สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 94.2 พากันสูญหาย แย่งชิงหญิงงาม (2)
“คือว่า…” เต๋อเฟยไม่รู้จะพูดอย่างไรดีว่าเหตุการณ์ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงลังเลด้วยสีหน้าลำบากใจไปชั่วครู่
ฉู่สวินหยางกลับดูเด็ดเดี่ยวกว่ามาก ก้าวเท้ายาวเข้าไปหยุดอยู่ข้างๆ ของฉู่ฉีเฟิงทันที ก่อนจะเหลือบสายตามองไปยังหัวหน้าคณะหงสี่ “เจ้าไปดูหน่อยเถิด คนที่ตายทางนั้นอาจจะเป็นคนในคณะหงสี่ของเจ้าก็เป็นได้”
“ขอรับ!” หัวหน้าผู้นั้นตอบกลับอย่างรีบร้อน หยัดกายขึ้นมา เมื่อได้เข้าไปดูหญิงสาวที่หน้าขาวซีดผู้นั้น ทั่วทั้งร่างก็ชื้นเหงื่อขึ้นมา รีบคุกเข่าลงกับพื้นตอบกลับไป “ใช่แล้วขอรับ! คนผู้นี้คือชิงหลี ตัวนางฮวาต้าน[1] ของคณะเราที่กำลังโด่งดังช่วงนี้ขอรับ”
ตัวนางฮวาต้านนั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีไม่น้อย ทั้งยังมีความสามารถในการใช้เสน่ห์ยั่วยวน รู้จักปรนนิบัติเอาอกเอาใจแขก ไม่ต่างอะไรจากบ่อเงินบ่อทองของคณะละคร
แต่คนกลับไม่อยู่เสียแล้ว หัวหน้าคณะละครนั้นปวดใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนชั้นสูงมากมายขนาดนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้เพียงถอดถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยกล่าวออกไป “คนอื่นๆ ในคณะล้วนแต่เก็บของออกไปจากวังหมดแล้ว แต่เพราะบ่าวหาตัวชิงหลีไม่พบ จึงได้รั้งตัวอยู่ที่นี่ นาง…เหตุใดนางถึง…”
ก็แค่เข้ามาเล่นละครรอบหนึ่งในวังเท่านั้น จู่ๆ เหตุใดก็มาพลัดตกน้ำตายเช่นนี้ได้เล่า?
แม้หัวหน้าคณะละครจะมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
“แล้วเหตุใดนางจึงสวมปิ่นของฮั่วชิงเอ๋อร์ได้เล่า?” ฮูหยินฮั่วกล่าวพึมพำ ยิ่งคิดใจก็ยิ่งไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ที่นี่กลับมาชะงักอีกครั้ง ฉู่ฉีเหยียนก็ถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวกับเต๋อเฟย “เต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ งานเลี้ยงด้านนั้นฝ่าบาทยังคอยอยู่ เรื่องการหายตัวไปของแม่นางฮั่วและคุณหนูใหญ่ ออกคำสั่งให้คนไปเสาะหาก็น่าจะใช้ได้แล้ว อย่างไรก็ควรแยกย้ายกันก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม!” เต๋อเฟยพยักหน้า เวลานี้จึงฝืนรวบรวมสติที่ฟุ้งซ่านกลับคืนมา กล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องที่นี่เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเข้าร่วมงานก่อนเถิด”
“เพคะ! พระชายา!” ในเมื่อผู้ที่ตายเป็นเพียงนางละครคนหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใด ทุกคนก็ไม่สนใจอะไรมากอีก พูดคุยกันเล็กน้อยก็ค่อยๆ หมุนกายเดินออกไปทางอุทยานหลวง
ฉู่สวินหยางที่อยู่ในฝูงชนกลับยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทอดสายตามองทุกคนที่เดินจากไป
ฉู่ฉีเฟิงหมุนกายหันไปออกคำสั่งให้เจี่ยงลิ่วนำคนออกตามหาหลัวซืออวี่และฮั่วชิงเอ๋อร์
ที่นี่ยังมีเต๋อเฟย ฉู่สวินหยาง ฉู่ฉีเหยียน รวมถึงฮูหยินหลัวกั๋วกงและฮูหยินฮั่วที่ยังคงกังวลใจไม่ยอมไปไหน
ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ ผู้ที่แสดงท่าทีขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัด กลับเป็นเฟิงเหลียนเซิ่งที่ดึงดันจะยืนอยู่ที่นี่ต่อ จึงดูไม่เข้าพวกอย่างสิ้นเชิง
ฉู่ฉีเหยียนดึงสายตากลับมาเล็กน้อย มองไปทางเขา “องค์รัชทายาทไม่เสด็จไปก่อนหรอกหรือ?”
“เอ่อ…” เฟิงเหลียนเซิ่งก้มลงจัดแจงชุดคลุมชั่วครู่ ก่อนจะดึงพัดขึ้นมาอย่างคล่องมือ ท้ายที่สุดในตอนที่เงยหน้า จึงค่อยเผยรอยยิ้มให้กับฉู่ฉีเหยียน “ข้าไม่รีบ อย่างไรแล้วก็อยู่ที่นี่รอข่าวคราวของท่านหญิงทั้งสองเป็นเพื่อนพวกท่านก่อนก็ได้!”
ขณะที่พูด เขาก็ขยับฝีเท้าเบาๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้กับฉู่สวินหยางเล็กน้อย
แม้ว่าจะไม่ใกล้มาก แต่ฉู่ฉีเหยียนที่มีสายตาเฉียบคมก็ยังมองเห็น นัยน์ตานั้นมีแสงสว่างวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
เขาก็ก้าวขึ้นไปด้านหน้าเช่นกัน ไปหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างฉู่สวินหยางและเฟิงเหลียนเซิ่งอย่างเงียบเชียบ เผยให้เห็นใบหน้าเคร่งขรึมและไร้อารมณ์ กล่าวออกไป “ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เจ้ากับเต๋อเฟยก็เข้าไปในงานก่อนเถิด ส่วนเรื่องของที่นี่ปล่อยให้ข้าและฉูฉีเฟิงจัดการดีกว่า”
เฟิงเหลียนเซิ่งประกายตาวาบ ชั่วขณะนั้นในใจก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่งพาดผ่านเข้ามา อดไม่ได้ที่จะหันไปมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างพินิจ
เดิมทีฉู่สวินหยางก็ไม่ได้เตรียมตัวจะมาคิดบัญชีกับฮูหยินฮั่วอยู่แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เข้าใจแล้ว!”
พูดจบก็ไม่ได้หันไปมองเขาสักนิด เคลื่อนกายเข้าไปหาฉู่ฉีเฟิงก่อนกล่าว “ท่านพี่ ข้าจะล่วงหน้าไปหาท่านพ่อที่นั่นก่อน หากท่านเสร็จแล้วก็รีบตามไปล่ะ!”
ฮั่วชิงเอ๋อร์และหลัวซืออวี่พากันหายตัวไป เรื่องนี้ดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างเห็นได้ชัด
คำพูดบางคำก็ยากที่จะกล่าวอธิบายออกมาอย่างตรงๆ ฉู่สวินหยางนั้นลอบจับข้อมือของฉู่ฉีเฟิงใต้แขนเสื้อ สองพี่น้องแลกเปลี่ยนสายตาอย่างรู้กันเป็นนัย
“ไปเถิด!” ฉู่ฉีเฟิงผงกศีรษะ เผยรอยยิ้มให้นาง
“อืม!” ฉู่สวินหยางจึงไม่ลังเลอีกต่อไป ยกฝีเท้ามุ่งหน้าไปทางอุทยานหลวงทันที
เฟิงเหลียนเซิ่งเห็นเช่นนั้น ก็แทบที่จะลืมสิ่งที่ตนพูดไปก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ยกชายเสื้อขึ้นก้าวเท้ายาวตามไป ทั้งแสร้งกล่าวด้วยใบหน้าจริงจังไปพลาง “ดูเหมือนว่าข้าก็ควรจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเช่นกัน มิเช่นนั้นก็คงจะเสียมารยาทแล้ว”
ขณะที่พูดก็ไม่มีท่าทีเขินอายที่ตนเองได้กลับสัตย์ให้เห็นสักนิด ก็เดินตามออกไปพร้อมกับฉู่สวินหยางโดยพลัน
เดิมทีเต๋อเฟยตั้งใจที่จะเดินไปพร้อมฉู่สวินหยาง เวลานี้เห็นเฟิงเหลียนเซิ่งพยายามเอาใจใส่อย่างนั้น จึงได้แต่เดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้ รั้งอยู่ทางด้านหลังด้วยท่าทีที่ดูกระอักกระอ่วนไม่น้อย
ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนต่างก็หยุดสนใจเรื่องที่อยู่ตรงหน้าไปชั่วขณะ มองไล่ตามแผ่นหลังของฉู่สวินหยางและเฟิงเหลียนเซิ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ฉู่ฉีเฟิงเผยสีหน้าเรียบนิ่ง ใบหน้านั้นสง่างามดุจผืนน้ำที่ราบเรียบ สีหน้านั้นดูขุ่นมัวอยู่เล็กน้อย มีความล้ำลึกและมืดมนราวกับท้องทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ทางฉู่ฉีเหยียนยังคงเผยท่าทีที่เคร่งขรึม ดวงตาที่มักจะเรียบเย็นกลับยิ่งแผ่กระจายความเย็นเยียบขึ้นมา ทำให้หลี่หลินที่อยู่ด้านหลังเขาถึงกับคล้ายได้สูดอากาศหนาวเหน็บเข้าไปอย่างเลือนราง
เฟิงเหลียนเซิ่งที่เดินอยู่ด้านหน้า จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทว่าเขากลับไม่สนใจ ยิ่งก้าวเข้าไปประชิดกับฉู่สวินหยางอีกสองก้าว จนแขนเสื้อของทั้งสองคลาดกันไปมา
ฉู่สวินหยางรู้สึกเอือมระอากับเจตนาของเขาที่เข้าใกล้นางเช่นนี้ จึงใช้สายตาเยือกเย็นเหลือบมองไป ทั้งกล่าวเตือน “องค์รัชทายาท เรื่องบางเรื่องหากทำมากไปก็จะเกินงาม ข้าเตือนท่านว่าเอาแต่พอดีจะดีเสียกว่า!”
“ท่านหญิงไม่รู้สึกว่าบรรยากาศในวังของคืนนี้แปลกประหลาดหรอกรึ?” เฟิงเหลียนเซิ่งกลับถามแทนที่จะตอบ ยิ้มอย่างลอยหน้าลอยตา เงยชมดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนนภาด้วยความเปรมปรีดิ์ ในดวงตาคู่สวยที่มีท่าทีหยอกเย้า ฉับพลันก็ปรากฏแสงที่เยียบเย็นและหนักหน่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ท่าทีนั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา จึงไม่มีใครทันได้สังเกต เมื่อเก็บสายตากลับมาอีกครั้งก็ก้มมองไปที่ฉู่สวินหยาง ใบหน้านั้นยังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ลุ่มลึกและอ่อนโยน “คืนนี้ข้าจะตามติดอยู่ข้างกายท่านไม่ไปไหน เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องพูดถึง อย่างไร…ก็นับว่าปลอดภัยกว่า!”
นางละครพลัดตกน้ำ ฮั่วชิงเอ๋อร์สูญหาย หลัวซืออวี่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรอีก
แม้จะเป็นแค่หญิงสาวสามคนที่ดูไม่ค่อยสำคัญอันใด แต่หากเรื่องทั้งหมดเชื่อมโยงกันขึ้นมา ทั้งสัญชาตญาณของพวกเขาที่คุ้นชินกับการวางแผนเช่นนี้แล้ว
ฉู่สวินหยางย่อมต้องมีคำตอบในเรื่องนี้ตั้งนานแล้วเป็นแน่
แต่การที่เฟิงเหลียนเซิ่งตามติดคล้ายจะมาตกทรัพย์นางเช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย จึงเผยใบหน้าเยียบเย็นอย่างไม่ยินดี “องค์รัชทายาท ท่านเป็นว่าที่กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่ จะมาตามติดหญิงสาวตัวน้อยๆ อย่างข้าก็เพื่อความปลอดภัยงั้นรึ? หากเรื่องหลุดออกไป ไม่กลัวว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงหรืออย่างไร? หรือท่านยังคิดว่าเรื่องในวันนี้จะเป็นฝีมือข้า? ดังนั้นจึงมั่นใจว่าหากอยู่กับข้าแล้วย่อมจะปลอดภัย?”
“ก็ใช่!” เฟิงเหลียนเซิ่งแย้มยิ้ม ขณะที่ไตร่ตรอง ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “ท่านหญิง คงไม่มีผู้ใดจะมนุษย์สัมพันธ์แย่ยิ่งไปกว่าท่านอีกแล้ว!”
แม้จะไม่รู้ว่าในวังวันนี้จะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่กำจัดความเป็นไปได้ที่การลงมือครั้งนี้อาจจะพุ่งเป้ามาที่
ฉู่สวินหยาง อย่างไร…
เด็กสาวคนนี้ ก็ล้วนแต่มีอิทธิพลต่อวังบูรพาและฉู่อี้อันอยู่ไม่น้อย
หากมีคนคิดจะลงมือกับฉู่สวินหยางจริงๆ การที่เขาตามนางเช่นนี้ อย่างไรก็อาจจะโดนหางเลขไปด้วย
ฉู่สวินหยางแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
กลับไม่คิดว่าครู่ต่อมาเฟิงเหลียนเซิ่งจะมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน เปลี่ยนเรื่องพูดทันที “ท่านหญิงมีฝีมือยอดเยี่ยม อีกทั้งเมื่อเกิดเรื่อง องค์รัชทายาทย่อมปกป้องท่านเป็นคนแรก ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านก็มักจะกลับร้ายกลายเป็นดีได้เสมอ แล้วข้าจะผิดหวังได้อย่างไรกันล่ะ?”
แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่มีความมั่นใจขนาดนี้ ทว่าเฟิงเหลียนเซิ่งกลับเชื่อมั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนทำให้ฉู่สวินหยางรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเสียอย่างนั้น
————————————————–
[1] ตัวนางฮวาต้าน เป็นตัวละครหนึ่งของละครงิ้ว ซึ่งจะเป็นตัวละครผู้หญิงที่อยู่ในวัยสาว มีอุปนิสัยร่าเริงแจ่มใส