สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 9.1 เดิมพันชีวิต (1)
ฉู่หลิงอวิ้นตะลึงไปทันที รอจนสติกลับคืนมาจึงค่อยเข้าใจอย่างรางๆ
ร่างของนางสั่นไหว เบือนหน้ามองไปทางจื่อซวี่โดยพลัน
จื่อซวี่ตัวสั่นเล็กน้อย คุกเข่าลงอย่างตื่นตกใจ ส่ายหน้าพัลวัน “ท่านหญิง ไม่ใช่บ่าวนะเจ้าคะ!”
ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้โง่ จะปล่อยจุดอ่อนทิ้งไว้โดยไม่คำนึกถึงผลที่ตามมาได้อย่างไร?
นางส่งจดหมายลับให้เหยียนหลิงจวิน เพียงเพื่อว่าใช้เป็นจุดอ่อนบีบบังคับเขาให้ยอมคนละครึ่งทาง ที่จริงแล้ว…
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเน่าเฟะของราชวงศ์ ไม่ว่าใครเข้ามาพัวพันล้วนแต่ต้องเป็นกังวลในภายภาคหน้า นางไม่เชื่อว่าเหยียนหลิงจวินจะไม่มีสิ่งใดที่ไม่กลัว
ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่า นางยังไม่ทันได้ไปพูดคุยกับเขา จู่ๆ เรื่องราวก็ปะทุออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว
จื่อซวี่ไม่มีทางที่จะทรยศนาง จุดนี้ฉู่หลิงอวิ้นรู้ดี แต่ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่น่าจะเอาเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาล้อเล่นเช่นกัน
“เรื่องรั่วไหลออกมาได้อย่างไรกันแน่? เรื่องนี้ยังมีใครรู้อีก?” สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นดำคล้ำ ใช้มือพยุงโต๊ะก่อนจะค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้
ท่าทีของนางไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าใด แต่เมื่อลองมองให้ลึกลงไป
กลับพบว่าจิตใจว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด
“หลี่สิงเป็นคนไปส่งเจ้าค่ะ นอกจากเขาและบ่าวรับใช้ ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก แม้แต่หลี่อี้ก็ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ” จื่อซวี่กล่าว
หลี่สิงและหลี่อี้เป็นพี่น้องกัน ทั้งก็เป็นคนข้างกายที่นับว่าเชื่อถือได้ของฉู่หลิงอวิ้น ผู้ที่จัดการเรื่องจางอวิ๋นเจี่ยนแทนนางก็เป็นสองคนนี้ ดังนั้นสำหรับสองคนนี้แล้วนางจึงไม่ได้สงสัย
เมื่อลองคิดอย่างรอบคอบ ท้ายที่สุดใจก็ยังสับสนขึ้นมา ตบโต๊ะด้วยความโมโหทันที ใบหน้านั้นเผยให้เห็นความดุดัน กล่าวอย่างเสียงดัง “ถ้าเช่นนั้นเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่?”
“บ่าว…บ่าว…” จื่อซวี่ร้องห่มร้องไห้ ลอบสังเกตสีหน้านางไปพลาง ลอบกล่าวเสียงเบาไปพลาง “ท่านหญิง ให้อภัยบ่าวที่ปากมากด้วย เรื่องต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายพวกเราแน่เจ้าค่ะ ท่านหญิงว่า…เป็นไปได้หรือไม่…เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดจากใต้เท้าเหยียนหลิงฝ่ายนั้น…”
“อะไรนะ?” ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ยินดี
ใจของจื่อซวี่สั่นสะท้าน รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ “บ่าวเพียงพูดเรื่อยเปื่อยเจ้าค่ะ!”
ใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นดำทะมึนลง “เขาเสียสติไปแล้วรึ? ไม่ทันไรก็สาดน้ำสกปรกมาใส่ตัวเองเนี่ยนะ?”
จื่อซวี่ไม่กล้าแสดงความเห็นออกมาอีกแล้ว ทว่ากลับอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ…
เหยียนหลิงจวินน่ะหรือจะสาดน้ำสกปรกใส่ตัวเอง? ถ้าจะให้พูดจริงๆ ถึงแม้ด้านนอกจะร่ำลือไปขนาดไหน แต่น้ำนี้ก็กระเด็นไม่โดนตัวเขา เขากับฉู่หลิงอวิ้นนับว่าเกี่ยวข้องอันใดกัน แม้จะทราบกันดีว่า ฉู่หลิงอวิ้นมีใจให้เขาแล้วอย่างไรเล่า? ต่อให้ฉู่หลิงอวิ้นทำไปเพราะว่าเหตุผลของเขา แล้วจางอวิ๋นเจี่ยนเล่า? เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือด ท้ายที่สุดในตอนที่ผู้คนจับกลุ่มคุยกันก็จะพูดแต่เพียงว่าฉู่หลิงอวิ้นคนนี้สติฟั่นเฟือนฆ่ากระทั่งสามีตนเอง!
นิสัยของฉู่หลิงอวิ้นนับวันก็ยิ่งเอาแต่ใจทั้งยังไม่ยอมฟังผู้ใด
คำพูดพวกนี้แม้แต่คำเดียวจื่อซวี่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
ฉู่หลิงอวิ้นที่ยังคงจิตใจสับสนวุ่นวายคิดมาครึ่งวันก็ยังจับใจความสำคัญไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ระบายความโกรธออกมา เตะไปที่จื่อซวี่หนึ่งทีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ยังอ้ำอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่ไปรีบสืบข่าวคราวมาให้ข้าอีก?”
ถ้าเป็นอย่างที่ฉู่ฉีเหยียนพูดจริงๆ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาล่ะก็ ครั้งนี้นางก็จบสิ้นแล้วจริงๆ
“เจ้าค่ะ!” จื่อซวี่รีบเช็ดน้ำตาดันตัวเองขึ้นมา ก่อนจะก้าวออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ในห้องก็เริ่มนั่งไม่ติดที่ ลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ
จื่อซวี่ออกไปกว่าสองชั่วยามแล้ว แม้แต่เงาก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น
เวลาพลบค่ำ ยังไม่ทันจะได้รอดูท่าทีของฮ่องเต้และฮองเฮาที่อยู่ในวัง กลับเป็นจางอวิ๋นอี้ที่บุกเข้ามาหานางถึงประตูก่อน
เขามาด้วยความร้อนรน และเนื่องจากเป็นบ้านของแม่ยาย บ่าวเฝ้าหน้าประตูที่ไม่รู้เรื่องราวจึงไม่ได้ขัดขวางอันใด เชิญเขาเข้ามาด้านใน กลับไม่คาดคิดว่าจางอวิ๋นอี้ที่มีท่าทีดุดัน จะไม่ได้ตามเขาเข้าไปพบคนแซ่เจิ้งและฉู่อี้หมินที่ห้องโถงใหญ่ แต่กลับบุกเข้าไปหาฉู่หลิงอวิ้นทางนั้นแทน
ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้คาดคิดมาก่อน ในตอนที่จิตใจสับสนวุ่นวายก็เงยหน้าเจอกับจางอวิ๋นอี้ที่อยู่ด้านนอก คนผู้นั้นพยายามผลักบ่าวที่ขัดขวางเขาก่อนจะก้าวเท้ายาวเข้ามา
“เจ้ามาได้อย่างไร?” ฉู่หลิงอวิ้นเปิดปากถามทันที “ที่นี่เป็นเรือนของข้า…”
สีหน้าของจางอวิ๋นอี้ยามนี้นับว่ายังบิดเบี้ยวกว่านางหลายเท่า แววตานั้นทั้งแข็งกร้าวและดุดัน จ้องมองมาที่นางไม่วางตา ในขณะเดียวกันก็ส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะกล่าวว่า “หากเจ้ายังอยากเหลือหน้าตาไว้บ้าง ก็อย่าให้พวกเขามาอยู่ที่นี่”
ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด…
คนผู้นี้ ควรจะอยู่ในกำมือนางแท้ๆ เวลานี้กลับวางอำนาจบาตรใหญ่บุกเข้ามาหานางถึงในเรือน ถึงอย่างไรนางก็เข้าใจเหตุผลดี เห็นได้ชัดว่าจางอวิ๋นอี้ได้ยินข่าวลือจากด้านนอกมา ดังนั้นจึงมาหานางเพื่อพิสูจน์ความจริง
สถานการณ์ของนางในตอนนี้ก็น่ากังวล อย่างไรก็ไม่ควรจะปล่อยให้คำนินทาที่ไม่ดีต่อตัวเองแพร่งพรายออกไปอีกแล้ว ดังนั้นจึงกดความโกรธไว้ในใจ กล่าวกับสาวใช้ที่ตามเข้ามาด้านหลังว่า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะคุยกับซื่อจื่อสักสองสามประโยค”
บ่าวพวกนั้นล้วนแต่ได้ยินข่าวลือของสกุลจางมารู้สึกไม่ยินดี ดังนั้นจึงตามเข้ามา กลับไม่รู้สึกว่าสองคนนี้จะมีเรื่องอันใดที่ไม่สามารถบอกกล่าวให้ผู้อื่นรู้ได้ แต่เมื่อฉู่หลิงอวิ้นออกคำสั่งแล้ว ก็ต้องถอนตัวออกไป
“เจ้ามาทำไม?” รอจนบ่าวพวกนั้นแยกย้ายกันไป ฉู่หลิงอวิ้นก็เอ่ยปากอย่างเย็นชาขึ้นมาทันที
กล่าวยังไม่ทันจบ ฝ่ามือก็ลอยมาตรงหน้า นางถูกจางอวิ๋นอี้ตบฉาดใหญ่อย่างเสียงดังจนซีกหน้าด้านหนึ่งบิดเบี้ยว
ใบหน้านั้นปวดแสบยิบๆ ฉู่หลิงอวิ้นตกตะลึงนิ่งไป ประคองใบหน้าอยู่สักพักจึงค่อยๆ หันกลับมาใช้แววตาที่ดุร้ายมองไปทางจางอวิ๋นอี้ กล่าวอย่างคาดไม่ถึงว่า “เจ้ากล้าตบข้า?”
หลายปีที่ผ่านมา นางมีเกียรติและสูงศักดิ์ ทั้งยังมีหลัวฮองเฮาคอยหนุนหลังอยู่ กล่าวได้ว่ามีเพียงตอนที่นางปฏิเสธการแต่งงานกับซูหลินเท่านั้นที่ถูกฉู่อี้หมินลงมือไปหนึ่งครั้ง ทว่าตอนนี้ผู้ที่ลงมือกลับเป็นเศษสวะไม่เอาไหนที่นางไม่เคยมองอยู่ในสายตา?
จางอวิ๋นอี้นั้นทำไปเพราะโกรธขึ้นหน้า หลังจากลงมือไปแล้วตัวเองก็อึ้งไปพักใหญ่เช่นกัน
เพียงแต่พอคิดว่าเขาอาจจะถูกฉู่หลิงอวิ๋นหลอกใช้เป็นเกราะป้องกัน ก็พลันโมโหขึ้นมาทั้งยังมีความกล้าเพิ่มมากขึ้น เขานวดนิ้วมือ ค่อยๆ เก็บมือไปไว้ทางด้านหลัง กล่าวด้วยใบหน้าเยือกเย็น “เจ้าอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนกับข้าคงจะดีกว่า เรื่องนี้เจ้าวางแผนมานานแล้วใช่หรือไม่? ตั้งแต่วันที่แต่งเข้าสกุลจางก็เริ่มแผนในวันนั้น? ใช้การแต่งงานครั้งนี้เรียกความสงสารจากหลัวฮองเฮา จากนั้นก็ฉวยโอกาสสังหารน้องชายรองของข้า เพื่อให้หลุดพ้นจากสกุลจาง? แล้วไปครองรักกับเหยียนหลิงจวิน?”
ฉู่หลิงอวิ้นเพิ่งจะแต่งเข้าสกุลจางได้กี่วันกัน? นางก็รีบร้อนลงมือกับจางอวิ๋นเจี่ยน ต้องไม่ใช่จู่ๆ ก็คิดจะลงมือแน่ๆ แต่ต้องเป็นแผนที่ตระเตรียมไว้นานแล้วอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดขึ้นได้ว่าถูกหลอกใช้ ในใจก็ยิ่งเคียดแค้นขึ้นมา จึงพูดออกไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ใช้แววตาดูถูกกวาดมองยังฉู่หลิงอวิ้นที่ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวเพราะโมโห กล่าวว่า “แผนที่มีแต่ได้กับได้เช่นนี้เกรงว่าเจ้าจะคิดผิดแล้ว? หากเหยียนหลิงจวินมีใจให้เจ้าจริงๆ เหตุใดจึงจะต้องรอจนถึงวันนี้เล่า? ตอนที่เขาอยู่ในวังก็ไม่ไยดีเจ้าสักนิด ท่านหญิงอันเล่อที่คิดว่าตนเองสูงส่ง กลับตกต่ำถึงเพียงนี้ วันนี้นับว่าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”
ฉู่หลิงอวิ้นกุมใบหน้า แววตาที่เคียดแค้นนั้นจ้องมองเค้าอย่างเขม็ง ราวกับอสรพิษร้ายก็มิปาน
กระนั้นตั้งแต่เล็กจนโตนางก็ถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ถึงในใจจะอาฆาตแค้นอย่างไร ท้ายที่สุดก็ไม่ลดตัวลงไปตบตีเขาเยี่ยงสาวชาวบ้าน
เวลานี้ถูกจางอวิ๋นอี้พูดฉีกหน้าโดยไม่อ้อมค้อม นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือชี้ไปทางประตูทันที
“เจ้าไสหัวไปให้พ้นข้าเดี๋ยวนี้!”
จางอวิ๋นอี้นั้นยังโกรธไม่หาย จะยอมจากไปอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร
เขากลับก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
ฉู่หลิงอวิ้นเมื่อถูกเขาต้อน ก็ถอยหนีไปข้างหลังหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงยิ้มเยาะกล่าวอย่างทิ่มแทงไปว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปอีก? สละฐานะสะใภ้สกุลจางทิ้ง จากนั้นก็ลักลอบเริงสวาทกล่าวความในใจกับคนนั้นของเจ้าใช่หรือไม่?”
เขาไม่ใคร่ครวญถึงสิ่งใดอีกแล้ว แม้แต่ฐานะของฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่สนใจ เพียงคิดได้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้วางแผนหลอกใช้สกุลจางทั้งสกุลราวกับคนโง่ เขาก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จึงพยายามใช้คำพูดที่เจ็บแสบด่ากราดใส่นาง เพื่อต้องการให้นางอับอายอย่างถึงที่สุด
“เพียงแต่เกรงว่าเจ้าจะรักเขาข้างเดียวเสียแล้ว!” จางอวิ๋นอี้กล่าว ใช้แววตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโลมเลียท้ายที่สุดก็หยุดสายตาที่อกนาง นัยน์ตาประกายด้วยราคะ กล่าวด้วยเสียงเย็น “อาศัยฐานะของเจ้าตอนนี้ เทียบกับนางโลมที่ถนนหลิ่วหลินแล้วก็แค่สวยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ยังจะคิดเพ้อเจ้ออะไรอีก?”
หลายปีมานี้รูปลักษณ์ที่งดงามเช่นฉู่หลิงอวิ้นล้วนแต่เป็นผู้หญิงในอุดมคติที่จางอวิ๋นอี้ใฝ่ฝัน ทว่าชื่อเสียงและฐานะของนางทุกวันนี้…
แม้จะเป็นจางอวิ๋นอี้ ที่พึงพอใจที่สุดก็มีเพียงร่างกายของนางเท่านั้น เล่นๆ เสร็จก็แล้วไป ใครจะอยากหาเรื่องเอาตัวปัญหาอย่างนางเข้ามากัน?
แล้วนับประสาอะไรกับเหยียนหลิงจวินที่เพียบพร้อมล้วนแต่เป็นที่หมายปองของคนอื่น
——————————————–