สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 89.2 อาหลานสู้กัน ผู้ใดต้องเสียสละ? (2)
คนแซ่เจิ้งกลับไปหลังจวนอย่างอกสั่นขวัญผวา มุ่งเดินตรงไปยังห้องหนังสือของฉู่อี้หมินอย่างรีบร้อน ไม่สนใจจัดการเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นแม้แต่น้อย ในขณะที่เดินเข้าไป ก็บังเอิญเจอกับฉู่ฉีเหยียนที่เพิ่งเดินออกมาพอดี
“ท่านแม่?” ฉู่ฉีเหยียนเห็นคนแซ่เจิ้งจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “หรือว่าพี่ใหญ่ทางนั้น…”
“เรื่องทางนั้นเจ้าไม่ต้องยุ่ง” คนแซ่เจิ้งตอบ พลางชะเง้อมองไปด้านหลังฉู่ฉีเหยียน เมื่อมั่นใจว่าฉู่อี้หมินไม่ได้เดินตามออกมา ก็รีบลากตัวเขาไปที่ลับสายตาคนด้านนอก พูดขึ้นเสียงจริงจัง “เจ้าบอกแม่มาตามตรง เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้ของอวิ้นเอ๋อร์?”
ฉู่ฉี่เหยียนอึ้ง ตกใจคิดว่าคนแซ่เจิ้งสงสัยในตัวเขา แต่ดูจากแววตาของอีกฝ่ายแล้ว ก็เห็นว่านางแค่กังวลเป็นห่วงเท่านั้นถึงได้โล่งอก พูดเสียงราบเรียบขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านแม่เป็นห่วงเรื่องที่พี่ใหญ่ประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ท่านแม่อย่าคิดมากเลยนะขอรับ มันก็แค่อุบัติเหตุน่ะขอรับ!”
“นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ!” คนแซ่เจิ้งโมโหกราดสะบัดเขาออก แล้วเดินไปอีกฝั่ง ไม่พอเท่านั้นยังพูดเสริมขึ้นอีกอย่างตะขิดตะขวงใจว่า “แม่สั่งให้แม่นมกู้เอาตัวจื่อเหวยไปสอบสวนแล้ว นางนั่นโดนคนอื่นซื้อตัวไป ทั้งยังบอกกับข้าอีกว่า เป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ใช่อวิ้นเอ๋อร์ พวกมัน…พวกมัน…”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของนางก็ยิ่งร้อนรน หันไปกุมมือฉู่ฉีเหยียนไว้แน่น พูดกับเขาว่า “มีคนคิดร้ายกับเจ้า…
เหยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนซื่อตรง เจ้าบอกแม่มาเถิดว่าคนนั้นคือใคร?”
จื่อเหวย? นางนั่นกลับมาแล้วรึ? คนที่เขาส่งไปยังไม่ทันรายงานความคืบหน้าเลยนี่
แววตาของฉู่ฉีเหยียนเต็มไปด้วยความสงสัย นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ พูดเสียงทุ้มต่ำขึ้นว่า “นางพูดว่าอะไรบ้าง? นางอาจจะ…พูดซี้ซั้วก็ได้นะขอรับ”
“เรื่องใหญ่แบบนี้ นางไม่บ้าถึงขนาดที่หาเหาใส่ตัวหรอกนะ” คนแซ่เจิ้งกล่าว แววตาลุกเป็นไฟเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอีกครา สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมนฉับพลัน พลางคาดเดาว่า “หรือว่าเป็นคนจากวังบูรพา? พวกนั้นไม่ถูกกับเจ้าและพ่อของเจ้านี่ ฉู่สวินหยางเป็นคนเจ้าแผนการ ถึงแม้นางจะพาคนมาส่งคืนให้ก็ตาม ไม่แน่นะ นางอาจจะซื้อตัวนางทาสรับใช้คนนั้นไปแล้วก็ได้ เพื่อให้มันมาสอดแนมข้า ทำให้ข้าสับสน”
คนแซ่เจิ้งคิดเองเออเองไม่หยุด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของตนมีเหตุผล
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องนี้เป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินคนแซ่เจิ้งเอ่ยถึงฉู่สวินหยางเข้า…
อยู่ๆ ก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้น
“ท่านแม่เลิกคิดเลยเถิดได้แล้วขอรับ!” ฉู่ฉีเหยียนพูด เดินขึ้นประจันหน้ากับคนแซ่เจิ้งอย่างไม่คิด “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง!”
เมื่อกล่าวจบถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าตนพูดอะไรออกไป จนยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน
เขาเป็นอะไรไป?
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าฉู่สวินหยางประสงค์ร้ายกับเขาและจวนอ๋องหนานเหอมากขนาดไหน แต่กลับคิดแต่จะปกป้องนางไม่ให้ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไม่รู้ตัว?
คิดถึงคำพูดที่ฉู่หลิงอวิ้นโยนความผิดเยาะเย้ยใส่เขาแล้ว ทันใดนั้นฉู่ฉีเหยียนผู้ที่แทบไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับเรื่องใด ก็โมโหถึงขีดสุด
เขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อคนแซ่เจิ้งเห็นฉู่ฉีเหยียนแสดงออกมาอย่างผิดปกติ ก็ยิ่งมั่นใจกับการคาดเดาของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงโมโหขึ้น “เป็นพวกมันใช่ไหม? พวกมันช่างกล้ากระทำการไม่สนฟ้าดิน ขนาดอยู่ในเมืองหลวงใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้ ยังกล้าลงมือกับข้ารับใช้ในจวนพวกเราอย่างเปิดเผย พวกมันนี่…”
คนแซ่เจิ้งยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นแล้วเดินจากไป
ในขณะเดียวกันนั้น ฉู่ฉีเหยียนยังคงอยู่ในห้วงความคิดของตน เมื่อเขารู้สึกตัว คนแซ่เจิ้งก็เดินจากออกไปไกลแล้ว
ช่วยไม่ได้ เขาจึงวิ่งตามไป
คนแซ่เจิ้งเดินเร็วเพราะความโกรธโมโห
สองแม่ลูกคนหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนเดินตามหลัง เร่งฝีเท้าไปยังห้องชายขอบที่ปิดขังจื่อเหวย เจอเข้ากับแม่นมกู้เดินเหงื่อตกออกมาจากด้านในพอดี
เมื่อคนแซ่เจิ้งเห็นสีหน้าร้อนรนของนาง ก็เอ่ยถามอย่างไม่สบายใจขึ้นว่า “เป็นอะไรไป?”
“ตายแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้ตอบ “นางคนชั่วผู้นี้ปากแข็งมากเจ้าค่ะ ไม่ปริปากพูดออกมาสักคำเดียว”
คนแซ่เจิ้งได้ยินดังนั้นหน้าก็พลางสลดลง หันหน้าจะพูดฉู่ฉีเหยียน แต่เห็นข้ารับใช้เดินเข้ามาหาเขาอย่างรีบร้อน “ซื่อจื่อ…”
ท่าทางของอีกฝ่ายร้อนรน ราวกับว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเหลือบมองเห็นคนแซ่เจิ้งอยู่ด้วย ก็รีบก้มหัวลง
ทันใดนั้นฉู่ฉีเหยียนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเรียกให้ข้ารับใช้ผู้นั้น…
แต่คนแซ่เจิ้งกลับชิงพูดตัดหน้าขึ้น นางเดินเข้าใกล้แล้วถาม “มีเรื่องอะไร?”
ข้ารับใช้ผู้นั้นไม่เอ่ยตอบในทันที แต่ใช้หางตาเหลือบมองฉู่ฉีเหยียนถามเป็นนัย
“ท่านแม่ขอรับ…” ฉู่ฉีเหยียนถึงได้พยายามเบนความสนใจ แต่คนแซ่เจิ้งหาได้ยินยอม ตะคอกขึ้นเสียงดัง
“จะอ้ำอึ้งอยู่ทำไม? มีอะไรก็พูดออกมา!”
ข้ารับใช้ผู้นี้ไม่เหมือนหลี่หลิน เมื่อประจันหน้าเข้ากับพระชายาเอกอย่างคนแซ่เจิ้งเข้า ก็ตื่นเต้นจนแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน
ฉู่ฉีเหยียนโดนคนแซ่เจิ้งสกัดไว้ไม่ให้พูด จึงไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เขา เขาจึงยอมจำนนพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยเพิ่งได้ข่าวมา ว่าฮูหยินฮั่วเพิ่งพาองค์หญิงฮั่วกลับไปเยี่ยมญาติที่ชนบทขอรับ ในบรรดาข้ารับใช้พวกนั้นมีคนที่รับเข้าใหม่อยู่สองคน ดูเหมือนว่า…จะเป็นน้องชายและน้องสาวของจื่อเหวยข้ารับใช้ข้างกายของท่านหญิงด้วยขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนแอบประหลาดใจ…
ในเมื่อเรื่องนี้ข้องเกี่ยวกับสกุลฮั่ว ฉู่ฉีเหยียนจึงนึกถึงฉู่สวินหยางเป็นคนแรก
หรือการคาดการณ์ที่ผ่านมาของเขาผิด? เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉู่อี้เจี่ยน แต่เป็นฝีมือของฉู่สวินหยางตั้งแต่แรก?
ณ จวนอ๋องรุ่ยชิน
ฉู่ซินรุ่ยถือกรรไกรตัดเล็มต้นบอนไซที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องอุ่น ท่าทางกิริยาสงบเสงี่ยม ใบหน้าประดับแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสวยงาม
ชิงเกอยกถาดผลไม้เดินเข้ามาในห้อง วางถาดไว้บนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นจึงเดินเข้าไป คุกเข้าและเงยหน้าพูด “ท่านหญิงเจ้าคะ เรื่องที่ท่านวานให้ข้าทำจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”
“อืม!” ฉู่ซินรุ่ยตอบรับเสียงเบา ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดออกมาเป็นพิเศษ
ชิงเกอหันไปมองท่านหญิงของตน แล้วพูดขึ้นอีกว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ ท่านเองก็รู้ว่าพวกคนของวังบูรพากับจวนอ๋องหนานเหอกำลังจับตามองท่านกับท่านชายอยู่แท้ๆ ส่วนจื่อเหวยก็สอดแนมแทรกซึมมาตั้งนาน ทำไมท่านถึงใช้นางในสถานการณ์นี้ล่ะเจ้าคะ หากเราถือโอกาสใช้เหตุการณ์นี้ ทำให้วังบูรพากับจวนอ๋องหนานเหอมีเรื่องบาดหมางภายในกันขึ้น ทางฝ่ายเราเองก็จะได้รับความกดดันน้อยลง”
ในสายตาของชิงเกอ อย่างไรก็ตามก็ต้องส่งตัวจื่อเหวยไปเป็นผู้เสียสละอยู่ดี แบบนี้ฉู่อี้เจี่ยนถึงจะได้เปรียบ
ฉู่ซินรุ่ยชายตามองชิงเกอ ขยับมุมปากเล็กน้อย ส่ายหัวอย่างเสียดาย แล้วพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะทำเยี่ยงนั้นได้ แต่ทั้งสองฝ่ายเองก็ต้องติดกับก่อนถึงจะเห็นผล!”
ชิงเกอยิ่งสงสัยกว่าเดิม “ถึงซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องหนานเหอจะเฉลียวฉลาด แต่ท่านเคยบอกไว้ว่าพระชายาผู้นั้น…”
“นางจะไปทำอะไรได้?” ฉู่ซินรุ่ยพูดขัด “นางจะโมโหโกรธแค้นมากแล้วอย่างไร? เจ้าไม่เห็นภาพเหตุการณ์วันนี้รึ นางไม่อาจแตะต้องแม้กระทั่งปลายเล็บของฉู่สวินหยางด้วยซ้ำ อีกทั้งเจ้าคิดว่าเหตุใดแม่นางฉู่สวินหยาง ถึงส่งตัวจื่อเหวยคืนให้จวนอ๋องหนานเหอโดยที่ไม่แตะต้องนางเลยเล่า?”
ฉู่ซินรุ่ยถามขึ้นหลายคำถาม แน่นอนชิงเกอไม่สามารถตอบคำถามพวกนี้ได้
ฉู่ซินรุ่ยได้ได้หวังฟังคำตอบจากอีกฝ่าย เมื่อนางตัดแต่งต้นบอนไซเสร็จ วางกรรไกรลง แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง หยิบลูกองุ่นสีม่วงออกมาค่อยๆ แกะเปลือกออก พลางพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ “สำหรับจวนอ๋องหนานเหอตอนนี้ ขนาดชื่อของอ๋องหนานเหอยังมีไว้แขวนประดับเฉยๆ เลย คนที่สั่งการทุกอย่างได้มีแค่ฉู่ฉีเหยียนคนเดียวเท่านั้น ส่วนแม่หญิงฉู่สวินหยางผู้นี้ฉลาดนัก นางคิดคำนวณอย่างดีแล้วว่าฉู่ฉีเหยียนจะทำอย่างไร ถึงได้มัดตัวคนส่งคืนให้อย่างไร้รอยขีดข่วน เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่านางกับจื่อเหวยมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกัน”
ฉู่ซินรุ่ยเองก็คิดไว้แล้ว ถึงได้ส่งตัวจื่อเหวยกลับคืนไป
แต่หลังจากเรื่องวุ่นวายพวกนี้จบลง ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้ทำให้วังบูรพาและจวนอ๋องหนานเหอเสียหายแม้แต่น้อย
หน้าของชิงเกอเต็มไปด้วยความงุนงงยิ่งกว่าเดิม
ฉู่ซินรุ่ยหยิบเนื้อองุ่นขาวใสอันชุ่มฉ่ำเข้าปาก หยิบผ้าขึ้นเช็ดมือ ทอดมองออกไปนอกบานหน้าต่าง เผยรอยยิ้มออกมา พูดพึมพำขึ้น “มีแต่นางที่รู้ใจข้าดี นางรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าข้านั้นต้องการยืมมือฮั่วกังมา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
ฉู่ฉีเหยียน ถึงได้พาตัวมาส่งให้ถึงที่ และในเมื่อต่างคนต่างรู้ใจกันขนาดนี้…ข้าเองก็ต้องตอบแทนนางเล็กน้อยคงไม่มีอะไรเสียหาย?”
ภายในจวนอ๋องรุ่ยชินยังมีฉู่อี้เจี่ยนพำนักอยู่ด้วย หากยังไม่ได้รับโอกาสที่เหมาะสม ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าลงไม้ลงมือกับพวกเขาในทันที
แต่เป็นเพราะเรื่องของเหยียนหลิงจวิน เห็นได้ชัดว่าฮั่วกังทำให้ฉู่สวินหยางโกรธแค้นเป็นอย่างมาก อีกไม่นานนางคงลงไม้ลงมือจัดการฮั่วกังเป็นแน่
ในช่วงเวลานี้ ขณะที่ยังไม่มีแผนการที่จะโค่นล้มพวกจวนอ๋องหนานเหอมากพอ ศัตรูที่ฉู่สวินหยางต้องจัดการมีเพียงฮั่วกังคนเดียวเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้นนางยังช่วยวางแผนขึ้น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของฉู่ฉีเหยียนออกจากคนในครอบครัวของตนอีก
เรียกได้ว่า…ทุกคนต่างสมหวัง ไม่มีใครเสียหาย!
ฉู่สวินหยางเอ๋ย ฉู่สวินหยาง!
คิดจะประลองวิชาการอ่านใจคนกับข้ารึ? ละครฉากนี้น่าสนใจไม่เบาเลยนี่!
————-