สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 90.3 กล้าแตะต้องคนของข้า? รนหาที่ตายชัดๆ! (3)
กระดูกข้อมือของฮั่วกังโดนลูกศรปักทะลุ ภายใต้ความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้น ความรู้สึกนึกคิดของเขาก็ถูกกระตุ้นขึ้น
เมื่อครู่คลุกกลิ้งอยู่บนพื้นดิน จากนั้นโดนโจมตีด้วยมีดกว่าสิบเล่ม
เขาทำได้เพียงกลิ้งไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีนั้น
ก่อนหน้านี้ ยังมีลูกน้องบางคนที่ลังเลว่าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลไปกับเขา แต่ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่สบายใจ
มีคนกัดฟันสู้ยกหอกแทงลงไป
บ้างก็ยังกังวลความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันอยู่ แต่สุดท้ายก็ถอยหนีไปอย่างกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง ไม่ปล่อยให้ดาบนั้นทิ่มแทงตนทำให้ตนพลอยเจ็บปวดไปด้วย
ฮั่วกังล้มกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ จนถึงสุดท้ายตอนที่กุมบาดแผลหน้าบนหน้าอกแล้วลุกขึ้นมาตอนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อโชก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยกินโคลนและเศษหญ้า
องครักษ์ของทั่วป๋าหรงเหยารีบไล่ตามเข้าไป กวัดแกว่งดาบขึ้นสู้อีกครา
ตอนนี้เขาไม่มีพละกำลังสู้ต่อแล้ว และก็ไม่คิดจะต่อต้านขัดขืนอีกต่อไป คิดเพียงแต่ฮึดแรงขึ้นมาแล้วรีบวิ่งหนี
ฉู่สวินหยางเห็นตั้งแต่ไกลๆ แววตามองดูอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นจึงเอ่ยสั่งการ “พลธนู!”
บรรดาพลธนูก้าวขึ้นหน้าเพื่อทำการโจมตี
ทางฝั่งทั่วป๋าหรงเหยาทางนั้นพวกทหารที่เคยสุมวงล้อมติดตามผู้เป็นนายของตนอยู่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าต่างก็หวาดกลัววิ่งหนีแตกกระเจิง
เสียงของลูกศรดังขึ้น
ฮั่วกังที่กำลังรีบวิ่งหนีอยู่นั้นก็รู้สึกเจ็บศีรษะปวดชา วินาทีนั้นราวกับว่าเลือดในร่างกายแข็งขึ้นมาฉับพลัน ร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วกลับหยุดช้าลงในทันที
และก็เพราะวินาทีที่เขาหยุดนิ่งลงตอนนั้น ก็ทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตี
ลูกศรนับร้อยยิ่งฝ่าเขามาทางด้านหลัง กว่าเขาจะรู้สึกตัวขึ้นมาตอนนั้น ก็แยกไม่ออกแล้วว่าตัวเองเจ็บปวดมีบาดแผลตรงไหนบ้าง กระอักเลือดออกมา แล้วล้มพับไป
ทั่วป๋าหรงเหยาเห็นว่าฉู่สวินหยางเอาจริงแล้ว ในใจของนางรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามา นางจึงตั้งใจปลุกระดมผู้คนขึ้นอีกครั้ง ตะโกนสั่งการออกมาเสียงดัง “ยังจะรออะไรอีก? ฆ่ามัน!”
ไม่ต้องรอให้พลธนูยิงระลอกสอง ทหารองครักษ์ของทั่วป๋าหรงเหยาก็พุ่งเข้าต่อสู้ทันที สะบัดกวัดแกว่งหอกในมืออย่างชุลมุน
ฮั่วกังล้มลงในแอ่งเลือด ไม่เหลือแม้กระทั่งแรงให้หลบหนี
ที่จริงลูกศรพวกนั้นปักทิ่มเข้าไปถึงอวัยวะภายในของเขาหลายอย่าง แค่นั้นมันก็เพียงพอปลิดชีวิตเขาได้แล้ว แต่เนื่องจากการโจมตีสองครั้งมันต่อเนื่องกันเกินไป เลยทำให้เขารู้ว่า การโจมตตีของดาบที่หั่นสะบั้นใส่ลงมาตอนหลังจากนั้นคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า
เมื่อถึงตอนสุดท้าย สิ่งที่อยู่ในพุ่มไม้นั่นก็มองไม่ออกแล้วว่าเป็นร่างกายของคน
เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทว่ายังไม่ถึงสิ้นชีพในทีเดียว ปีหน้าผืนหญ้าตรงนี้อาจจะชุกชุมขึ้นกว่าเดิม
พวกคนโม่เป่ยพวกนั้นทรหดยิ่งนัก
อันที่จริงภาพเหตุการณ์แบบนี้มันก็เป็นเรื่องปกติเวลาทำสงคราม แต่คนของกองบัญชาการทหารกับกองทหารจากในวังจะเคยมีประสบการณ์นองเลือดแบบนี้กันสักเท่าไรเชียว?
ถึงขนาดพวกทหารที่เพิ่งเข้ากรมมาใหม่ๆ ยังอ้วกออกมา ยังอดไม่ได้ที่ต้องปาดคอคนอื่นแบบนั้นเลย
ฉู่อี้เจี่ยนไม่เสียสมาธิไปเพราะเหตุการณ์ตรงหน้าแต่อย่างใด แต่หันไปชายตามองฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางสองพี่น้องที่ใบหน้านิ่งขรึมราวกับภูเขาอันมั่นคง จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมา…
เด็กสองคนนี่ลงมือจัดการได้โหดเหี้ยมกว่าที่เขาคิดนัก!
เขากำลังเหม่อลอย ทว่าทั่วป๋าหรงเหยาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับกลัวว่าฉู่สวินหยางจะเปลี่ยนใจ เลยเอ่ยปากพูดอีกครั้งว่า “ท่านหญิงได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ข้าไปได้หรือยัง?”
ฉู่สวินหยางยกมุมปากขึ้นเผยสีหน้าอารมณ์ที่ยากจะคาดเดาออกมา
ทั่วป๋าหรงเหยาจ้องมองนางอย่างระมัดระวังอยู่ได้สักพัก เห็นนางไม่สั่งการจับกุมตัวเองจึงคิดว่าอีกฝ่ายตอบรับไปโดยปริยาย จึงกัดฟันแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
“ขอรับ!” ทหารองครักษ์ของนางรับคำสั่ง รีบกลับไปจัดเก็บเตรียมของ
ทั่วป๋าหรงเหยากุมท้องกำลังจะเดินกลับเข้าไปในตัวรถ ทว่ากลับไปยินเสียงฝีเท้าม้าทางทิศเหนือดังเข้าใกล้มาจากทางด้านหลัง จากนั้นก็ฝุ่นควันขโมงลอยขึ้น
นางรีบตั้งสติป้องกันตัวเอง ฝืนยืดตัวขึ้นแล้วชะโงกมองออกไป วินาทีนั้นเองนางก็ตกใจขึ้น…
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเป็นแผนการของฉู่สวินหยาง ในขณะที่นางกำลังเบี่ยงเบนสมาธิของตนก็สั่งให้คนไปตลบล้อมหลังเอาไว้งั้นหรือ?
เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว ทั่วป๋าหรงเหยาก็ตกใจจนเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
ทว่าในตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงคนเรียกตนอย่างตกใจ “นั่นองค์หญิงแปดนี่ องค์หญิงแปดมาแล้ว!”
ทั่วป๋าหรงเหยามึนงงไปชั่วขณะ หันไปมองตามที่มาของเสียง
ทางด้านที่เสียงฝีเท้าดังขึ้นมานั้น เป็นกองทหารม้าของแคว้นโม่เป่ย เสียงดังฮึกเหิม มีจำนวนมากถึงหมื่นกว่าคน
เมื่อเห็นกองทัพทหารแคว้นโม่เป่ยที่มาถึงราวกับฟ้าสวรรค์ประทานพรนั้น แววตาของฉู่อี้เจี่ยนก็ดำมืดลง เริ่มมีความรู้สึกสนอกสนใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้นมา
แต่ทว่าใบหน้าของทั่วป๋าหรงเหยากลับไม่มีความปิติยินดีเลยสักนิด แถมยังราวกับว่าสิ้นหวังถึงขีดสุดอีกด้วย…
คนที่มาถึงนั่นคือทั่วป๋าอวิ๋นจี!
ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่านางแล้ว นางกับผู้หญิงคนนี้มีความแค้นที่ยังไม่ได้สะสางกันเยอะมากเหลือเกิน
ทหารองครักษ์ของทั่วป๋าหรงเหยา คิดว่าการปรากฏตัวขึ้นของทั่วป๋าอวิ๋นจีคือการเข้ามาช่วยเหลือ
แต่สำหรับนางนั้น…
ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจมาไล่ล่าเอาชีวิตนางมากกว่า
ขาของนางอ่อนแรง จนแทบจะร่วงจากรถตกลงพื้น พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองให้ไม่ระเบิดออกมาจนใบหน้าขาวซีด
ทั่วป๋าอวิ๋นจีพากำลังทหารมา จากนั้นสั่งให้พวกเขาหยุดลงตรงหน้าขบวนทัพของทั่วป๋าหรงเหยา
นางมองออกไป จากนั้นก็ยิ้มทักทายฉู่สวินหยางและคนอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ท่านหญิงสวินหยาง คังจวิ้นอ๋อง พวกท่านสบายดีนะเจ้าคะ!”
ตอนที่นางพำนักอยู่ในเมืองหลวงตอนนั้นแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับฉู่อี้เจี่ยนเลย จึงไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
พวกเขาสบตามองกันผ่านขบวนกองทัพทหารและม้า
ผู้หญิงคนนี้ หนักแน่นมั่นคงและใจเย็นขึ้นเยอะกว่าตอนที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงเมื่อต้นปีที่ผ่านมามากนัก เวลานี้นางในชุดอันเรียบง่าย นั่งสง่าโดดเด่นอยู่บนหลังม้า มันช่างสวยงามตระการตาเหลือเกิน
“องค์หญิงอวิ๋นจี!” ฉู่สวินหยางไม่ได้เอ่ยตอบนาง ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับยิ้มเย็นชาแล้วพูดขึ้น “พากองทัพทหารมายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านจะมารับฮ่องเต้ของพวกข้า และพระสนมหรงเฟยกลับไปแคว้นโม่เป่ยงั้นหรือ?”
ทั่วป๋าหรงเหยาต้องการจับตัวฮ่องเต้กลับไปแคว้นโม่เป่ย แต่นั่นมันก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนางกับทั่วป๋าไหวอันเท่านั้น
แต่คนที่มาตอนนี้คือทั่วป๋าอวิ๋นจี นางเลยไม่เหลือความหวังใดอีกแม้แต่นิดเดียว
สีหน้าของทั่วป๋าหรงเหยากระวนกระวาย กัดปากราวกับว่ากำลังจะพูดอะไร ทว่าเสียงเย็นชาเคร่งขรึมนั่นของทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ดังขึ้นมาก่อน “คังจวิ้นอ๋องเข้าใจข้าผิดไปแล้ว องค์ราชาของพวกข้าเพิ่งได้ขึ้นครองราชย์ เลยสำนึกในบุญคุณที่ฮ่องเต้เคยมอบให้ จึงได้มาเยี่ยมเยือนถึงเมืองหลวงด้วยตัวเองแบบนี้ จะกล้าพาตัวฮ่องเต้ให้ลำบากลำบนถ่อไปถึงแคว้นโม่เป่ยได้เยี่ยงไรเล่า?”
ฉู่ฉีเฟิงเองก็ไม่พูดอะไรมาก
จากนั้นแววตาของทั่วป๋าอวิ๋นจีก็เย็นชาโหดเหี้ยมขึ้นมา กวาดตามองไปยังเหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างกายของทั่วป๋าหรงเหยาแล้วพูดว่า “พวกเจ้ากล้ามากที่ตัดสินใจไปโดยพลการเยี่ยงนี้ ที่กล้าบังคับขู่เข็ญฮ่องเต้แห่งแคว้นซีเยว่แบบนี้ พวกเจ้าคิดทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราแคว้นโม่เป่ยและราชวงศ์ซีเยว่แตกหักกันหรือไง? คิดจะใช้สงครามแก้ไขปัญหาแบบนี้ พวกเจ้าอยากให้พ่อแม่ภรรยาลูกเต้าของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้งั้นเหรอ?”
เสียงของดังฟังชัดและน่าเกรงขาม จนทำให้พวกทหารองครักษ์ที่ทำลงไปเพราะหมดสิ้นหนทางยิ่งกดดันมากขึ้นไปอีก
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังองค์หญิงทั้งสองแห่งแคว้นโม่เป่ยเป็นตาเดียว
ร่างกายของทั่วป๋าหรงเหยาที่เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน เดิมทีร่างกายก็ไม่แข็งแรงมากอยู่แล้ว ถึงตอนนี้ ยังต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย นางกลับนั่งยองลงบนที่นั่งบังคับม้า กุมท้องตัวเองเอาไว้เหงื่อไหลด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด
ส่วนทั่วป๋าอวิ๋นจีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับสูงสง่าแข็งแกร่งน่าเกรงขาม
พวกทหารองครักษ์ไม่ได้เป็นคนโง่ แค่มองก็รู้แล้วว่าใครได้เปรียบกว่าใคร
———————-