สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 94.1 พากันสูญหาย แย่งชิงหญิงงาม (1)
นางจงใจเน้นคำว่า ‘คนนอก’ ต่อหน้าผู้คนออกมาอย่างชัดเจน
เดิมทีเฟิงเหลียนเซิ่งก็รับบทเป็นคนป่วยที่ยังไม่หายดีอยู่แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็เผยใบหน้าซีดขาวโดยไม่รู้ตัว กระแอมกล่าว “ข้าแค่ไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจท่านหญิงผิด กลับกลายเป็นยุ่มย่ามเกินไปเสียแล้ว!”
ไม่กี่วันมานี้ งานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองถูกผู้คนพูดถึงไม่น้อย นับเป็นประเด็นที่ถกเถียงในสังคมอย่างเร่าร้อน
ยามนี้ ทุกคนแทบที่จะหลงลืมคดีที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขา ทว่ากลับประกายตาใสแจ๋วมองทั้งสองคนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนแทนเสียอย่างนั้น
ฉู่สวินหยางก็คร้านที่จะประชันฝีปากกับเฟิงเหลียนเซิ่งแล้ว จึงเบนสายตาไปกล่าวกับเต๋อเฟยแทน “หม่อมฉันได้ยินว่าแม่นางฮั่วพลัดตกน้ำ? แล้วอย่างไรต่อ? เวลานี้มีคนคิดใส่ร้าย ต้องการสาดน้ำโคลนมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”
นางพูดคำว่า ‘ใส่ร้าย’ ออกมาอย่างตรงๆ ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
เจิ้งเยียนพบเจอกับสายตาเย็นยะเยือกของนางที่มองมา ใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล จึงกัดริมฝีปากก้มหน้าหลบลงไป
“ท่านหญิงเข้าใจผิดแล้ว” เต๋อเฟยรีบกล่าวทั้งเผยยิ้มออกมา “แม่นางฮั่วตกน้ำ ฮูหยินฮั่วเสียใจเป็นอย่างมาก จึงได้สอบถามว่านางไปที่ใดมาบ้าง คุณหนูเจิ้งเพียงเอ่ยออกไปอย่างนั้น กล่าวว่าคล้ายกับจะเห็นแม่นางฮั่วกับท่านหญิงที่สวนดอกไม้เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายใดอื่นแฝงหรอก”
ฉู่สวินหยางคล้ายกับจะไว้หน้าเต๋อเฟยอยู่บ้าง จึงกระตุกยิ้มขึ้น กล่าวกับเจิ้งเยียน “อย่างนั้นรึ?”
ใจของเจิ้งเยียนเต้นตุบๆ มั่วไปหมด แม้แต่จะสบตานางก็ยังไม่กล้า จึงสะอึกออกมาเพียงหนึ่งคำเท่านั้น “คือ…”
คล้อยหลังก็พยายามฝืนรวบรวมสติกล่าวออกไป “ตอนที่ข้าพบแม่นางฮั่ว เพียงแค่เห็นว่าดวงตานางแดงก่ำคล้ายกับคนที่รู้สึกเสียใจมากก็เท่านั้น”
คำพูดของเจิ้งเยียนมีน้ำหนักแค่ไหน ฉู่สวินหยางนั้นรู้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างนางและฮั่วกังก็มีเหตุบาดหมางกัน แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจรู้ดีในเรื่องนี้
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เดิมทีเจิ้งเยียนก็ไม่น่าจะรู้เรื่องที่สกุลฮั่วและนางขัดแย้งกัน อีกทั้งยังดึงฮั่วชิงเอ๋อร์มาลงมือ
ดังนั้นแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า…
นางก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกผู้อื่นจัดวางเท่านั้น
ฉู่สวินหยางเผยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้มมองนาง ย้อนถามอย่างไม่รีบร้อน “แม่ทัพฮั่วเพิ่งจะจากไป แม่นางฮั่วจะตาแดงแล้วมันแปลกอย่างไร? หรือควรจะให้นางปรบมือด้วยความดีใจเล่า?”
เจิ้งเยียนพูดไม่ออก ริมฝีปากนั้นกระตุกเบาๆ เพราะคำพูดถูกหยุดไว้ในลำคอ
ฉู่สวินหยางกลับไม่สนใจนางอีก หันไปทางฮูหยินฮั่วก่อนกล่าว “หรือฮูหยินฮั่วก็คิดเหมือนกันว่า ข้าเป็นคนทำให้แม่นางฮั่วเป็นเช่นนี้?”
ฮูหยินฮั่วมีเหตุผลชัดเจนที่ควรจะสงสัยนาง!
เพียงแค่สงสัยกลับไม่กล้าพูดออกมา
ฮูหยินฮั่วพยายามปกปิดแววตาที่แฝงไปด้วยความแค้นเคือง แสร้งทำเป็นยกผ้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาอย่างไร้เรี่ยวแรง กล่าวครวญคราง “ฮั่วเอ๋อร์ของแม่ ช่างน่าสงสาร!”
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากจะแก้แค้นแทนลูกสาว แต่เดิมทีก็ไม่มีความกล้าที่จะยั่วยุให้เต๋อเฟยไปสืบความอยู่แล้ว หากว่าเรื่องนี้ไปถึงฮ่องเต้ขึ้นมา…
ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นความตั้งใจเดิมของฉู่สวินหยางที่วางแผนกับลูกสาวของนาง เพื่อที่จะถอนรากถอนโคน
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่นี่ก็คงไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว?” ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ฉู่สวินหยางก็เบนสายตาจากไปมองทางเต๋อเฟย
เต๋อเฟยกำลังจะกล่าวอะไรสักอย่าง ขันทีที่ไปหยิบเครื่องมือมาก่อนหน้านี้ก็ได้ย้อนกลับมาอย่างรีบร้อน ด้านหลังยังมีขันทีผู้น้อยไม่กี่คนตามมา ถือเอาลำไม้ไผ่สองก้านที่ยาวเป็นพิเศษมาด้วย
“รีบไปช้อนตัวคนขึ้นมา!” เต๋อเฟยละความสนใจจากฉู่สวินหยาง รีบเดินไปออกคำสั่งตรงริมน้ำ
ขันทีผู้นั้นก็นับว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ชี้องครักษ์ไม่กี่คนนั้นให้ใช้ไม้ไผ่ที่มีบ่วงเชือกดึงศพที่ลอยอยู่กลางใบบัวเข้ามา ก่อนจะลากมาหยุดที่ริมฝั่ง
“ฮั่วเอ๋อร์…” ฮูหยินฮั่วถลาเข้าไปเป็นคนแรก
นางคุกเข่าลงกับพื้น เดิมเตรียมที่จะดึงคนมาไว้ในอ้อมกอด แต่ยกมือขึ้นแค่ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็ชะงักอยู่อย่างนั้น แม้แต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญที่เตรียมจะเปล่งออกมาก็หยุดอย่างกะทันหันเช่นกัน
“นี่…นี่…” นิ้วมือของนางสั่นเทา ชี้ไปทางใบหน้าที่คว่ำลงของร่างหญิงสาวที่เพิ่งถูกทหารลากขึ้นมาจากน้ำ ลังเลสักพักก่อนจะเดินเข้าไปหาด้านหน้าอีกครั้ง ใช้มือที่สั่นระริกเปิดผมยุ่งเหยิงที่ปกคลุมบนหน้าหญิงสาวนั้นออก
แม้ศีรษะของคนผู้นี้จะสวมปิ่นทัมทิมนั้นของฮั่วชิงเอ๋อร์ ทั้งยังสวมชุดคลุมสีเรียบเอาไว้ แต่เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็สามารถแยกได้อย่างชัดเจน…
ชุดนั้นของนางไม่ใช่ตัวเดียวกับที่ฮั่วชิงเอ๋อร๋สวมเข้าไปในวัง
ยามนี้ใบหน้าที่ขาวซีดของหญิงสาวถูกเปิดเผยภายใต้แสงจันทร์ กลับ…
เห็นได้ชัดว่าเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของใครคนหนึ่ง
“นี่…ไม่ใช่แม่นางฮั่วนี่!” ฮูหยินขงก้าวไปด้านหน้าอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
เจิ้งเยียนเดิมทีก็พยายามจะไม่เบนสายตาไปมองใบหน้าคนตาย แต่ยามนี้เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึง รีบก้าวเท้าเข้าไปดู กลับพบว่า…
นี่ไม่ใช่ฮั่วชิงเอ๋อร์จริงๆ!
“คนผู้นี้เป็นใคร?” นางแทบจะแผดเสียง กล่าวด้วยเสียงดัง เมื่อหลุดปากออกมา ก็รู้สึกว่าตนเองแสดงอาการเกินงามไป ใบหน้าจึงซีดเผือด รีบถอยไปด้านหลังอย่างลนลาน
ฉู่สวินหยางเผยสีหน้าราบเรียบ เพียงแค่มองดูอยู่ด้านข้างราวกับเรื่องไม่เกี่ยวกับตน
เฟิงเหลียนเซิ่งกลับคว้าผ้ามาปิดจมูกไว้อย่างรังเกียจ ก่อนจะบิดกายมองไปยังทิวทัศน์ธรรมชาติรอบๆ แทน
เต๋อเฟยเมื่อมองเห็นใบหน้าหญิงสาวผู้นั้นได้ชัดเจนแล้ว ก็ถอนหายใจราวกับสามารถปลดภาระหนักออกไปได้ ก่อนจะเผยใบหน้าที่มีโทสะตามมา ประกายสายตากวาดมองไปรอบๆ ทันที “นี่เป็นบ่าวหญิงที่ติดตามสกุลใดมากัน?”
หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้สวมชุดของข้าราชบริพารในวัง ทั้งยังไม่ได้แต่งกายด้วยชุดราชสำนัก นี่นับเป็นเรื่องที่ยากจะพบในวังได้อย่างยิ่ง
ฝูงชนมองตากันอยู่อย่างนั้นสักพัก ก็มีนางกำนัลผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงต่ำอย่างสั่นๆ ออกมา “บ่าวคล้ายกับเคยพบนางมาก่อนเพคะ เหมือนว่า…จะชื่อชิงหลี เป็นนางละครของคณะหงสี่ที่ถูกเชิญมาเล่นในวังวันนี้เพคะ”
เต๋อเฟยใบหน้าดำคล้ำ ชั่วพริบตานั้นในหัวก็ขบคิดไปต่างๆ นาๆ ทว่านางยังคงสงวนทีท่าเคร่งขรึมไว้อยู่ หันไปกล่าวกับแม่นมคนสนิท “คณะหงสี่นั่นเดินทางออกไปจากวังแล้วรึ?”
“เมื่อต้นครึ่งชั่วยามได้สั่งให้พวกเขาจัดเก็บของแล้วเพคะ” แม่นมคนนั้นกล่าว “พระชายาโปรดคอยสักครู่ บ่าวจะลองตามไปดูเพคะ!”
พูดจบก็แหวกกลุ่มฝูงชนออกไปด้วยความรวดเร็ว
เมื่อผู้ที่ตายไม่ใช่ฮั่วชิงเอ๋อร์ ทุกคนต่างก็ถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฮูหยินหลัวกั๋วกงเผยสีหน้าเป็นกังวลมองไปที่ฮูหยินฮั่ว ก่อนจะเดินเข้าไปหาด้านหน้า “ในเมื่อคนที่พลัดตกน้ำไม่ใช่แม่นางฮั่ว เช่นนั้นแล้ว แม่นางฮั่วไปอยู่ที่ใดกันเล่า?”
ใช่แล้ว ในเมื่อผู้ที่ตายไม่ใช่ฮั่วชิงเอ๋อร์ แล้วฮั่วชิงเอ๋อร์หายไปไหนล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้นนางละครผู้นี้ยังสวมปิ่นปักผมของฮั่วชิงเอ๋อร์
ฮูหยินฮั่วเพิ่งจะรู้สึกสบายใจ เวลานี้ในใจก็พลันหดเกร็งขึ้นมา
“นี่…” ใจนางสั่นสะท้าน ก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างรีบเร่ง ทั้งกวาดสายตามองไปรอบๆ
และในเวลานี้ แม่นมจางที่อยู่ข้างกายของฮูหยินหลัวกั๋วกงจู่ๆ ก็เหลือบสายตามองไปรอบทิศอย่างลนลาน ชั่วขณะนั้นหน้าก็เปลี่ยนสี กล่าวอย่างตกใจ “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ล่ะเจ้าคะ? บ่าวเหมือนว่าจะไม่เจอคุณหนูใหญ่มาสักพักแล้ว”
ฮูหยินหลัวกั๋วกงได้ยินเช่นนั้น ก็ตื่นตกใจตามไปด้วย
หลัวซืออวี่ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นลูกที่ไม่เคยทำให้นางได้กังวลใจเลย แม้ว่าจะเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยง แต่ลูกสาวไม่อยู่ข้างกายนาง ก็ไม่มีอันใดที่ต้องกังวล เพราะรู้ดีว่าหลัวซืออวี่ไม่อาจสร้างเรื่องอะไรแน่
ยามนี้ถูกแม่นมจางทักขึ้นมา นางจึงค่อยคิดขึ้นมาได้ว่า…
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นที่นี่ นางก็ยังไม่เห็นหน้าหลัวซืออวี่เลย
ใบหน้าของฮูหยินหลัวกั๋วกงขาวซีด ฝีเท้าก็เริ่มสะเปะสะปะ ตอนที่กำลังสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม่นมข้างกายเต๋อเฟยก็ได้ย้อนกลับมาแล้ว
คนที่มาพร้อมกับนาง นอกจากหัวหน้าคณะหงสี่ที่มีเหงื่อผุดเต็มศีรษะแล้ว ก็ยังมีฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ในชุดคลุมสง่างามอย่างไร้ที่ติ
“บ่าวถวายพระพรเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ ขอคารวะทุกท่านด้วยขอรับ!” หัวหน้าคณะหงสี่นั้นถลาเข้ามา ก็คุกเข่าลงไปกับพื้น ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ฉู่ฉีเฟิงที่ตามเข้ามาด้านหลังลอบส่งสายตาเป็นนัยกับฉู่สวินหยาง ก่อนจะประสานมือคารวะกับเต๋อเฟย “ที่นี่ไม่มีเรื่องใหญ่อันใดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ยามนี้ก็ถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ฝ่าบาทได้คอยอยู่ที่นั่นสักพักแล้วนะพ่ะยะค่ะ”