สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 86.2 ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่น ฮ่องเต้สาบสูญ (2)
นางมีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวองครักษ์ แม้ว่าองครักษ์ที่ฉู่หลิงอวิ้นพามาล้วนไม่ได้มีฝีมือธรรมดา แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าหน้าแล้วก็ไม่อาจเปรียบกันได้…
อีกฝ่ายต้องการตัวคน ในขณะเดียวกันก็ยังต้องรักษาชีวิต ทว่านางกลับต้องการแค่ชีวิตคนเท่านั้น
ตั้งแต่ต้นก็ออกลวดลายได้อย่างดี องครักษ์เจ็ดคนที่พุ่งเข้าไปหา ล้มลงไปกว่าครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิงอวิ้นเห็นคนแซ่ฟางกับคนขององค์ชายหกหนานฮวาประมือกันอยู่ไกลๆ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้สนใจนางเท่าไร เพียงแค่คิดว่าคนหนานฮวาพวกนั้นไม่เอาไหนก็เท่านั้น เวลานี้เพิ่งจะคิดได้ว่าตัวเองประมาทศัตรูเกินไป
นางเห็นความสามารถลับที่เร้นอยู่ภายในกายของคนแซ่ฟาง ถ้าอย่างนั้นแล้ว…
ใจของฉู่หลิงอวิ้นเหมือนถูกแช่แข็ง เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วร่างโดยพลัน
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างหวาดกลัว
แท้จริงแล้วคนแซ่ฟางมีใจคิดจะฆ่าคนปิดปาก หลังจากสลัดตัวพ้นจากองครักษ์มากมายที่รุมล้อมแล้ว ก็ยกดาบทะยานผ่านฉู่หลิงอวิ้นพุ่งไปหาคนที่อยู่ข้างกายนาง
ฉู่สวินหยางเดิมทีก็ไม่ได้กังวลว่าฉู่หลิงอวิ้งจะมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่ จึงเดินออกไปจากตรอกโดยไม่หันกลับมามอง ไม่สนใจเรื่องด้านหลังแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าคนรอบกายค่อยๆ ล้มลงจมไปในบ่อเลือดทีละคน ฉู่หลิงอวิ้นก็หวาดผวา ตกใจจนใบหน้าไร้สีเลือด เมื่อตั้งสติได้ก็หันหลังวิ่งไปทันที
ดาบของคนแซ่ฟางกรีดผ่านลำคอองครักษ์คนสุดท้ายแล้ว ก็พุ่งปราดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ชี้ดาบไปที่จุดตายของนาง
ฉู่หลิงอวิ้นวิ่งอยู่ด้านหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ถึงสถานการณ์ด้านหลัง ขนทั่วร่างกายก็ลุกชันไปหมด เย็นยะเยือกตั้งแต่หัวจรดเท้า นางหวีดร้องออกมา เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะตายใต้คมดาบของคนแซ่ฟาง ในสถานการณ์ความเป็นความตายนั้น กลับปรากฏเงาหนึ่งตรงหน้าลอยผ่านเข้ามารวดเร็วปานสายฟ้า
“ฉีเหยียน!” ฉู่หลิงอวิ้นพลันดีใจ ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
ฉู่ฉีเหยียนพรวดพราดเข้ามาจากตรอกด้านนอกนั้น ยื่นมือสกัดนางไว้ อีกมือก็จับข้อมือนางก่อนจะเหวี่ยงไปด้านหลัง
แต่อย่างไรเขาก็เข้ามาอย่างเร่งรีบ จึงไม่ได้หลบแผนการสังหารของคนแซ่ฟางได้พ้นทั้งหมด เอนตัวไปด้านข้าง ก็ยังคงถูกคมดาบของคนแซ่ฟางเฉือนลงบนต้นแขนอยู่ดี
แผลนั้นลึกจนเห็นถึงกระดูก ครู่เดียวเลือดก็ไหลทะลักออกมา
คนแซ่ฟางโจมตีในดาบเดียวไม่สำเร็จ ก็พลิกข้อมือถลาเข้าไปเพื่อจะลงดาบซ้ำอีกครั้งทันที
ในขณะเดียวกันฉู่ฉีเหยียนก็ถอยฝีเท้าไปด้านหลังอย่างคล่องแคล่ว พลางกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นเยียบ “ท่านควรจะคิดให้ดี ยามนี้แน่นอนว่าท่านอาจจะฆ่าปิดปากพวกเราได้ แต่ว่าความลับของท่านก็อย่าได้หวังว่าจะปิดไปได้จนถึงพรุ่งนี้!”
คนผู้นี้ เป็นคนที่ฉลาดวางแผนโดยแท้
แม้ว่าคนแซ่ฟางจะไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงมานาน แต่นางก็รู้ดี
เพราะก่อนหน้านี้ที่นางเร่งไปที่เมืองฉู่ ตัวนางเองก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าหากเรื่องนั้นถูกคนแพ่งเล็ง ก็ย่อมต้องโดนเปิดเผยอย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่า…
กลัวอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น ฉู่ฉีเหยียนได้จับตามองนางตั้งแต่ตอนนั้นเสียแล้ว
เพราะหากว่าคาดเดาได้นานแล้ว เขาย่อมต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าอย่างแน่นอน
การเคลื่อนไหวที่มือของคนแซ่ฟางแผ่วลง ลังเลไปชั่วครู่ ยากที่จะละความสนใจไปได้
และในช่วงเวลานี้ ข้างกำแพงด้านหลังพลันปรากฏเงาดำร่างหนึ่งทะยานลอยขึ้นมา ดาบยาวในมือพุ่งเข้ามาอย่างไม่ออมมือ
ปฏิกิริยาของคนแซ่ฟางนับว่ารวดเร็ว วาดดาบออกไปปัดป้องอย่างทันที
กลับเป็นขณะนี้ ที่ทำให้ด้านหน้าของนางไร้การป้องกัน
ฉู่ฉีเหยียนก้าวเท้าตามประชิดไปโดยพลัน ใช้ฝ่ามือโจมตีเข้าที่อกนาง
แม้ว่าจะไม่ได้ถูกคมดาบของหลี่หลิน ทว่าฝ่ามือนั้นของฉู่ฉีเหยียนกลับมีพละกำลังไม่น้อย
ร่างของคนแซ่ฟางถลาออกไป ร่วงลงบนพื้นทันที ผ้าสีดำที่อำพรางใบหน้านั้นเลื่อนลง นางกระอักเลือดออกมาจนไหลลงที่ริมฝีปาก เปรอะเปื้อนจนเป็นคราบเลือด ดูทุลักทุเลไม่น้อย
หลี่หลินยกดาบปรี่เข้าไปหมายจะใช้โอกาสนี้จัดการนาง
กระนั้นพวกเขาก็ยังคงประมาทในกำลังของคนแซ่ฟางต่ำไป แม้จะบาดเจ็บหนัก นางก็ยังมีแรงพยุงตัวขึ้นจากพื้น กระโดดขึ้นไป หมุนกายข้ามออกไปอีกตรอกหนึ่ง
ดวงตาของฉู่หลิงอวิ้นแดงก่ำ กล่าวทั้งเสียงดัง “ฆ่านางเสีย! อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้!”
ยากทีจะมีโอกาสเช่นนี้ หากจับตัวคนแซ่ฟางได้ ก็มีข้ออ้างในการโจมตีวังบูรพาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…
เมื่อครู่หญิงผู้นี้แทบจะเอาชีวิตนางอยู่รอมร่อ
คนแซ่ฟางก็รู้ดีว่าหากนางเจ็บหนักแล้ว ก็ยากที่จะมีโอกาสชนะ จึงไม่ได้ฝืนอันใด ใช้แรงเฮือกสุดท้ายหนีเอาตัวรอด แต่ก็ยังคงเหนือบ่ากว่าแรงอยู่บ้าง
หลี่หลินไล่ตามมาอย่างไม่คิดลดละ เมื่อเห็นว่าเหลือเพียงสามจั้งก็จะสามารถจับตัวนางได้จึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว คลำลงไปที่เอวเพื่อจะคว้าอาวุธลับ
ยามที่นิ้วของเขาเพิ่งจะสัมผัสถูกถุงที่เอว ในมุมมืดด้านนอกฝั่งหนึ่งของตรอก ก็ปรากฏแส้หนึ่งม้วนขึ้นมา ฟาดตรงเป้าพันไปยังข้อมือของเขา
หลี่หลินไม่ทันได้ตั้งตัว ครู่ต่อมาก็ถูกสะบัดด้วยแรงมหาศาลจนร่างถลาออกไปชนเข้ากับกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่น
คนแซ่ฟางที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเพียงกวาดสายตากลับไปมองเท่านั้น คล้อยหลังก็ใช้แรงลอยทะยานออกไปอย่างเงียบๆ
สองพี่น้องฉู่หลิงอวิ้นและฉู่ฉีเหยียนตามออกมาจากตรอก
ฉู่สวินหยางที่กำแส้อ่อนในมือก้าวเท้ายาวออกมาจากเงามุมหนึ่งของตรอกอย่างไม่สนใจใคร ขวางอยู่ที่ทางออกอยู่พอดิบพอดี
ฉู่ฉีเหยียนเห็นนางยังไม่เดินไปไหนก็ไม่ได้แปลกใจนัก กลับทิ้งแผนที่จะตามคนแซ่ฟางไป เหลือบตามองไปที่หลี่หลิน เอ่ยถาม “เป็นอย่างไร?”
หลี่หลินพยุงแขนลุกขึ้นมาจากพื้น ใบหน้านั้นแดงก่ำ กัดฟันกล่าว “แขนหลุดเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมากขอรับ!”
ขณะที่พูดก็ลงมือจัดการตัวเอง ยึดข้อศอกก่อนจะดึงขึ้นไปจนเกิดเป็นเสียงกึกออกมา นำข้อต่อที่หลุดกลับคืนไปยังตำแหน่งเดิม
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นคนแซ่ฟางหนีรอดไปได้ ในใจก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก้าวไปด้านหน้าทั้งยังเผยใบหน้าดุร้าย กล่าวไปยังฉู่สวินหยาง “เจ้าคิดว่านางหนีไปได้แล้ว เรื่องที่พวกเจ้าแม่ลูกสมคบคิดกันจะสามารถปิดไว้ได้งั้นรึ?”
“ปิดได้หรือไม่ได้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า!” ฉู่สวินหยางตัดบทนางอย่างไม่เกรงใจ ปรายสายตาเมินผ่านนางไป หยุดลงที่ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียน “เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ? จะสู้กับข้าอีก หรือว่าจะต่างคนต่างอยู่ สงบศึกชั่วคราว?”
ฉู่ซิ่นได้ถูกส่งกลับมาเมืองหลวงในสภาพคนเป็นก็ไม่ใช่คนตายก็ไม่เชิง นับเป็นการท้าทายครั้งใหญ่ แต่ว่าจนถึงตอนนี้ฉู่อี้เจี่ยนกลับยังคงเอาแต่รั้งทัพไว้
การที่เขาเอาแต่ครุ่นคิดลับๆ เช่นนี้…
แม้ว่าจะเป็นความเห็นของฉู่ฉีเหยียน แต่การซ่อนเร้นในมุมมืดเช่นนี้ ทำให้ไม่อาจจับไพ่ใบสุดท้ายของศัตรูได้ ยิ่งน่ากลัวกว่าการที่แก่งแย่งกับวังบูรพาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เสียอีก
สำหรับเรื่องนี้ แทบไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัดว่าเขาจะเลือกทางไหน
ฉู่ฉีเหยียนเม้มริมฝีปาก มองเด็กสาวตรงหน้าที่ยิ่งแผ่บรรยากาศเยือกเย็นออกมา เงาในดวงตานั้นดูสลัว แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คนมองไม่ออกถึงอารมณ์ที่แท้จริง
ฉู่หลิงอวิ้นกลัวว่าเขาจะยก ‘เหตุการณ์’ อะไรขึ้นมาพูดอีก จึงร้อนใจขึ้นมาทันที หันกลับไปกล่าวอย่างโมโห “น้ำขึ้นก็ควรรีบตัก เรื่องของคนแซ่ฟางนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ วังบูรพากลับปิดบังมาหลายปีเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของพวกเขาจะสร้างแผนร้ายอะไรขึ้นมาอีก ฉีเหยียน อย่างไรพวกเราก็ไม่ควรปล่อยเสือเข้าป่า!”
น้ำเสียงของนางดูเร่งร้อน ตะโกนเสียงแหลมอย่างลนลาน
ฉู่ฉีเหยียนประกายตาเย็นเยียบ มองตรงไปที่ใบหน้าของฉู่สวินหยางอย่างรวดเร็ว ก็กล่าวโดยแทบจะไม่ต้องคิดอะไร “วันนี้ ถือว่าข้าไม่ได้พบเจ้า!”
พูดจบก็หมุนกายเดินไปทันที
“ฉีเหยียน!” ฉู่หลิงอวิ้นตะโกนเสียงดังออกมา ถลาเข้าไปดึงแขนเสื้อของเขาไว้
ฉู่สวินหยางมองสองพี่น้องที่อยู่ด้านตรงข้ามอย่างเรียบนิ่ง ไม่รอให้ฉู่หลิงอวิ้นได้เอ่ยปากก็ยิ้มเย็นขึ้นก่อน “ข้าเชื่อเจ้า แต่ไม่อาจเชื่อนางได้!”
ขณะที่พูด นางก็กวาดสายตาเหลือบไปมองฉู่หลิงอวิ้นอย่างสัพยอก
ในดวงตาของฉู่หลิงอวิ้นปรากฏท่าทีดุดันผ่านไปอย่างรววดเร็ว ตอนที่จะพูดอะไรบางอย่าง ฉู่ฉีเหยียนก็เปิดปากอย่างเยือกเย็นขึ้นมาก่อน “หลี่หลิน เจ้าไปเตรียมรถ ข้าจะไปส่งท่านหญิงกลับวัดก่วงเหลียนด้วยตัวเอง”
——————————-