สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 92.2 ยอมเสียแผ่นดิน เพื่อปกป้องภรรยาตนเอง? (2)
เมื่อถึงเวลาฉู่สวินหยางเพียงแต่ใช้วิธีการใดๆ ก็ได้ผลักฮั่วกังออกไป ให้ฮั่วกังและองค์ชายหกมีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกัน ฮั่วกังยากจะรอดจากความผิดครั้งนี้ได้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าฮ้องเต้จะยื่นมาเข้ามา ทำให้แผนการของนางผิดแผน
มีความร่วมมือจากทั่วป๋าหรงเหยา ในช่วงสุดท้ายจึงค่อยส่งองค์ชายหกแห่งหนานฮวาออกไป
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฟิงเหลียนเซิ่งอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นโทรมกาย…
ลองคิดดูว่าหากเวลานั้นฉู่สวินหยางใช้องค์ชายหกเป็นหินลับมีดจริงๆ ทันทีที่องค์ชายหกหนีไป นั่นเท่ากับเป็นการตบหน้าฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้น เขาย่อมต้องกลับมือมาเปล่าเช่นกัน
สาวน้อยผู้นี้ ขอเพียงนางยื่นมือออกมาล้วนเป็นงานใหญ่
เฟิงเหลียนเซิ่งคิดแล้วเคียดแค้นชิงชังเสียจนต้องกัดฟันแน่น พยายามควบคุมตนเอง เส้นเลือดข้างขมับของเขาปูดโปนเต้นตุบๆ ไม่หยุด
“ข้าได้เตือนเจ้าไว้นานแล้ว อย่าได้เข้ามาขัดขวางทางของข้า” ฉู่สวินหยางกล่าว เลื่อนสายตาออกไปอย่างเฉยเมย
คนผู้นี้เป็นผู้จุดชนวนและกระพือไฟในงานเลี้ยงของวังหลวง แม้เขาจะไม่มีความคิดจะสังหารผู้ใด แต่มีเหตุเพียงพอที่จะชิงชังเขา
สำหรับเรื่องนี้แล้วนั้น เฟิงเหลียนเซิ่งรู้ดีว่าตนไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงได้แต่กัดฟันไม่เอ่ยอันใดออกมา
ฉู่สวินหยางรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาค่อยๆ ดีขึ้นหลายส่วน จึงพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ได้ผ่านมาถึงเวลานี้แล้ว เจ้ามาหาข้า แน่นอนว่าคงไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้ เวลาของข้ามีไม่มาก เจ้ามีอะไรจะพูดก็ให้พูดมาในครั้งเดียวเถิด”
เฟิงเหลียนเซิ่งได้ยินแล้วสงบสติอารมณ์ รวบรวมความคิดของตน นั่งขึ้นตัวตรง พูดเสียงเย็น “เรื่องภายในครอบครัวของราชวงศ์ซีเยว่ ข้าไม่อยากถูกลากลงน้ำไปด้วย”
สายตาของคนผู้นี้ช่างเต็มไปด้วยพิษร้าย
ฉู่สวินหยางแอบยิ้มในใจ ทว่าไม่แสดงสีหน้าใดๆ เลิกคิ้วขึ้นมองเขาแล้วถามว่า “ดังนั้นเล่า?”
เวลานี้สายตาของเฟิงเหลียนเซิ่งตกอยู่บนใบหน้าของนาง พิศดูใบหน้างดงามไม่ธรรมดาสามัญของนาง ไม่รู้ว่าความคิดในใจนั้นตาลปัตรไปกี่หน โน้มตัวมาข้างหน้าโดยพลัน ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาว่า “การมาครั้งนี้ของข้าท่านหญิงกระจ่างแจ้งดีอยู่แล้ว ยามนี้มีแต่จะจัดการเรื่องให้สำเร็จโดยเร็ว ฝ่ายข้าจะถอนตัวทันที”
เขามาครั้งนี้ เพื่อเจรจา แต่แท้จริงแล้วมีเพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว…
การแลกเปลี่ยนเมืองทั้งห้าเมืองของเขตฉางสุ่ยกับการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เพื่อชื่อเสียงของหนานฮวาที่ได้คืนมา
และเวลานี้
ฎีกาที่เขาขอพระราชทานสมรสได้ไปถึงมือฮ่องเต้แล้ว ต้องการให้จุดประสงค์การมาของเขาในครั้งนี้สำเร็จ…
มีเพียงรับฉู่สวินหยางกลับราชสำนักโดยเร็วที่สุด
ฉู่สวินหยางได้ยินแล้ว กลับมีท่าทีราวกับได้ฟังเรื่องขำขัน หัวเราะออกมาอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ สายตาเรียบเรื่อยนั้นมองไปที่เขา “เจ้าจะทำอันใด ไม่จำเป็นต้องมาปรึกษากับข้า ไปหาฮ่องเต้ก็พอ”
คนผู้นี้ กลับเอานางไปคิดบัญชีเสียแล้ว
ฉู่สวินหยางในใจไม่เป็นสุขนัก นางจึงถอยออกมาหนึ่งก้าว กำลังจะร้องบอกให้หยุด…
ได้ยินน้ำเสียงดังขึ้นจากด้านนอก “หลีกไปให้หมด ข้าและเสด็จพี่มีเรื่องต้องคุยกัน”
เสียงนี้ ฉู่สวินหยางย่อมจำได้อย่างชัดเจน คือ องค์ชายหกแห่งหนานฮวา เฟิงซวี่
สายตาของเฟิงเหลียนเซิ่งทอประกายวาบ ในที่สุดปรากฏแววของหมอกควันพาดผ่าน มีความลำพองใจอยู่หลายส่วน
ริมฝีปากของฉู่สวินหยางโค้งขึ้นเป็นเส้นตรงอย่างเย็นชา พูดทีละคำว่า “อย่างไร? เจ้าจะหลอกใช้ข้า?”
เฟิงเหลียนเซิ่งเลิกคิ้ว กลับหัวเราะไม่พูดไม่จา ยกมือขึ้นดีดเสื้อผ้าอาภรณ์บนหัวไหล่ของนาง
ตั่งบนรถม้าคันนี้ไม่ถือว่าเล็ก คนทั้งสองนั่งอยู่บนตั่งคนละด้าน ที่จริงพื้นที่ว่างระหว่างคนทั้งสองไม่นับว่าใกล้มาก แต่เมื่อเขาเจตนาโน้มกายลงมาเช่นนี้ ซ้ำยังทำทีเหมือนคู่รัก เป็นเงาสะท้อนอยู่บนผืนผ้า
เฟิงเหลียนเซิ่งไม่พูดจา นั่นคือการยอมรับโดยดุษฎี
นาทีถัดมา เขาเอนกายไปด้านหลัง กลับไปเอกเขนกอยู่บนหมอนใบนุ่มที่อยู่ข้างหลัง ทำท่าทางราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส
ฉู่สวินหยางไม่ได้โกรธขึ้งอันใด เพียงแต่ใช้สายตาเย็นชามองเขา
การกระทำเหล่านี้ไปๆ มาๆ ใช้เวลาไม่มาก หลี่เหวยที่อยู่ด้านนอกได้เปิดผ้าม่านขึ้นช้าๆ อย่างให้ความเคารพ รายงานว่า “ฝ่าบาท องค์ชายหกขอพบพะยะค่ะ”
ผ้าม่านเปิดขึ้น ปรากฏชายหนุ่มและหญิงสาวที่หันหน้าเข้าหากันอยู่ด้านใน
แววตาขององค์ชายหก เฟิงซวี่พลันเต็มไปด้วยความโมโหโกรธา ทำทีจะโผนเข้าไปข้างหน้า พร้อมกับคำรามเสียงลั่นว่า “ฉู่สวินหยาง เจ้ายังกล้ามาปรากฏตัวที่นี่”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นคือเมื่อสองวันก่อน ร่องรอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าของเขาที่ถูกฉู่สวินหยางกำราบยังไม่ทันที่จะจางลง ผนวกกับสุดท้ายที่คนแซ่ฟางลงมืออย่างไร้เมตตา เวลานี้ลำคอด้านหลังยังคล้ายกับจะหักได้อย่างไรอย่างนั้น มันเจ็บปวดเตือนอยู่ตลอดเวลา
นาทีนี้ ระหว่างองค์ชายหกและฉู่สวินหยางคงได้แต่ใช้คำว่า ‘คู่แค้นพบหน้า’ มาบรรยายก็คงไม่เกินไปนัก
เมื่อเห็นเขาทำท่าจะแยกเขี้ยวกางเล็บพุ่งเข้ามา
สายตาเข้มงวดของเฟิงเหลียนเซิ่งที่สาดออกไป
ไม่ได้รั้งรอให้เจี๋ยหงและคนอื่นๆ ลงมือ แขนของหลี่เหวยยื่นเข้าขวางเขาเอาไว้ก่อนแล้ว
องค์ชายหกถูกขวางทาง เขาตกตะลึงในชั่วขณะ
เฟิงเหลียนเซิ่งเอนกายอยู่บนรถม้า ทั้งๆ ที่มีท่าทางอ่อนแอจากการได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าสีหน้ากลับดำทะมึน กริยาท่าทางโอหัง พูดเสียงเย็นว่า “น้องหก ระวังฐานะของเจ้า พูดจาระวังสักหน่อย”
สายตาขององค์ชายหกราวกับมีเปลวไฟแผดเผามองไปยังคนทั้งคู่ ไหนเลยจะตักเตือนได้เวลา จึงกล่าวออกไปว่า “ท่านพี่เวียนศีรษะแล้วใช่หรือไม่? เป็นองค์ชายของแคว้นอยู่ดีๆ กลับมาทำตามอำเภอใจกลางถนน? ท่านต้องการเอาหน้าของราชสำนักหนานฮวามาทิ้งที่นี่จึงจะยอมรามือใช่หรือไม่ ยังมีผู้ที่นั่งอยู่ข้างข้านั้นเป็นถึงท่านหญิงสวินหยาง ต่อให้ท่านไร้ซึ่งมารยาท หากพูดจาล่วงเกิน ก็อย่าโทษข้าที่เป็นน้องชายไม่เกรงใจท่าน”
คำพูดขององค์ชายหกนี้ อารมณ์บนใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครา เขาประเมินเฟิงเหลียนเซิ่งด้วยสีหน้าประหลาดนัก
แม้ว่าระหว่างพวกเขาพี่น้องทั้งนั้นต่างคนต่างมีแผนการของตน แต่ยามนี้ทั้งคู่ต่างอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นซีเยว่ ที่จริงแล้วเป็นเวลาที่พวกเขาต้องร่วมมือกันต้านศัตรูคนเดียวกัน
เวลานี้เฟิงเหลียนเซิ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยังออกมาพบฉู่สวินหยางในยามดึก ยิ่งไปกว่านั้นคือยอมเสียสละชื่อเสียง…
พี่สามของตนผู้นี้แม้บางครั้งจะเพื่อผลประโยชน์ของตนแล้วจะขัดแย้งกันบ้าง แต่ไม่ใช่ไร้ความคิดเสียทีเดียว
ความคิดขององค์ชายหกวิ่งอย่างรวดเร็ว สายตากวาดไปที่คนทั้งสอง ภายในใจนั้นหดหู่ลง เกิดเป็นความรู้สึกถึงอันตรายที่น่ากลัว…
เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ได้ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แต่นี่เขาไม่เสียดายตัวเองที่จะดึงฉู่สวินหยางมาเป็นคนของตน
ทันทีที่เขาแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับวังบูรพาของซีเยว่สำเร็จ เขาย่อมได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์ซีเยว่ เช่นนั้นตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขาย่อมมั่นคงยิ่งขึ้น
ในใจขององค์ชายหกนั้นราวกับท้องทะเลยามมีคลื่นลมพายุ ความโกรธขึ้งบนใบหน้ายิ่งชัดเจนขึ้น เขาหัวเราะเย้ยหยันและกล่าวว่า “อย่างไรเล่า เสด็จพี่นี่ท่านจะทำให้แผ่นดินล่มสลาย ถูกแม่นางผู้นี้ปั่นหัวเสียจนหัวหมุนแล้วหรือไร? ท่านไม่รังเกียจเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าเรื่องใดย่อมประนีประนอมกันได้ เช่นนั้นก็ต้องให้ผู้อื่นมีไมตรีตอบจึงจะได้ อย่าให้กลายเป็นว่าตนเองพยายามอย่างหนักและไม่เสียดายตัว สุดท้ายได้กลับมาเพียงตะกร้าไม้ไผ่ที่นำมาตักน้ำ จะได้ไม่คุ้มเสีย”
——————————-