สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 90.4 กล้าแตะต้องคนของข้า? รนหาที่ตายชัดๆ! (4)
“องค์หญิงหกได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย!” ทหารองครักษ์คนนั้นไหวตัวไว รีบคุกเข่าขอร้องลงไปในทันที “พวกข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยทั้งนั้น พวกข้าเพียงแค่ติดตามนายท่านมา ไม่รู้ว่าองค์หญิงแปดทรงทำไปโดยพลการ จึงทำให้เกิดเรื่องบาดหมางที่ไม่เหมาะสมเยี่ยงนี้ พวกข้าทุกคนทำผิดต่อองค์ราชา ทำผิดต่อพี่น้องประชาชนในแคว้นโม่เป่ยทุกคน พวกข้ายินดีกลับไปพร้อมกับองค์หญิงเพื่อรับโทษอย่างโดยดี”
“พวกข้าโง่เขลา ถูกคนอื่นหลอกใช้ได้ง่ายๆ ขอองค์หญิงโปรดทำโทษพวกข้าด้วยเถิด!” คนที่เหลือเริ่มเอ่ยตามกัน ผู้คนที่รายล้อมรถม้าคันนั้นคุกเข่าลงกันอย่างพร้อมเพรียง ทำให้ทั่วป๋าหรงเหยารู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาในทันที
ทั่วป๋าไหวอันเพิ่งขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของแคว้นโม่เป่ยไม่กี่วันมานี้เอง ฉู่สวินหยางกับคนอื่นเองก็เพิ่งรู้เรื่องตอนนี้เหมือนกัน
ใบหน้าของทั่วป๋าอวิ๋นจีเคร่งขรึม ไม่เผยสีหน้าความรู้สึกใดออกมาให้เห็นต่อหน้าพวกฉู่สวินหยางและคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย นางเพียงแค่ทำตามหน้าที่ พูดในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นโม่เป่ยเท่านั้น “หรงเหยาเกือบจะทำให้เรื่องทุกอย่างพังทลายลงไปเพราะความต้องการส่วนตัวของนางเอง ถึงแม้นางจะเป็นคนของแคว้นโม่เป่ย ข้าก็ไม่มีวันขอร้องที่จะให้ทุกคนยกโทษให้นาง ในเมื่อนางแต่งงานกับคนของแคว้นซีเยว่แล้ว ข้าจะปล่อยให้พวกท่านเป็นคนตัดสินความนางเอง และข้าจะทำข่าวคราวนี้ไปแจ้งให้ท่านพี่ของข้าทราบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฮ่องเต้จะให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่โกรธแค้นพวกเราแคว้นโม่เป่ยเพียงเพราะเรื่องนี้ พวกทหารองครักษ์เองก็ทำไปเพราะไม่มีทางเลือก ทำการไม่เหมาะสมไปเพื่อนาง พวกเขาเองก็ควรได้รับบทลงโทษเช่นเดียวกัน ขอจวิ้นอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตพวกเขา ให้ข้าพาพวกเขากลับไปให้ท่านพี่ลงโทษที่แคว้นโม่เป่ยด้วยเถิด ถึงเวลานั้น…ทางแคว้นโม่เป่ยจะส่งหนังสืออธิบายให้ฮ่องเต้ทราบถึงเรื่องนี้เป็นลายลักษณ์อักษรแน่นอน!”
คำพูดนี้ของนางถือได้ว่าพูดอย่างไม่เกรงใจ การที่นางถึงขั้นขอไว้ชีวิตทหารองครักษ์พวกนั้นเพื่อพากลับไปยังแคว้นโม่เป่ยนั่นยิ่งเหลวไหล
แต่ในมุมมองของนางเอง นางไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรเลยสักนิด
“ท่านคิดว่าอย่างไร?” ฉู่ฉีเฟิงหันไปมองส่งสายตาให้ฉู่อี้เจี่ยนเป็นคำถาม
“เจ้าตัดสินใจว่าอย่างไรก็ตามนั้น!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ทั่วป๋าอวิ๋นจีโล่งอก ทว่าฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ทางนี้จู่ๆ ก็กลับพูดขึ้นด้วยแววตาเย็นชาอย่างไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวว่า “ไม่ได้!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีตกใจไปชั่วขณะ
จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดขึ้นต่อว่า “กระทำการลักพาตัวฮ่องเต้ คนพวกนี้มีโทษใหญ่หลวงนัก ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่อง แต่มันก็ถือเป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ ข้าจะพาพวกเขาทุกคนกลับไปยังเมืองหลวง ถึงเวลานั้นข้าบอกฮ่องเต้เองว่าท่านหญิงกล่าวไว้ว่าอะไร ส่วนจะจัดการพวกเขาอย่างไร…เรื่องทั้งหมดนั้นให้เป็นอำนาจของฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว”
ก่อนหน้านี้ทั่วป๋าอวิ๋นจีเคยเจอฉู่ฉีเฟิงอยู่หลายครั้ง ในความทรงจำของตนคังจวิ้นอ๋องคนนี้เป็นคนใจเย็นอบอุ่นมาตลอด
แต่ฉู่ฉีเฟิงที่เย็นชาโหดร้ายเยี่ยงนี้มันช่างทำให้นางรู้สึกประหลาดใจและตกใจจริงๆ
สีหน้าของทั่วป๋าอวิ๋นจีเปลี่ยนไป
ฉู่สวินหยางมองฮ่องเต้ที่สลบอยู่บนรถม้าของทั่วป๋าหรงเหยาหนึ่งที จากนั้นยิ้มหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มิอาจมองข้ามได้ ในเมื่อมันเกี่ยวพันกับราชวงศ์ของแคว้นโม่เป่ยด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องให้ฮ่องเต้ตัดสินใจลงมือด้วยตนเองเท่านั้น องค์หญิงอวิ๋นจี เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของท่านแต่เพียงผู้เดียว หากท่านเข้าใจเรื่องนี้ก็จะดี แต่ถ้าไม่ล่ะก็…”
นางพูดพลางก็ส่ายศีรษะแล้วยิ้มออกมา แสดงความหมายที่ต้องการจะสื่อออกมาทางสีหน้าท่าทางอย่างชัดเจน
ไม่ต้องพูดถึงว่าหากฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้วจะจัดการกับเรื่องพวกนี้ไหม แค่เวลานี้ยัง…
ยิ่งดื้อดึงแข็งข้อต่อไปแบบนี้ก็ยิ่งเป็นการปล่อยให้พวกเขาวังบูรพาแสดงอำนาจ
ทั่วป๋าอวิ๋นจีรู้ดีว่านางไม่สามารถต่อกรกับพวกเขาสองพี่น้องได้ แต่ถ้าจะให้กลับไปทั้งแบบนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว
ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับไม่สนใจว่านางลังเลอย่างไร สั่งการขึ้นในทันที “อารักขาฮ่องเต้กลับเมืองหลวง!”
พูดจบก็ไม่สนใจใครหน้าไหนอีกทั้งนั้น พาฉู่สวินหยางขึ้นม้าแล้วหันหลังจากออกไปในทันที
ทั่วป๋าอวิ๋นจีเม้มปากแน่น ลังเลอยู่นานแต่ก็ไม่ขยับตัวไปไหน
เมื่อคนเข้าไปดูแลจัดการฮ่องเต้และทั่วป๋าอวิ๋นจีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขบวนรถของพวกเขาก็ค่อยๆ ออกเดินทาง
ทัพศึกใหญ่ไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกที่ตามรังควานฮั่วกังเองก็ไม่ตอแยเขาอีก ถูกจับมัดลากตัวกลับไปเมืองหลวงอย่างโดยดี
เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่เดินทางจากออกไป ทั่วป๋าอวิ๋นจีจ้องมองแผ่นหลังของฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางค่อยๆ จากไปอยู่นานแสนนาน จนถึงสุดท้ายค่อยสั่งการพาคนของตัวเองกลับไป
เหลือเพียงฉู่อี้เจี่ยนที่ไม่ขยับไปไหนเป็นคนสุดท้าย
เมื่อผู้คนทั้งสองฝั่งเดินจากออกไปไกลพอสมควร เขาก็ยังคงทำหน้านิ่งไม่ขยับเดินหน้าไปไหน
ข้ารับใช้ข้างกายของเขาเดินขึ้นหน้ามา เอ่ยถามเขาเสียงเบา “นายท่าน คนของเราที่ซุ่มโจมตีอยู่ด้านข้าง…”
“กลับกันเถอะ!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว ริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา
เขาไม่เพียงแต่จะมีความคิดอยากยืมมือคนอื่นฆ่าคน แต่เขายังเตรียมกำลังพลดักซุ่มรออยู่ด้านข้าง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดอีกด้วย
ถ้าจะต้องยอมแพ้ไปทั้งแบบนี้ ข้ารับใช้คนนั้นของเขายังรู้สึกเสียดาย
ฉู่อี้เจี่ยนทอดมองออกไปยังแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าอันกว้างไกล ริมฝีปากก็ยกขึ้นยิ้มออกมาอย่างลึกลับ
“วังบูรพาเอ๋ย!” เขาถอนหายใจอย่างเศร้าโศกแต่ก็แอบแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แววตาหลุบลงมองไม่เห็นความรู้สึกอารมณ์ใด แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าทำไมองค์หญิงแปดถึงได้ปรากฏตัวขึ้นได้อย่างบังเอิญแบบนี้เล่า?”
ฉู่สวินหยาง? ฉู่ฉีเฟิง? หรือว่าเป็นแผนลับของฉู่อี้อันตั้งแต่แรก?
ที่สามารถควบคุมกำลังคนของแคว้นโม่เป่ยไว้ได้ในกำมือเยี่ยงนี้…
หากจะฆ่าฉู่ฉีเฟิงพวกเขาสองพี่น้องให้ตายในหมัดเดียวแบบนี้แล้วล่ะก็…
ไม่แน่อนาคตที่ไม่มีสองคนนี้อยู่อาจจะมีอะไรไม่คาดคิดยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้
ข้ารับใช้พวกนั้นเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเขาแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าฉู่อี้เจี่ยนเป็นคนดำเนินการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เลยไม่ได้ขัดขืนต่อต้านอะไร หันไปส่งสัญญาณเรียกให้คนของตัวเองถอยทัพกลับ
เมื่อฉู่สวินหยางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว นางไม่ได้ไปส่งฮ่องเต้กลับพระราชวังพร้อมฉู่ฉีเฟิง แต่นัดเจอกับพวกเจี๋ยหงที่ด้านนอกประตูเมือง จากนั้นก็เดินทางไปยังจวนของเฉินเกิงเหนียนทันที
ช่วงหลายวันมานี้เหยียนหลิงจวินพักผ่อนอยู่ในจวนไม่ออกไปไหน เมื่อเห็นนางเดินทางมอย่างาเหน็ดเหนื่อยลำบากลำบนก็หัวเราะ “ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับวังบูรพาไปเลยซะอีก!”
เขาพูดพลางใช้ผ้าเปียกเช็ดหน้าเช็ดแขนให้นางกับมือ
ฉู่สวินหยางชะล้างร่างกายตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเสร็จ ตอนนั่งดื่มชาตอนนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ทำไมเจ้าไม่ถามว่าข้าปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จหรือเปล่า?”
“ยังต้องถามอีกงั้นเหรอ?” เหยียนหลิงจวินถามกลับ เงียบไปสักพักถึงค่อยพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่แล้ว เดิมทีฮูหยินฮั่วกับแม่นางฮั่วเดินทางออกจากเมืองหลวงไปแล้ว แต่ระหว่างทางไปเจอพระชายาอ๋องหนานเหอที่กำลังออกเดินทางไปกราบไหว้พอดี เลยถูกรั้งตัวไว้จนกลับเข้าเมืองมาอีกแล้ว”
ฮูหยินฮั่วกับฮั่วกังมีความคิดเหมือนกัน พวกเขารู้ทุกอย่าง ไม่คู่ควรกับคววามสงสาร
แต่ฮั่วชิงเอ๋อร์…
ฉู่สวินหยางเม้มปาก แล้วปล่อยเรื่องนี้ไปพยายามไม่ไปคิดสนใจมัน…
สายเลือดและชาติกำเนิดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลือกได้ เหมือนกับนาง ที่ต้องแบกรับอะไรหลายอย่างอย่างช่วยไม่ได้เช่นเดียวกัน
สำหรับเรื่องของฮั่วกังเรื่องนี้แล้ว นางไม่ได้ไปสะสางอย่างถอนรากถอนโคน นั่นก็นับว่านางปรานีมากพอแล้ว
ชีวิตของฮั่วชิงเอ๋อร์ ยังไม่ถึงคราวให้นางมารับผิดชอบและวางแผนจัดการหรอก!
“ครอบครัวของพวกฮั่วกังมันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า? กล้าแตะต้องคนของข้า? งั้นเขาก็สมควรตายอยู่แล้ว!”
ฉู่สวินหยางจงใจเลิกคิ้วขึ้นสูง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมันให้ความรู้สึกชั่วร้ายไม่เบา
ชิงเถิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเบิกตาโฑลงอ้าปากกว้าง
ทว่าเจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่สองคนกลับพยายามกลั้นหัวเราะ จนใบหน้าแดงก่ำไปหมด…
ดูท่านหญิงของตนพูดสิ!
คนของนาง? คนของนาง? คนของนางไงเล่า!
พวกนางทุกคนต่างใช้หางตาลอบมองสีหน้าของเหยียนหลิงจวินโดยมิได้นัดหมาย…
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่? มองอย่างไรก็เหมือนว่าตำแหน่งมันสลับกันไปมาอย่างนั้นเลย!
ถ้วยน้ำชาที่เหยียนหลิงจวินกำลังจรดปากดื่มตอนนั้นก็หยุดชะงักลง สีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาเบิกตาโพลง แล้วสั่งพวกข้ารับใช้อย่างนิ่งสงบ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ไปบอกให้ห้องครัวเตรียมสำรับอาหารเย็นได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ!” พวกนางก้มศีรษะขานรับ พยายามไม่หลุดสีหน้าอารมณ์ใดออกมา เดินเรียงตามกันออกไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย จากนั้นก็รีบแยกย้ายกันออกไป
สรุปเหยียนหลิงจวินก็ไม่ได้ดื่มน้ำชานั่นลงไป
เมื่อประตูปิดลง เขาก็พลันส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทั้งคิ้วและดวงตาโค้งมน เผยสีหน้าสบายอกสบายใจออกมาให้เห็น
รอยยิ้มนี่มันช่างจริงใจเหลือเกิน มันไม่เหมือนท่าทางที่จงใจทำเหมือนอย่างเวลาปกติแบบนั้นเลย หางตาของเขามันยิ้มผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมขาติ มองแล้วช่างสดใสและสวยงามเหลือเกิน
เขายิ้มแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาเอนตัวเข้ามาข้างหน้าหงายไปข้างหลังโยกตัวไปมา จนถึงขนาดนอนลงไปหัวเราะบนพื้น
ฉู่สวินหยางที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองอย่างงุนงง ในมือถือถ้วยชาเอาไว้ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแปลกๆ อยู่นานก็ยังไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนตรงหน้าเป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงได้หัวเราะชอบใจออกมาขนาดนั้น
นางจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิดและไม่สบอารมณ์
จนเหยียนหลิงจวินหัวเราะจนน้ำตาเล็ด นางทนไม่ได้จึงวางถ้วยชาลงแล้วขมวดคิ้วถามเขาว่า “เจ้าหัวเราะอะไร?”
————–