สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 92.3 ยอมเสียแผ่นดิน เพื่อปกป้องภรรยาตนเอง? (3)
เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ได้เห็นความดีอะไรในตัวของฉู่สวินหยางผู้ซึ่งเป็นหญิงสาวร้ายกาจ แต่ที่เขามองเห็นคือฐานะและและตัวของนางที่ช่างมีความยั่วยวนนัก
อย่าว่าแต่เฟิงเหลียนเซิ่ง แม้แต่ตัวองค์ชายหกเอง…
หากเวลานี้มีคนยื่นข้อเสนอที่ช่างยั่วยวนให้เขาเช่นนี้ละก็…
ให้เขาแต่งฉู่สวินหยางเป็นภรรยาอย่างไม่รังเกียจอดีตของนาง เขาย่อมกัดฟันรับปากเช่นกัน
เป็นเพียงความแค้นส่วนตัวเล็กน้อย ต่อให้ต้องกล้ำกลืนความแค้นนี้เพียงใด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรทั้งแผ่นดินแล้วนั้น เช่นนี้ช่างเป็นเรื่องเล็กที่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้นเวลานี้ สิ่งที่เขาเกรงกลัวที่สุดก็คือเฟิงเหลียนเซิ่งจะทำสำเร็จ
“เรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าของวาดไม้วาดมือ” เฟิงเหลียนเซิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น น้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดรอให้กลับไปก่อนแล้วค่อยพูดกัน ยามนี้ข้าต้องส่งท่านหญิงกลับจวนก่อน”
“ท่าน…” องค์ชายหกโมโหยิ่งนัก ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง
ฉู่สวินหยางได้แต่มองสองพี่น้องทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน ถึงเวลานี้ความอดทนได้สิ้นสุดลงแล้ว
นางปัดกระโปรงแล้วลุกขึ้นยืน เดินลงจากรถม้าลงไป
เจี๋ยหงและเฉี่ยนลวี่รีบเข้ามา ประคองมือซ้ายและมือขวาของนาง
แม้เฟิงเหลียนเซิ่งจะไม่ได้ยับยั้งขัดขวาง ทว่าสายตาของเขากลับจ้องมองไปที่แผ่นหลังของนางไม่คลาดสายตา
เมื่อเห็นฉู่สวินหยางลงจากรถม้า ความโกรธขึ้งในใจขององค์ชายหกยากจะควบคุมเอาไว้ได้ เขาทำทีจะควบม้าเข้าไป ทว่าถูกหลี่เหวยขวางเอาไว้
“ท่านหญิงกลับไปคนเดียว ระหว่างทางระวังให้มาก” สุดท้าย เฟิงเหลียนเซิ่งจึงเอ่ยปากกับแผ่นหลังของฉู่สวินหยาง น้ำเสียงราบเรียบมีความห่วงใยอยู่หลายส่วน
ริมฝีปากของฉู่สวินหยางกระตุกเล็กน้อย หันกลับไป ยกยิ้มมุมปากเย็นชาให้กับเขา จากนั้นแม้กระทั่งเสียงรับคำแม้แต่คำเดียวก็ไม่มี ตรงไปหันกายขึ้นรถม้าจวนของตน
องค์ชายหกมองดูฉู่สวินหยางจากไปตาปริบๆ ในใจนั้นยิ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง และไม่ยินยอม
“เจ้าไม่ได้มาหาข้าหรอกหรือไร? เวลานี้ข้าว่างแล้ว มีอะไรกลับไปพูดกันเถิด” เฟิงเหลียนเซิ่งเอ่ยปากขึ้นอย่างแล้งน้ำใจ
“ท่านพี่ ท่านอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ท่านคิดจะหยิบยืมกำลังทหารจากซีเยว่ แม้ว่าจะเป็นแผนการที่ดี แต่ท่านหูตากว้างไกล หรือไม่เคยได้ยินเรื่องที่เขาลือกัน? อย่างอื่นไม่ต้องพูด เกรงว่าจะถูกลาภยศครอบงำเสียจนหน้ามืดตามัว สุดท้ายแต่งภรรยาให้ตนเองกลายเป็นสวมหมวกเขียวกลับไป เวลานี้ท่านเสียหน้าคนเดียวยังเป็นเรื่องเล็ก แต่หากทำให้เรื่องถึงเสด็จพ่อเสด็จพ่อเสื่อมเสียไปด้วย เกรงว่าท่านจะได้ไม่คุ้มเสีย” องค์ชายหกกล่าว น้ำเสียงเยาะหยัน มีท่าทีราวกับกำลังชักศึกเข้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น พูดเสร็จก็ร้อง ฮึ เสียงเย็นครั้งหนึ่ง หันกายโบกมือให้กับรถม้าของตนและองครักษ์จากไป
สายตาของเฟิงเหลียนเซิ่งมองส่งเงาร่างของเขา สีหน้าและอารมณ์บนใบหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย จนกระทั่งเขาเดินจากไปไกล จึงโบกมือให้หลี่เหวยปล่อยผ้าม่านลงมา นำพาคนและรถมุ่งไปข้างหน้า
คนแต่ละกลุ่มค่อยๆ จากไป ถนนที่เมื่อสักครู่ที่ติดขัด ชั่วพริบตากลับโล่งตลอดเส้น
สายลมยามค่ำคืนพัดใบกู่พลิกม้วนเข้ามา นำมาซึ่งไอดินที่ลอยอยู่ในอากาศ
ปากตรอกเยื้องๆ ตรงข้ามไม่ไกลออกไปนัก มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดมาราวกับเปลวไฟร้อนระอุ
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทเหลียนเซิ่งกำลังจะลงมือแล้วพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้ในเสื้อผ้าสีเทามีสีหน้าวิตกกังวล มองไปยังถนนเบื้องหน้าที่มีเพียงความว่างเปล่า “ท่านคิดว่าจะต้องทำเช่นไรพ่ะยะค่ะ?”
“ทำเช่นไร?” น้ำเสียงของเฟิงอี้เรียบเรื่อยอย่างยิ่ง ในน้ำเสียงนั้นยังมีรอยยิ้มหลายส่วน หลุบตาลงมองหยกพกข้างเอวที่กำลังเล่นอยู่ในมือ ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไรทั้งหมดนี้ล้วนต้องฟังความคิดของจวินอวี้เองแล้ว ต่อให้ผู้อื่นใส่ใจเพียงใด ก็เป็นเพียงการกังวลอย่างไร้ประโยชน์”
“แต่เป้าหมายของเขาคือท่านหญิงสวินหยาง ทางด้านคุณชายสกุลหรง…” บ่าวรับใช้เสื้อเทากลับกังวลยิ่งนัก
ไม่ว่าผู้ใดล้วนดูออกว่า จิตใจของเหยียนหลิงจวินนั้นล้วนอยู่ที่ท่านหญิงสวินหยาง
เฟิงเหลียนเซิ่งรักษาโรคได้ถูกอาการ ย่อมทำให้เขากระวนกระวายใจ ไม่ว่าผู้ใดต่างคาดเดาไม่ออกว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ยังเร็วไป ดูไปก่อนเถิด” เฟิงอี้กลับไร้ซึ่งความกังวลใดๆ พูดเพียงประโยคเดียวแล้วหันกลายเดินเข้าไปในตรอกลึกเข้าไป
ฉู่สวินหยางนั่งอยู่บนรถม้าเพื่อกลับจวน มองวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างใจลอย
เจี๋ยหงรินน้ำชาถ้วยหนึ่งยื่นให้นาง คิดถึงเรื่องเมื่อสักครู่แล้วเต็มไปด้วยความกังวลใจ พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านหญิง องค์รัชทายาทหนานฮวาผู้นี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? เขาทำเช่นนี้คือคิดไม่ดี ท่าน…”
หากเฟิงเหลียนเซิ่งตรงไปหาฮ่องเต้เพื่อขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรส หรือข้างนอกมีข่าวลืออันใดออกไปถึงหูของเหยียนหลิงจวิน ผลลัพธ์ของทั้งสองอย่างนี้ย่อมไม่ดีแน่
“สติปัญญาของเขาไม่ได้เสียสักหน่อย ย่อมไม่ทำเรื่องโง่เขลาเป็นแน่ เจ้าจะไปกังวลใจแทนเขาเพื่ออันใด?” ฉู่สวินหยางรับน้ำชาไปจิบคำเล็กๆ คำหนึ่ง กลับทำทีเหมือนไม่ได้สั่งใจเรื่องเมื่อสักครู่
เฟิงเหลียนเซิ่งมีแผนการอะไรนั้นนางกระจ่างแจ้งดี แม้ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นคิดบัญชีวางแผน ถูกผู้อื่นเอาตนไปเป็นหินรองเท้านั้นไม่ดีนัก แต่ยามนี้นางไม่มีอารมณ์ที่จะไปคิดอันใดกับคนผู้นั้น
ความสนใจของนางในเวลานี้อยู่ที่อื่น
สาวใช้ทั้งหลายกลับไม่เข้าใจนัก จึงได้แต่มองกันไปมองกันมา ไม่รู้ว่าจะพูดอันใดเช่นกัน
ฉู่สวินหยางจ้องมองไปนอกหน้าต่างเนิ่นนอน สุดท้ายกลับถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “หลายวันมานี้ ฉู่ฉีเหยียนทำอันใดบ้าง?”
เจี๋ยหงตะลึงไปอึดใจหนึ่ง จึงตอบว่า “ฉู่หลิงอวิ้นมอดม้วย จวนอ๋องหนานเหอในหลายวันนี้ได้ปิดจวนเพื่อจัดงานศพเพะคะ”
ฉู่หลิงอวิ้นถูกฮ่องเต้ปลดพระยศนานแล้ว และครั้งนี้นางเกิดเรื่องเพราะมีเรื่องราวซับซ้อนปิดบังอยู่มากมาย เรื่องงานศพของนาง จวนอ๋องหนานเหอย่อมไม่จัดอย่างใหญ่โต ฝังศพเป็นพิธีก็พอแล้ว
ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่ได้ตอบรับอันใดเนิ่นนาน
“ท่านหญิงเจ้าคะ? มีอะไรหรือเจ้าคะ?” เจี๋ยหงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าฉู่ฉีเหยียนไม่ปล่อยให้เรื่องแล้วกันไปเพียงเท่านี้” ฉู่สวินหยางตอบ เมื่อหันกลับมามองไปที่พระจันทร์ที่แขวนอยู่ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ใกล้จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว
เจี๋ยหงเห็นนางมีท่าทีและสีหน้าเคร่งขรึม ในใจจึงได้แต่คิดตามและตระหนักขึ้นมา พูดอย่างลำบากใจว่า “หลายวันมานี้ซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหอดูเหมือนไม่ก้าวเท้าออกจากจวนเลยเพคะ แต่คนของเข้าที่มีอยู่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน ร่องรอยคนของเขานั้นไม่อาจควบคุมติดตามได้ทั้งหมดเพคะ”
“ช่างเถิด” ฉู่สวินหยางรู้ดีว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องยาก จึงได้แต่ยกมือขึ้น “กลับจวนก่อนเถิด”
ฉู่ฉีเหยียน ฉู่ฉีเหยียน
ผู้ใดก็สามารถไม่สนใจชั่วครู่ชั่วยามได้ แต่มีเพียงคนผู้นี้ผู้เดียวที่ไม่ป้องกันไม่ได้
ยามนี้เขากำลังทำสิ่งใด? และกำลังวางแผนอันใด?
เสียสละฉู่หลิงอวิ้น นี่เป็นสัญญาณที่เขาส่งมาอย่างหนึ่ง ประกาศว่าเขาได้เริ่มต้นเดินตามแผนการของตนเพื่อทำการใหญ่แล้ว
เช่นฉู่หลิงอวิ้นที่ต่อไปเป็นเพียงหมากที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อันใดได้อีก ทิ้งไปแต่เนิ่นๆ อย่างน้อยวันหน้ายังลดภาระและปัญหาได้อีก
—————————–