอนไม่กระดุกกระดิกไร้สัญญาณชีพ
ในตรอกไร้สรรพเสียง คล้ายความสงัดเงียบของความตาย
ที่ทางออกของตรอกปรากฏคนชุดดำสิบกว่าคนยืนถือดาบยาวเดินไล่ต้อนเข้ามา
ในมือของฉู่สวินหยางกำแส้อยู่ ร่างยืนไม่ไหวติง หลับตานิ่งไร้เสียง
ผู้ชมที่ซ่อนตัวในเงามืดคล้ายคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ค่อยๆ ถอยไปด้านหลังไป ทว่าเสื้อคลุมที่ถูกลมราตรีกรีดผ่าน ทำให้เกิดเสียงอันน้อยนิดขึ้น
ปลายหูของฉู่สวินหยางขยับ พลันลืมตาขึ้น ปลายเท้าเตะพื้นเบาๆ แล้วลอยตัวข้ามกำแพงทางขวา ฝีเท้านางพุ่งไปด้านหน้าอย่างว่องไว กระโดดถีบชายที่กำลังวิ่งหนีกระแทกใส่บานประตูทันที
เรือนหลังนี้เก่าครึ ประตูบานนั้นก็อายุมากแล้ว
เสียงปังดังสนั่น ประตูสองบานหลุดออก คนผู้นั้นกระเด็นไปไกล กระแทกเสียงตุ้บกับกำแพงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
คนชุดดำเพิ่งจะกรูมาถึง เดิมคิดว่านางจะปีนกำแพงหนี จึงคิดไล่ตามจับ ทว่าพอเห็นคนด้านในลอยออกมาก็แตกตื่น ชักเท้าถอยหลังหนีไปตามๆ กัน
ฉู่สวินหยางถีบคนผู้นั้นออกมาแล้ว ตนก็รีบวิ่งตามมา
คนผู้นั้นถูกกระแทกจนกระดูกร้าวไปทั้งตัว ยังไม่ทันได้หยุดพักหายใจ ก็รู้สึกเจ็บแปลบและอึดอัดที่หน้าอก แล้วก็เป็นฉู่สวินหยางที่ไล่ตามมาและใช้เท้าเหยียบอกเขาไว้
“โอ๊ย…” ชายผู้นั้นส่งเสียงร้อง ดวงหน้าที่เคยหล่อเหลาบิดเบี้ยวอย่างขลาดกลัว
“องค์ชาย!” กลุ่มคนชุดดำมองดูด้วยความโง่งม บางคนส่งเสียงเจ็บแค้น
ฉู่สวินหยางตวัดตาไปมองแล้วก็หัวเราะเยาะหยัน “พวกนี้เป็นทหารพลีชีพขององค์ชายหกรึ? พวกเขาเก่งกาจไม่เบา ถึงขนาดเดินทางเป็นพันลี้แล้วแฝงตัวเข้ามาในเมืองหลวงแห่งซีเยว่ได้!”
องค์ชายหกที่ถูกนางเหยียบอกอยู่หน้าแดงก่ำ ทั้งโมโหทั้งเจ็บใจ เค้นเสียงลอดฟันว่า “ก็แค่ลูกไก่ในกำมือ เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป ฉู่สวินหยาง เจ้าคิดว่าจะรังแกข้าได้ง่ายๆ รึ? คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เจ้าต้องการตลอดหรือไง วันนี้ตอนนี้ พวกเรามาล้างบัญชีแค้นกันให้จบไปเสีย!”
หากไม่ใช่เพราะเด็กนี่ลักพาตัวเขามาที่ซีเยว่ เขาคงไม่ต้องตกต่ำถึงเช่นนี้
บีบให้ฮ่องเต้หนานฮวายอมพักรบ ซ้ำยังต้องให้เฟิงเหลียนเซิ่งมาไถ่ตัวเขาคืน กลับไปมีแต่จะถูกสงสัยเคลือบแคลง นับแต่นี้ชื่อเสียงของเขาในราชสำนักคงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
ได้มาเจอนังเด็กเฮงซวยคนนี้ เขาก็เหมือนต้องตกนรกทั้งเป็น
ความจริงหลังจากที่คืนนี้เขาหลบหนีออกมาได้ก็ควรจะรีบออกจากเมืองหลวง ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจกล้ำกลืนความเจ็บแค้น จึงคิดอุบายใหม่ แล้ววนกลับมาตามหาฉู่สวินหยาง
คาดไม่ถึง ว่าสุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า!
องค์ชายหกอับอายหนัก อาศัยว่าพวกมากกว่า จึงเอ่ยวาจากำแหงโดยไม่ได้ดูว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน
ฉู่สวินหยางกลับไม่คิดว่าคนที่แอบซุ่มโจมตีนางจะเป็นเขา ทีแรกก็ตะลึงอยู่บ้าง จากนั้นค่อยรู้สึกว่าน่าขัน กวาดตามองพวกคนชุดดำที่ออกันอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาเตรียมพร้อม
องค์ชายหกท่านนี้ ก็แค่เด็กที่ถูกตามใจจนเสียคน ส่วนลูกล่อลูกชน…
เมื่อเทียบกับพี่ชายผู้เป็นรัชทายาทแล้ว ยังห่างไกลมากกว่าหนึ่งขั้นเสียอีก
พอนึกได้ว่าเรื่องสำคัญของตนถูกเขาขัดขวาง ฉู่สวินหยางจึงหงุดหงิดขึ้นมาหลายส่วน มองไปรอบด้านด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนถีบองค์ชายหกออกไป ทางหนึ่งก็ตบเสื้อที่เป็นรอยยับ พลางเอ่ยว่า “เจ้ามีเวลามาปากเก่งกับข้าตรงนี้ มิสู้ไปคิดหาข้าข้ออ้างที่จะอธิบายให้ฮ่องเต้หนานฮวาฟังดีกว่า องค์รัชทายาทหนานฮวาถูกลอบฆ่าในที่พำนักของเจ้า จนบาดเจ็บสาหัสไม่ได้สติ องค์ชายหกคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองสักนิดเลยหรือ?”
พอองค์ชายหกหนีรอดมาได้ ก็เอาแต่คิดว่าจะหาทางแก้แค้นฉู่สวินหยางอย่างไรดี เรื่องของเฟิงเหลียงเซิ่งทางนั้น เขาเพิ่งได้ฟังเป็นครั้งแรก
ได้ยินดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเขาเชื่อหรือเพราะมันยากจะเชื่อกันแน่ เขาจึงเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ครึ่งค่อนวัน
หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฟิงเหลียงเซิ่งที่นี่ แน่นอนว่าเขาต้องโดนเพ่งเล็งอย่างไม่ต้องสงสัย!
เดิมเขาคิดอาศัยจังหวะชุลมุนจับตัวฉู่สวินหยาง อย่างน้อยกลับไปก็คงกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาได้บ้าง แต่ตอนนี้….
มิกลายเป็นว่าเขาทำให้เรื่องแย่ลงหรอกหรือ?
“เป็นแผนของพวกเจ้าซีเยว่?” เมื่อสมองกลับมาทำงาน องค์ชายหกก็กัดฟันกรอด สายตาอำมหิตจ้องฉู่สวินหยางเขม็ง ราวกับว่ามันสามารถทิ่มแทงร่างนางให้เป็นรูได้
“ไม่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นหรอก ก็แค่หยิบฉวยเล็กๆ น้อยๆ ข้าคิดว่าพวกเจ้าพี่น้องอุตส่าห์รอนแรมมาตั้งไกล หากไม่ใช้ให้คุ้มค่าหน่อยคงน่าเสียดายแย่!” ฉู่สวินหยางยิ้มหวาน พร้อมกับเอ่ยยอมรับอย่างใจกว้าง
ขนาดเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือ นางยังทำทีเป็นยี่หระไม่ใส่ใจ?
หัวใจขององค์ชายหกถูกไฟแค้นโหมท่วม กำลังจะยกมือออกคำสั่ง กลับเห็นฉู่สวินหยางกระตุกมุมปาก แล้วถอนหายใจไปทางพื้นที่ว่างเปล่าสักมุมหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง
สายตาของนางซับซ้อน คล้ายว่ากำลังรอใครบางคน
สุดท้ายคนขององค์ชายหกก็ถือดาบดาหน้าเข้าใส่ นางได้แต่ยิ้มขื่น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แล้วสะบัดแส้ในมือใส่ด้วยไอสังหารรุนแรง
คนผู้นั้นตามนางมา แต่ตอนนี้นางกำลังคาดหวังสิ่งใด? คนผู้นั้นก็แค่มองหาโอกาสเหมาะๆ รอซ้ำเติมนางให้ถึงตายก็เท่านั้น!
——————————————————–
[1] น่องยางขาว ชื่อภาษาจีนแปลเป็นไทยว่า “เห็นเลือดปิดคอ” มีชื่อเรียกภาษาจีนอีกชื่อหนึ่งคือลูกศรพิษ ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิและช่วงฤดูร้อน ออกผลสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อผลสุกเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำเข้ม ผลมีรสขม และมีพิษ ยางไม้ก็มีพิษด้วยเช่นกัน ซึ่งพิษของพืชชนิดนี้มีผลต่อการเต้นของหัวใจ จัดเป็นพืชอนุรักษ์ระดับสามของจีน