สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 87.3 ใจโสมม ประสงค์ร้าย! (3)
ฉู่หลิงอวิ้นยืนปักหลักอยู่ที่เดิม รออยู่พักใหญ่ท้ายที่สุดก็ไม่รอเขาย้อนกลับมา ในใจก็คุกรุ่นด้วยความโมโหยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวด้วยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉู่ฉีเหยียน เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”
พูดจบก็มองไปรอบๆ ก่อนจะหมุนกายเดินออกไปทางหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีแสงไฟสาดส่องออกมารางๆ อยู่ไม่ไกล
ฉู่ฉีเหยียนไม่ยอมลงมือ แต่นางกลับจับจุดอ่อนของคนแซ่ฟางได้แล้ว เพียงแค่ความลับนี้รั่วไหลออกไป อาศัยฮ่องเต้ที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้น ยังจะต้องกังวลเรื่องที่ไม่มีคนจัดการฉู่สวินหยางแทนนางไปอีกทำไมกัน?
ฉู่ฉีเหยียนนั้นเข้าใจถึงแผนการของนางดี กลับไม่คิดที่จะสนใจ เดินไปจุดพักม้าด้านหน้าเพื่อซื้อม้าตัวใหม่ แล้วก็พา
หลี่หลินตรงไปยังวัดก่วงเหลียนทันที
แม้จะรู้ดีว่าเมืองหลวงในคืนนี้จะต้องเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น กระนั้นเขาก็ยังทิ้งเรื่องราวทุกอย่างไว้ข้างหลัง
สองนายบ่าวออกเดินทางทั้งคืน ช่วงสายของวันนี้ก็พบกับหมู่บ้านใกล้ๆ วัดที่ฉู่หลิงอวิ้นได้บอกไว้
เพราะว่าอยู่ใกล้วัด หมู่บ้านนี้จึงนับว่ามีขนาดใหญ่ แต่อย่างไรผู้คนที่อาศัยที่นี่กลับมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพื้นที่ที่ปักหลักถิ่นฐานอยู่มานานแล้ว
ดูท่าแล้วบ่าวสองคนของฉู่หลิงอวิ้น จื่อเหว่ยและจื่อซวี่ก็ล้วนมีความเป็นอยู่ที่ดีไม่น้อย เพียงแค่สอบถามเล็กน้อยก็สามารถพบเบาะแสของจื่อซวี่อย่างง่ายดาย
“เชิญนายท่านทั้งสองทางนี้เลยเจ้าค่ะ!” หญิงชราที่อัธยาศัยดีคนหนึ่งนำทางคนทั้งสองมายังบ้านเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาหลังหนึ่งอย่างกระตือรือร้น ทั้งกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “แม่หนูที่พวกท่านพูดถึงน่าจะเป็นคนที่มาเช่าบ้านข้าอยู่ก่อนหน้านี้ แม่หนูคนนั้นหน้าตางดงามเสียทีเดียว นิสัยก็ไม่เลว ทั้งยังเป็นการเป็นงาน ท้องโตขนาดนั้นก็ยังยุ่งจนมือไม่ได้พัก นับเป็นหญิงสาวที่รู้ความคนหนึ่ง เพียงแต่ชายที่อยู่ด้วยกันนั้นกลับไม่เท่าไร อุตส่าห์รูปร่างสูงใหญ่ขนาดนั้นแล้วแท้ๆ เริ่มแรกก็เอาแต่กินๆ นอนๆ งานการไม่ทำ แต่พอแม่หนูนั้นท้องโตขึ้น ก็ยังดีที่เห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง บางครั้งบางคราวก็เข้ามาช่วยนิดๆ หน่อยๆ ดูแล้วทั้งสองคนก็นับว่าเหมาะสมกันอยู่”
พูดไปพลาง นางก็ไขประตูไปพลาง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปให้สองคนดู
เป็นบ้านชาวนาที่ตั้งอยู่บนลานธรรมดา ถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้านหลังหนึ่ง
“พวกเขาไปตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ฉู่ฉีเหยียนใช้นิ้วมือไล้ไปกับผิวโต๊ะ กลับไม่ได้พบฝุ่นติดมือขึ้นมาแต่อย่างใด
“ก็เช้าตรู่วันก่อนนั่นแหละ” หญิงผู้นั้นกล่าว “แม่หนูคนนั้นเห็นว่าอีกสองเดือนก็น่าจะคลอดแล้ว ยามนั้นข้ายังรั้งตัวนางเอาไว้ ให้คลอดลูกก่อนแล้วค่อยไป แต่ชายผู้นั้นกลับบอกว่าพ่อที่อายุมากของเขาป่วยหนัก ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสทันเห็นหน้าหลานหรือไม่ ทั้งสองคนรีบร้อนกันพักใหญ่ก็จากไป ทิ้งสิ่งของไว้ที่นี่ไม่น้อยเลย”
เช้าตรู่ของวันก่อน ก็คงเป็นเวลาหลังจากที่ฉู่หลิงอวิ้นและจื่อเหว่ยเดินทางกลับเมืองหลวง
จื่อซวี่ตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงทรยศพวกเขา ช่วยจางอวิ๋นอี้ที่จนตรอก มาหลบภัยอยู่ใต้หูใต้ตาของฉู่หลิงอวิ้น
ในระยะเวลากว่าครึ่งปี จางอวิ๋นอี้กบดานอยู่ที่นี่มาตลอด ดั่งคำที่ว่าที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด มิน่าเล่า เขาค้นทั่วฟ้าพลิกแผ่นดินหาทั้งเมืองหลวง กระทั่งบ้านเก่าของสกุลจางก็ล้วนส่งคนไป แต่ก็กลับไม่พบเจอร่องรอยใดใดทั้งสิ้น
มิน่าเล่า เวลานั้นที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉู่สวินหยางจึงทำเป็นว่ารู้อะไรมาอย่างนั้น
ทางฉู่หลิงอวิ้นนี้ เขาและคนแซ่เจิ้งล้วนมาอยู่บ่อยครั้ง ถ้าจะให้เขาพูดถึงจางอวิ๋นอี้…
คนขี้ขลาดอย่างคนผู้นั้น เหตุใดจึงกล้ามาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ใกล้หูใกล้ตาเขาเช่นนี้?
ทั้งกลับไม่คาดคิดว่า ฉู่หลิงอวิ้นจะก้าวเท้าพลาด ทำให้จื่อซวี่มาบรรจบกลายเป็นทางรอดสุดท้ายของจางอวิ๋นอี้เสียอย่างนั้น
แทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าทั้งสองคนฉวยโอกาสตอนเมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย หลบหนีไปให้ไกลหูไกลตาฉู่หลิงอวิ้น
ฉู่ฉีเหยียนเผยใบหน้ารียบนิ่ง ค่อยๆ กระตุกยิ้มขึ้นมา กล่าวอย่างเสียดาย “เช่นนั้นก็โชคร้ายที่พวกเรามาไม่ได้จังหวะ ลำบากท่านแล้ว”
หลี่หลินควักเงินจำนวนหนึ่งให้หญิงชราผู้นั้น ทั้งสองคนก็เดินออกมาทางเดิม
“ช่างน่าบังเอิญนัก ดูแล้วครึ่งปีมานี้ จางอวิ๋นอี้คงจะหลบอยู่ที่นี่มาโดยตลอด” ออกมาจากประตู หลี่หลินก็กล่าวพึมพำออกมา “ซื่อจื่อ จื่อซวี่กำลังท้องโต พวกเขาน่าจะไปได้ไม่ไกลมาก ต้องการให้บ่าวส่งคนไปตามไหมขอรับ?”
“ยามนี้หากฆ่ามัน…” ฉู่ฉีเหยียนกลับกระตุกยิ้มอย่างเยือกเย็น รอยยิ้มนั้นดูเหน็บหนาวจนน่าหวาดผวา หันหน้ามองไปทางหลี่หลิน “ยังจะมีประโยชน์อันใดอีกรึ?”
เดิมทีเขาไล่ล่าจางอวิ๋นอี้ก็เพื่อว่าต้องการปิดบังเรื่องน่าอับอายให้ฉู่หลิงอวิ้น ทว่ายามนี้…
ฉู่ฉีเหยียนยังพูดไม่จบ หลี่หลินที่ฟังอยู่ หัวใจพลันหดเข้าหากันโดยพลัน จึงก้มหัวลงไป
“ไปเถิด! เดินทางกลับเมืองหลวง!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าด้วยใบหน้าราบเรียบ
ทั้งสองคนขี่ม้าเร็วกลับไปถึงเมืองหลวงก็เป็นยามดึกแล้ว
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนตั้งใจจะกลับเข้าไปในจวนเลย กลับไม่คิดว่าเพิ่งจะถึงชานเมือง ก็พบว่าด้านหน้ามีแสงไฟปรากฏขึ้นอยู่อย่างกระจัดกระจาย ทั้งเสียงอึกทึกครึกโครมดังวุ่นวายไปหมด
กลุ่มคนนับร้อยกำลังเดินไปเดินมาอยู่อีกริมภูเขา ในนั้นปรากฏร่างผู้หนึ่งในชุดคลุมหรูหราถูกห้อมล้อมไปด้วยหญิงคนรับคนใช้ กำลังนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้าง กลับพบว่าเป็นคนแซ่เจิ้ง ชายาเอกในอ๋องหนานเหอ
หลี่หลินชะงักลมหายใจ เมื่อตั้งสติได้ก็เบนสายตาไปมองหน้าฉู่ฉีเหยียน
ฉู่ฉีเหยียนเผยสีหน้าเรียบนิ่ง พลิกกายลงม้า สาวเท้าเข้าไปหาทันที
“พระชายา ซื่อจื่อมาเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้เห็นเขาเป็นคนแรก จึงกล่าวขึ้นอย่างดีใจ
ชายาอ๋องหนานเหอที่ร้องไห้จนตาบวม ชั่วขณะนั้นตาก็ใสแจ๋วขึ้นมา ถลาเข้าไปจับแขนฉู่ฉีเหยียนไว้ มองพินิจด้วยเร่งรีบทั้งยังลูบคลำตรวจดูร่างเขาอย่างละเอียด เพราะยังตกอกตกใจจึงอดร้องไห้ออกมาอีกครั้งไม่ได้ “เหยียนเอ๋อร์ เหยียนเอ๋อร์ เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้าไม่เป็นอะไร! เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดี ข้าใจหายหมดแล้ว!”
ขณะที่นางพูดก็ถลาเข้ามาในอ้อมกอดฉู่ฉีเหยียนร้องไห้ออกมาเสียงดัง
ฉู่ฉีเหยียนลูบปลอบประโลมแผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบา ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วกล่าวกับแม่นมกู้ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ก่อนหน้านี้มีคนส่งจดหมายไปรายงานที่จวนเจ้าค่ะ กล่าวว่าในตอนที่ซื่อจื่อโดยสารม้าออกจากเมือง พวกม้าเกิดตกใจจนเตลิดตกไปในเขาใกล้ๆ นี้” แม่นมกู้กล่าว ขณะที่พูดก็ยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด
“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทำเอาข้าตกใจเสียยกใหญ่ ข้าก็คิดว่า…” คนแซ่เจิ้งเงยหน้า ฝืนเผยรอยยิ้มมองหน้าลูกชาย จึงค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง ทว่ากลับพบว่าใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนซีดขาวราวกับกระดาษ เย็นเยียบอย่างถึงที่สุด
————————-