สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 91.2 ครั้งนี้ ถึงตาข้าแล้ว (2)
เหยียนหลิงจวินยิ่งเห็นท่าทีของนางที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยิ่งหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างมีความสุข สายตาที่มองมานั้นกวาดมองมายังเสื้อผ้าของนางที่ถูกคลายออกวูบหนึ่ง ซ้ำยังถามขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คิดจะละเว้นว่า “มีตรงไหนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจหรือไม่? ข้าจะได้พูดให้เจ้าฟัง”
ฉู่สวินหยางถูกเขาพูดจาดักเช่นนี้จนแทบจะพูดไม่ออก ได้แต่หน้าแดงก่ำ
หากเหยียนหลิงจวินไม่เอ่ยถึง นางแทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ทั้งๆ ที่เป็นคนผู้นี้เองที่หลบซ่อนก่อน นางเพียงแค่จูงแพะเอาไว้ในมือตามสถานการณ์ แต่เขากลับมาเกี้ยวพานางเช่นนี้โดยไม่ละอายแก่ใจเช่นนั้นหรือ?
ฉู่สวินหยางโมโหยิ่งนัก นางมองเขาด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อพบว่าสายตาเล้าโลมของฝ่ายอีกฝ่าย จึงหลุบตาลงแล้วกลอกตา ใช้ความโมโหดับความโมโหของตน ต่อมาจึงเลิกคิ้วขึ้นยิ้มรับสายตาของเขา ทั้งยังใช้ท่าทีท้าทายจิ้มไปที่หัวไหล่ของเขาและย้อนถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ท่านว่าข้าจะอ่านหนังสือแพทย์พวกนั้นรู้เรื่องหรือไม่เล่า?”
นางเจตนาที่จะใช้น้ำเสียงอ่อนโยนลง หางเสียงสูงขึ้น รอยยิ้มที่ปรากฏนั้นงดงาม ถือได้ว่าตนเองได้ทำเต็มที่ ช่างเป็นเสน่ห์ที่ยั่วยวนใจเหลือเกิน
หัวใจของเหยียนหลิงจวินบีบรัดขึ้นมา ราวกับการเต้นของหัวใจราวกับถูกวินาทีที่แล้วได้ถูกทำให้หยุดลง
เหยียนหลิงจวินใจเต้นระรัว หวนคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่นาน ที่หุบเขาเพลิงอัคคี ค่ำคืนอันงดงามและอัศจรรย์ท่ามกลางหมอกละอองน้ำนั้น เขาหายใจหอบหนักขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว
เปลวไฟที่แผดเผาอยู่ในดวงตาคู่นั้น ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง นิ้วมือเลื่อนสอดเข้าไปเปะปะในอาภรณ์หลุดลุ่ยของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางจับมือของเขาเอาไว้คิดจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “ข้ายังไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น ไม่ต้องให้ท่านสอน”
“หึ…” เหยียนหลิงจวินจนใจกับนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ใครของนาง โอบกอดนางจากทางด้านหลัง ก้มหน้าลงไปกัดผิวเนื้อบริเวณลำคอของนาง พร้อมกับปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีหนังสือบางอย่างอ่านอย่างเดียวไม่ได้ ต้องนำไปปฏิบัติจริงด้วย”
มือของเขาสอดเข้าในอาภรณ์ ฝ่ามือนั้นร้อนระอุ และได้วางลงบนบริเวณท้องน้อยของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางกลอกตา จากนั้นจึงออกแรงพลิกตัวขึ้นมา กดเขาลงบนตั่ง
ข้อศอกของนางกดอยู่บนหน้าอกของเขา มองลงไปจากข้างบน ใบหน้างดงามนั้นก้ำกึ่งระหว่างซุกซนและพยศ ความหมายนั้น…
ทว่ากลับชัดเจนยิ่งนัก
เหยียนหลิงจวินเห็นนางมีสีหน้าเช่นนี้ จึงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ทว่าทั้งสองมือกลับรวบเอวของนางแล้วยกตัวนางไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นพลิกตัวขึ้นคร่อมนางเอาไว้ สลับตำแหน่งของคนทั้งสอง จึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ครั้งนี้ ถึงตาข้าแล้ว”
ฉู่สวินหยางนั้นในใจไม่ยอมจำนวน ขณะที่กำลังคิดจะเคลื่อนไหว ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับว่องไวยิ่งนัก เขากดมือของนางเอาไว้เกี่ยวนิ้วมือทั้งห้าของนางเอาไว้แล้วจุมพิตลงมา
วังหลวง
เพื่อสะดวกแก่การเร่งเดินทาง ทั่วป๋าหรงเหยาจึงได้ใช้ยาฤทธิ์แรงกับฮ่องเต้ จนกระทั่งเข้าสู่กลางคืนแล้วฮ่องเต้จึงตื่นขึ้น
ฉู่อี้อันในฐานะตัวแทนของลูกหลานเชื้อพระวงศ์เร่งเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อดูพระอาการ ฮ่องเต้กลับให้เหตุผลว่าทรงประชวร ไม่มีใครได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้เพราะถูกไล่กลบไปหมด
หลี่รุ่ยเสียงนำเย่าสุ่ยและคนอื่นๆ คุกเข่าอยู่ในห้องบรรทมของฮ่องเต้ สีหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ
ฮ่องเต้สวมเพียงเสื้อนอน เวลานี้นั่งยกมือเท้าหน้าผากอยู่หลังโต๊ะตัวหนึ่งหลับตาพักผ่อน
สีหน้าฮ่องเต้ย่ำแย่นัก ภายใต้แสงไฟ ดูไปแล้วช่างหม่นหมอง
หลี่รุ่ยเสียงไม่เอ่ยวาจาหรืออธิบายใด ได้แต่คุกเข่าไม่เคลื่อนไหว รอคำสั่งจากฮ่องเต้
ฮ่องเต้นั่งอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงอันเย็นเยียบว่า “หรงเฟยเล่า?”
“กราบทูลฝ่าบาท คังจวิ้นอ๋องได้ตัดสินใจส่งตัวหรงเฟยกลับไปตำหนักไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังสั่งการให้คนควบคุมเอาไว้ รอเพียงพระบัญชาจากฝ่าบาทว่าจะจัดการเช่นใดพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงตอบอย่างเคร่งขรึม
ฮ่องเต้สดับแล้ว กลับเงียบขรึมลงอีกครั้ง
เย่าสุ่ยนั้นไม่มีความอดทนอดกลั้นเช่นหลี่รุ่ยเสียง เมื่อเขาเห็นฝ่าบาทไม่เอ่ยสิ่งใด ในที่สุดก็อดทนรนไม่ไหวใช้หางตาแอบมอง
และช่างโชคร้ายนักที่ฮ่องเต้ที่นิ่งเงียบมาเนิ่นนานลืมตาขึ้นพอดี
สายตาของพระองค์ขุ่นมัว ทว่ากลับเต็มไปด้วยความลึกนิ่งที่ทำให้คนคาดเดาไม่ออก ทำให้เย่าสุ่ยตกใจจนสะดุ้ง รีบก้มหัวต่ำลงกว่าเดิม
ฮ่องเต้กลับไม่ได้ใส่ใจท่าทางของเขา ใช้เพียงมือเดียวยันโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
“เด็กๆ ปรนนิบัติฝ่าบาทผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ เตรียมเกี้ยว” หลี่รุ่ยเสียงคลานขึ้นมา เขารีบเข้าไปประคองฮ่องเต้พร้อมกับสั่งการลงไป
ฮ่องเต้ไม่ได้ปฏิเสธมือของเขาที่ยื่นออกไป ให้เขาประคองกลับเข้าสู่ด้านในตำหนัก
นางกำนัลหลายคนรีบตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว ต่างช่วยกันผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว จากนั้นหลี่รุ่ยเสียงประคองฮ่องเต้ออกไป
ไป…
แน่นอนว่าไปหาทั่วป๋าหรงเหยา
ขณะเดียวกันตำหนักในนั้นได้ถูกทหารรักษาพระองค์ได้ล้อมที่เอาไว้แล้ว เมื่อเห็นราชรถของฮ่องเต้เสด็จ องครักษ์จึงรีบเปิดประตูและหลีกทางให้
หลี่รุ่ยเสียงประคองมือฮ่องเต้ลงจากราชรถ ข้างกายติดตามมาเพียงองครักษ์ข้างกายสองนายเดินเข้าไปด้านใน
เดินเข้าสู่ตำหนักหลัก
ขณะเดียวกันตำหนักในเงียบสงัด ในตำหนักใหญ่โตกว้างขวางนี้มีเพียงทั่วป๋าหรงเหยาเพียงผู้เดียว
นางนั่งอยู่บนตั่งสีทองกลางตำหนักเพียงลำพัง ด้วยเหตุที่หลังการคลอดบุตรไม่ได้บำรุงร่างกายให้ดี ซ้ำยังเร่งเดินทางไกลมาตลอดทาง ยามนี้กระโปรงด้านหลังของนางจึงมีรอยเลือดปรากฏออกมา
ตัวนางเองกลับดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอันใด เพียงแต่สีหน้านั้นซีดเผือด แววตาเลื่อนลอยนั่งอยู่ที่นั่น
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามา สายตาของนางตวัดกลับมาครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นฮ่องเต้…
ท่าทางของนางนั้นเหม่อลอยยิ่งนัก
ฮ่องเต้สีหน้าดำทะมึนเดินเข้ามา ยืนไม่ไหวติงห่างจากนางประมาณสามก้าว ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใด ได้แต่ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องมองนาง
เนิ่นนาน บารมีและอำนาจในบุคลิกของฮ่องเต้นั้นยามปกติก็เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไปอยู่แล้ว เวลานี้ฮ่องเต้เจตนาที่จะกดดันอีกฝ่าย ความกดดันเช่นนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะรับได้เสมอไป
แม้กระทั่งทั่วป๋าหรงเหยาที่หัวใจสลายเป็นเถ้าธุลีก็รับไม่ไหวเช่นกัน
ความหงุดหงิดพลันเกิดขึ้นในจิตใจอย่างประหลาด ทั่วป๋าหรงเหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบสายตากับฮ่องเต้ รอยยิ้มอันโศกเศร้าของนางปรากฏบนริมฝีปากของนาง
“หม่อมฉันทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวังแล้ว ไม่ได้ทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่ฝ่าบาททรงกำหนด หม่อมฉันในยามนี้มีโทษหนักใช่หรือไม่เพคะ?” น้ำเสียงของทั่วป๋าหรงเหยาแหบพร่าและอ่อนแอเปราะบางยิ่งนัก เมื่อได้เอ่ยออกไปแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างโศกเศร้า ยิ้มที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
ฮ่องเต้ไม่ตรัสวาจาใดๆ ได้แต่ทอดมองมาอย่างเย็นชา
“หม่อมฉันช่างโง่เขลานัก เชื่อว่าตนเองจะสามารถควบคุมพระองค์ได้?” ทั่วป๋าเหรงเหยาเองไม่ได้สนใจเขา ได้แต่พูดกับตนเองต่อไป “ไม่ต้องกล่าวว่าข้างกายของฝ่าบาทจะมีองครักษ์ยอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่มากมายเพียงใด เพียงแค่ใต้สายตาของหัวหน้าขันทีหลี่ ข้าจะบังคับเอาฝ่าบาทออกจากวังหลวงไปได้อย่างไร? พูดไปแล้ว ตั้งแต่ตนจนจบไม่ใช่พระองค์หรอกหรือที่วางแผนให้เป็นเช่นนี้ด้วยความยากลำบาก ข้าโง่เขลา ข้าโง่เขลาจริงๆ”
—————————