สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 9.4 เดิมพันชีวิต (4)
“คอยดูเถอะ หากพวกเขาจะเอาเรื่องจริงๆ ข้ารับรองว่าไม่เกินสามเดือนก็จะไม่มีชื่อจวนติ้งเป่ยโหวอยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน” ฉู่สวินหยางกล่าว
ไม่มีจวนติ้งเป่ยโหว?
สาวใช้สองคนสบตากัน…
ท่านหญิงคำพูดนี้ไม่ใช่ว่าน่ากลัวเกินไปหรอกหรือ?
ความหมายก็คือ ฮ่องเต้จะถอดยศจวนติ้งเป่ยโหว?
แต่ว่าเรื่องนี้สกุลจางต่างหากที่เป็นผู้ประสบชะตากรรม
เรื่องที่ลำดับความสำคัญผิดเช่นนี้ จะไม่โดนผู้คนนินทาหรอกหรือ?
เวลานี้ฮ่องเต้มีความแข็งแกร่งทั้งยังเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกล เหตุใดจึงจะต้องออกหน้าให้ฉู่หลิงอวิ้นเพื่อเป็นขี้ปากชาวบ้านล่ะ?
“ท่านหญิงคำกล่าวนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ?” ชิงหลัวตะลึงไปจึงตั้งสติขึ้นก่อนกล่าว
“ฝ่าบาทคงไม่ยอมเอาเกียรติและชื่อเสียงมาเสี่ยงแลกกับฉู่หลิงอวิ้นเป็นแน่ เว้นแต่ว่าฉู่หลิงอวิ้นนางจะสามารถพลิกสถานการณ์ให้เขาได้ เขาจะต้องรับไว้อย่างแน่นอน ถือโอกาสกำจัดจวนติ้งเป่ยโหวที่เขาไม่ชอบใจออกไปก็เท่านั้น เจ้ากังวลเรื่องพวกนั้นหรอกหรือ…แน่นอนว่าจะไม่เกิดขึ้นหรอก” ขณะที่ฉู่สวินหยางพูดก็ส่ายหน้ายิ้มขึ้นมาอย่างทันที ไม่ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะตั้งใจหรือเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวภายในใจ เรื่องครั้งนี้ล้วนแต่ตอบสนองความต้องการให้ฮ่องเต้ได้สมหวัง “ตามแผนฮ่องเต้ของพวกเรา วิธีการที่แยบยลของเขานั้นมีอยู่มาก อย่างเช่นพูดว่าปีก่อนที่จวนติ้งเป่ยโหวดูแลรับผิดชอบการซ่อมแซมชลประทานช่องทางน้ำในฝูเจี้ยนได้สำเร็จ เวลานั้นราชสำนักแบ่งเงินจัดสรรก้อนใหญ่ให้เขาล้านตำลึง…”
ในฐานะที่ฮ่องเต้เป็นผู้ก่อตั้งแคว้น ระบบปกครองจึงเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะจงเกลียดจงชังขุนนางที่ทุจริต
ชิงหลัวสติกลับคืนมาทันที เผยใบหน้าเคร่งครึมยังไม่รู้ตัว “ความหมายของท่านหญิงคือ ฝ่าบาทจะอาศัยเรื่องเงินก้อนโตที่เขาได้รับจากการซ่อมแซมช่องทางน้ำในตอนนั้น มาจัดการกับจวนติ้งเป่ยโหวหรือเจ้าคะ?”
“นี่เป็นโอกาสที่มีอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้คดโกง เพียงแค่ฝ่าบาทพูดมาคำเดียว ไม่ได้โกงก็คงต้องโกงแล้ว” ฉู่สวินหยางกล่าว เงาในดวงตานั้นสะท้อนกับแสงแดด ประกายความเย็นเยียบออกมาเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นนางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินฉู่ฉีเฟิงยกขึ้นมาพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ เรื่องที่จางติ่งได้ดูแลการซ่อมแซมช่องทางน้ำในฝูเจี้ยนก็เป็นการหลวกลวงเบื้องบน โกยผลประโยชน์ได้ไปไม่น้อย
และเวลานี้นางก็ยิ่งคิดไปถึงชาติก่อน ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั้นเป็นคนแบบไหนก็ยากจะคาดการณ์ออก แม้แต่ลูกชายคนโตที่ตัวเองให้ความสำคัญที่สุด องค์รัชทายาทนั้นยังถูกคุมขังในคุกใต้ดินภายในคืนเดียว ทั้งยังสั่งเข่นฆ่าสายเลือดทั้งสกุลของเขา
กับแค่จวนติ้งเป่ยโหวเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญเช่นนี้นับว่าเป็นอันใด?
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกวุ่นวายใจ ถึงแม้จะผ่านไปนานมากแล้ว ในใจก็ยังคงติดอยู่กับความเศร้าใจ
“แต่ว่าก็เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก” นางเก็บสีหน้าโดยพลัน ลุกขึ้นอย่างหน่ายๆ เดินเข้าไปใกล้หน้าต่างก่อนจะกล่าว “ช่วงนี้จวนอ๋องหนานหนานเหอทางฝั่งนั้นมีการเคลื่อนไหวอยู่เหมือนกัน เหลือศัตรูที่อาฆาตแค้นอย่างจวนติ้งเป่ยโหวไว้เพื่อตักเตือนก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ลูกชายสกุลจางก็คงต้องตายเสียเปล่า ฮ่องเต้จะวางแผนอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่ถึงกับกล้าเดิมพันชีวิตไว้กับเขาหรอก เป้าหมายของนางคือวังโซ่วคังต่างหาก เพียงแค่วังหลังยังมีฮองเฮาอยู่ล่ะก็ นางก็คงหลบหลีก…ความตายได้อย่างเสมอ เว้นเสียแต่จะลอบปลงพระชนม์ที่ต้องรับโทษหนัก มิเช่นนั้นใครก็ไม่อาจทำอะไรนางได้ นี่…จึงทำให้ฉู่หลิงอวิ้นทำการโดยไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เหตุผลแท้จริงที่กล้าเดินหมากมาในเส้นทางนี้ไงล่ะ”
หากไม่มีคนหนุนหลังเช่นนี้ อาศัยแค่ฉู่หลิงอวิ้น จะสามารถดึงจางอวิ๋นเจี่ยนให้พินาศไปด้วยกันได้อย่างไร?
เมื่อฉู่สวินหยางพูดออกมาเช่นนี้ สาวใช้ทั้งสองคนจึงเข้าใจแจ่มชัดขึ้นมาทันที
แท้จริงแล้วฮองเฮานั้นให้ความสำคัญกับท่านหญิงอันเล่อเป็นอย่างมาก ถูกนางปลอบประโลมจนได้ใจไป ไม่ว่านางจะทำความผิดอย่างไร ก็ล้วนแต่ปกป้องทุกวิถีทาง!
ทั้งฉู่หลิงอวิ้นยังเป็นคนที่ฉลาด เดิมทีก็ไม่อาจหลงเหลือหลักฐานการฆาตกรรมสามีให้ผู้อื่นพบเห็นได้ แม้ว่าสกุลจางจะเอาเรื่องขึ้นมา ท้ายที่สุดก็คงจะทำได้แค่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป
“สองวันนี้จับตามองความเคลื่อนไหวของสองจวนนี้ให้ละเอียด” ฉู่สวินหยางชั่งน้ำหนักในใจเล็กน้อยก่อนกล่าว
“เจ้าค่ะ!” ชิงหลัวพยักหน้า หมุนกายเดินไปด้านนอกเรือน กลับพบกับฉู่ฉีเฟิงที่เดินเข้ามาจากด้านนอก
“ท่านชาย!” ชิงหลัวคำนับทักทาย
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าราบเรียบพลางก้าวเท้าเดินเข้าประตูมา
ฉู่สวินหยางหันกลับไปมอง เผยยิ้มจนเห็นฟัน “ท่านพี่เหตุใดจึงมาเวลานี้ล่ะ?”
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ค่อยดี จึงไม่อ้อมค้อมกับนาง เปิดปากออกไปตรงๆ “เรื่องของฉู่หลิงอวิ้น เจ้าคงรู้หมดแล้วใช่หรือไม่?”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกหัว “ได้ยินว่าทางสกุลจางฝั่งนั้นเกิดความเคลือบแคลงใจจึงกำลัง…”
พูดได้ครึ่งเดียวฉู่สวินหยางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยหยุดคำพูดที่เกริ่นขึ้นก่อนหน้าลง ก่อนสายตาจะประกายวาบ บิดหน้ามองไปทางชิงเถิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ชิงเถิงตกตะลึง หดคอลงทันที เกรงกลัวจนก้มศีรษะลงไป
ก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางไม่ได้คิดอย่างละเอียด เวลานี้สติกลับมาจึงรู้สึกแปลกๆ…
หากฉู่หลิงอวิ้นเพียงเพื่อต้องการสลัดจางอวิ๋นเจี่ยนทิ้ง จากความฉลาดของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เหตุใดวันหนึ่งจึงปล่อยให้สกุลจางเกิดความสงสัยได้ ทั้งยังไต่สวนอย่างเอิกเกริกขึ้นมา?
เว้นเสียแต่ว่า…
นางจงใจ…
และหากนางจงใจก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่จะ…
เป็นฉู่ฉีเหยียนที่ออกคำสั่ง และพวกเขาก็มีจุดประสงค์อื่น
“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!” ฉู่สวินหยางถามออกไปอย่างจริงจัง อดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงเรื่องอื่นอีก
ฉู่ฉีเฟิงเพียงเห็นปฏิกิริยาของชิงเถิงก็รู้ทันทีว่านางพยายามปิดบังความจริงของข่าวลือบางส่วนกับฉู่สวินหยาง เขานั่งลงดื่มชาไปหนึ่งคำจึงค่อยกล่าวขึ้น “บ่าวสกุลเฉินหลุดปากปล่อยข่าวลือออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจว่าเมื่อวานกลางดึกฉู่หลิงอวิ้นส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้แก่เหยียนหลิงจวินอย่างลับๆ”
ฉู่สวินหยางอึ้งไปพักใหญ่
ชิงเถิงเห็นสีหน้าของนางจึงรีบร้อนอธิบาย “ล้วนแต่เป็นข่าวลวงเจ้าค่ะ อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องจริง”
ใจของฉู่สวินหยางกลับไม่ได้ดีขึ้นตามมาด้วย นางค้อมกายนั่งลงก่อนจะเบะปากกล่าวกับฉู่ฉีเฟิง “เขาตั้งใจที่จะปล่อยข่าวรั่วไหลออกมาใช่หรือไม่?”
อย่างนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่าเหตุใดฉู่หลิงอวิ้นถึงปล่อยให้เรื่องแดงเร็วขนาดนี้
แต่เหตุใดนางจึงส่งจดหมายไปให้เหยียนหลิงจวินกลางดึก กระทั่งเมื่อคืนก่อนนางก็ไม่สนใจสายตาใครตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นกับพวกเขา วันนี้ล้วนแต่ความจริงปรากฏชัด
การแสดงปาหี่แบบเด็กๆ เช่นนี้ก็เพื่อมุ่งเป้าไปที่เหยียนหลิงจวิน?
เมื่อเทียบกันอีกฝ่ายเก่งกว่านางจริงๆ!
นางคิดจะสู้ให้รู้แล้วรู้รอด คนพวกนั้นก็ให้นางใช้ กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1] เลยอย่างนั้นหรือ
ปั่นหัวคนอื่นได้ดีเลยจริงๆ!
ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้ตอบกลับไปก็เหมือนตอบรับโดยปริยาย เพียงกล่าวว่า “ฮูหยินติ้งเป่ยโหวเข้าวังไปร้องเรียนเรียบร้อยแล้ว เวลานี้คาดว่าคงจะวุ่นวายขึ้นมาแล้ว”
“คนสกุลจางนับว่าเคลื่อนไหวเร็วดีจริงๆ” ฉู่สวินหยางหัวเราะ
คนเลวพวกนั้นแตกคอกันเอง นางไม่จำเป็นต้องเห็นอกเห็นใจ
สักพักความคิดของนางก็พลิกกลับมาอีกด้าน มองไปทางฉู่ฉีเฟิงอีกครั้งก่อนกล่าว “ท่านพี่ ท่านตั้งใจมาบอกข่าวพวกนี้กับข้า คงยังมีเรื่องอยากจะพูดอีกใช่หรือไม่?”
“สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นเหลือไว้ก็นับเป็นปัญหา” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวอย่างรวบรัดชัดเจน
“ท่านจะบอกว่า…” ฉู่สวินหยางกดเสียงต่ำลงเล็กน้อย
“โอกาสยากที่จะคว้า” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า “ในเมื่อนางส่งมาที่หน้าประตูด้วยตนเอง พวกเราก็คงต้องผลักเรือตามน้ำช่วยนางกำจัดปัญหาครั้งนี้ออกไป”
ฉู่หลิงอวิ้นนับว่าเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่มีต่อชื่อเสียงหลัวฮองเฮา ถึงแม้เรื่องครั้งนี้ปะทุขึ้นมานางคงต้องลมจับ แต่ว่าอย่างไรก็ยังคงปกป้องฉู่หลิงอวิ้นเพื่อให้วันหลังนางได้ผงาดขึ้นอีกครั้งอยู่ดี แทนที่จะให้เป็นเช่นนี้มิสู้ทำให้ถึงที่สุดไปเลยดีกว่า
ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่ในใจ มองไปทางฉู่ฉีเฟิงด้วยท่าทีจริงจัง “ท่านมั่นใจแค่ไหน?”
“สิบส่วน!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวออกมาสองคำด้วยความเด็ดขาด
ฉู่สวินหยางมองประกายวิบวับที่ปรากฏบนหน้าเขา ดึงสติกลับมาไม่ทันจึงมึนงงไปชั่วขณะ
ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่อธิบาย เพียงแต่กะพริบตาให้นางพลางยิ้มอย่างมีความนัย เขาดื่มชาอีกคำก่อนจะวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้น “ข้าจะเข้าวังสักหน่อย เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสอดมือ ตอนเย็นไม่มีเรื่องอันใดก็รีบพักผ่อนซะ”
“อืม!” ฉู่สวินหยางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ยืนขึ้นเพื่อส่งเขา “เย็นมากแล้ว เดินทางก็ระวังด้วยนะท่านพี่”
“เข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงแย้มยิ้มตบไหล่นาง ก่อนจะยกชุดคลุมขึ้นเดินก้าวยาวออกไป
ชิงเถิงเกร็งคอทอดสายตามองจนเขาจากไป ในใจกลับคิดว่าเมื่อครู่เขาพูดสองคำนั้นออกมาอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม คงจะมีแผนการในใจอยู่แล้ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกจึงมองไปทางฉู่สวินหยางด้วยความสงสัย “ท่านหญิง ท่านชายจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
“เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง” ฉู่สวินหยางก็เลียนแบบท่าทางของเขาเมื่อครู่แย้มยิ้มกะพริบตาส่งให้นาง จากนั้นก็ก้าวกลับไปนั่งที่ตั่งเก็บลายปักดอกไม้นั้นขึ้นมาเย็บอีกครั้ง
ฉู่หลิงอวิ้นอยากจะลองเชิงกับเหยียนหลิงจวิน นางเก่งสู้คนอื่นไม่ได้หรอก!
อยากจะเล่นชิงไหวพริบ…
ฉู่ฉีเหยียนนับว่ามีฝีมือ ส่วนฉู่หลิงอวิ้นน่ะหรือ ไม่มีค่าที่จะให้มองด้วยซ้ำ
————————————
[1] กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ เป็นกลยุทธ์ที่วิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังของศัตรูในการทำศึกสงคราม ถ้ากองทัพมีน้อยกว่าก็ควรหาทางบั่นทอนขวัญและกำลังใจของศัตรู