สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 96.1 จิตใจว้าวุ่น (1)
ฉู่อี้เจี่ยนจะฆ่าเฟิงเหลียนเซิ่งงั้นหรือ?
แบบนี้มันไม่สมเหตุสมผล ไม่มีตรรกะอะไรเลยนี่!
หรือว่าคืนนี้แผนการลอบสังหารฮ่องเต้มันจะเป็นแค่หลอกลวง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือเฟิงเหลียนเซิ่งคนเดียวต่างหาก
เมื่อฆ่าเฟิงเหลียนเซิ่งได้ จากนั้นก็จะหาเรื่องทำให้แคว้นซีเยว่และแคว้นหนานฮวาแตกหักกัน
แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว การที่อีกฝ่ายอยู่ที่งานเลี้ยงทางนั้น ย่อมต้องการลงมือจัดการฮ่องเต้มากกว่าทางนี้อย่างเห็นได้ชัด
เพราะฉะนั้น…
เฟิงเหลียนเซิ่งเป็นแค่ผลพลอยได้ เป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายยังคงเป็นฮ่องเต้ไม่เปลี่ยนแปลง
แล้วพวกเขาจะฆ่าเฟิงเหลียนเซิ่งไปทำไม?
เห็นได้ชัดว่าเฟิงเหลียนเซิ่งเองก็รู้สึกได้ถึงจุดนี้ ในระหว่างที่ต่อสู้อยู่ก็หันไปถามหลี่เหวยว่า “เหล่าลิ่วล่ะ?”
ไม่ใครสักคนในราชวงศ์แคว้นซีเยว่ต้องการชรีวิตของเขา ที่นี่…
นอกจากองค์ชายหกเฟิงซวี่แล้วก็ไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเล่นงานเขาได้
“ไม่ทราบขอรับ!” หลี่เหวยรับมือการโจมตีของพวกข้าศึกไปพลางเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “ตอนที่พวกข้าเข้าวังเขาไม่ได้ตามมาด้วย ข้าน้อยเองก็ไม่ได้สังเกตว่าเขาไปไหนเช่นกัน!”
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เฟิงซวี่อาจจะมีแนวโน้มว่ายังไม่ได้เข้าวังมาด้วยซ้ำ
ความโกรธโมโหในใจของเฟิงเหลียนเซิ่งเดือดพล่าน…
การที่ถูกคนวางแผนลอบแทงข้างหลังเยี่ยงนี้ มันช่างท้าทายขีดจำกัดที่เขามีอยู่เหลือเกิน
“รีบใช้ให้คนไปไล่ตามมันมาให้ได้!” เฟิงเหลียนเซิ่งกล่าว “ตรงนี้เจ้าไม่ต้องสน ไปจับมันกลับมาได้ ถ้ามันคิดจะต่อต้านล่ะก็…”
เฟิงเหลียนเซิ่งพูดพลางแววตาก็พลันเปลี่ยนมาเยือกเย็น ค่อยๆ พูดออกมาทีละคำอย่างชัดเจนว่า “ถึงจะมีแค่หัว ก็ต้องนำกลับมาให้ข้าให้ได้!”
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ได้รับเคราะห์ในสถานการณ์นี้เช่นกัน แต่ถ้าเฟิงซวี่หนีรอดพ้นไปได้ สุดท้ายถึงเวลานั้นก็ถูกฮ่องเต้สะสางสำเร็จโทษทีหลังอยู่ดี…
เขาคิดจะปัดว่ามันไม่เกี่ยวกับตนแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก
ยิ่งไปกว่านั้น…
เขากับเฟิงซวี่เองก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นต้องมาแบกรับความผิดของอีกฝ่าย
“แต่ทางด้านนี้…” ทว่าหลี่เหวยกลับไม่วางใจ
“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปสิ จะพูดไร้สาระอะไร!” เฟิงเหลียนเซิ่งกล่าว น้ำเสียงขึงขังไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
“ขอรับ!” หลี่เหวยลังเลชักช้าอยู่สักพัก จากนั้นก็กวักมือพาทหารไปเป็นผู้ช่วยเพียงแค่สองคน ให้คนอื่นคอยปกป้องเฟิงเหลียนเซิ่งอยู่ที่นี่
ถึงแม้ทหารองครักษ์ของเฟิงเหลียนเซิ่งจะตามมาช่วยเหลือแล้ว ทางทหารสนับสนุสของฝั่งวังบูรพาและจวนอ๋องหนานเหอเองก็คงตามหลังมาในอีกไม่ช้าแน่นอน
เดิมทีพวกข้าศึกก็มีข้อดีเพียงแค่จำนวนคนเยอะกว่า หากเป็นเยี่ยงนี้ดูท่าพวกเขาต้องรับศึกหนักแน่นอน
“สังหารองค์รัชทายาทหนานฮวา!” พวกข้าศึกตรงหน้าถูกทำลายจนแทบไม่เหลือความหวังสักนิด ผู้นำของพวกนั้นจึงเอ่ยสั่งการออกมาอย่างทันที
พวกข้าศึกที่รุมล้อมโจมตีฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเหยียนเองก็ไม่สนใจพวกนางอีก หันไปพุ่งจู่โจมเข้าใส่เฟิงเหลียนเซิ่งทันที
ในเวลานั้นฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเหยียนจึงพลอยได้โล่งอก
ฉู่สวินหยางรีบถอยออกจากวงสู้รบไปพลางกำชับสั่งการอย่างเด็ดขาด “พวกเจ้าทั้งหมดไปปกป้ององค์รัชทายาทเหลียนเซิ่ง หากองค์รัชทายาทบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ข้าจะไม่เว้นชีวิตพวกเจ้าสักคน!”
พูดยังไม่ทันจบนางก็หันหลังพุ่งเข้าไปยังค่ำคืนอันมืดมิดด้านหลังทันที
ฉู่ฉีเหยียนยืนงงอยู่กับที่ชั่วครู่…
ที่จริงถึงพวกเขาจะรู้ถึงแผนการที่แอบซ่อนอยู่แล้วว่าเป็นการทะเลาะกันภายในราชวงศ์หนานฮวา แต่เฟิงเหลียนเซิ่งจะเป็นหรือตายมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย
อีกทั้งเฟิงเหลียนเซิ่งก็หาใช่คนธรรมดาไม่ เห็นได้ชัดว่าเขามีการเตรียมตัวป้องกันตั้งแต่แรกแล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถปลีกตัวออกจากอันตรายได้ในทันที แต่สำหรับทหารองครักษ์ของเขาแล้ว การที่จะสู้ต่อกรกับพวกข้าศึกพวกนั้นก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก
ฉู่สวินหยางประกาศกร้าวออกไปแบบนั้น เห็นได้ชัดว่านางต้องการแสดงเพื่อให้คนอื่นเห็น
ผู้หญิงคนนี้…
ถึงเวลานี้ยังไม่วายที่จะหยิบยืมอำนาจของคนอื่นมาเป็นของตน!
ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนสุขุมนิ่งลึก ลังเลเคลื่อนไหวช้าไปแค่ชั่วขณะเดียว จากนั้นก็รีบถลกกชายชุดแล้ววิ่งตามออกไป
ฉู่สวินหยางวิ่งนำอยู่ข้างหน้า วิ่งผ่านทุ่งดอกไม้ จนกระทั่งยันผนังข้างหน้าแล้วกระโดดข้ามไป
เมื่อขาตกถึงพื้นนางก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของแคว้นซีเยว่ ซึ่งเป็นเรือนที่ตั้งอยู่บนปีกซ้ายและขวาของวังที่กองทหารองครักษ์มักจะใช้ปฏิบัติการ
จากการฆ่าสังหารเมื่อครู่นี้ ทำให้ชุดกระโปรงของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยรอบเลือด
ด้วยความที่ชุดเข้าเฝ้าเป็นทางการชุดนี้มันก็ซับซ้อนรุ่มร่ามจนทำให้ยิ่งวิ่งก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อย นางวิ่งมุ่งหน้าตรงไปพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก พร้อมกับเครื่องประดับบนหัวออกจนหมด
เดินไปหนึ่งที ก็ดึงออกไปหนึ่งชิ้น
ฉู่ฉีเหยียนเดินตามอยู่ด้านหลังนาง
ชุดเข้าเฝ้าบนร่างกายของหญิงสาวผู้สง่างดงามถูกถอดทิ้งลงไปบนพื้นอย่างไม่ลังเล
ชายกระโปรงปลิวว่อน จนบดบังทัศนียภาพตรงหน้าเขาไปชั่วขณะ
ภาพตรงหน้าของฉู่ฉีเหยียนเปลี่ยนไป เมื่อเขาเหยียบย่ำเสื้อผ้าอาภรณ์อันสง่างามชุดนั้นผ่านไปแล้วตอนนั้น…
ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฉู่สวินหยางก็สวมใส่เพียงแค่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนที่เป็นชุดใส่ซับอยู่ด้านใน
เนื้อผ้าของชุดนั้นมันเบาบางกว่าชุดเข้าเฝ้า ชายกระโปรงปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลม เห็นได้ชัดว่านางเดินหน้าเข้าไปอย่างเร่งรีบ ภายใต้ท่วงท่านั้นสัมผัสได้ถึงความโกรธโมโหอย่างชัดเจน แต่ไม่รู้ทำไม…
แผ่นหลังที่เขามองเห็นนั้นมันกลับให้ความรู้สึกทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน ทั้งๆ ที่มันเป็นความรู้สึกสุดโต่งทั้งสองอย่าง ทว่ากลับน่าประหลาดใจนัก มันสวยสลดงดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้เลย
ไม่สนใจว่านางจะอยู่ในชุดเสื้อผ้าอาภรณ์อันหรูหราหรือไม่ เพราะการมีอยู่ของนางนั้น มันก็เป็นทัศนียภาพที่สวยงามโดดเด่ดกว่าใครอื่นแล้ว
ความฉลาดเฉลียวปราดเปรียว การตัดสินใจอันว่องไวแน่วแน่ของนาง
ด้วยท่วงท่าแบบนั้นของนาง เหมือนกับว่าหญิงสาวคนตรงหน้าเกิดมาก็สูงส่งเดินเฉิดฉายอยู่บนยอดเขาอันสูงชันมาตลอด ไม่อาจทำให้คนที่มองเห็นละสายตาไปได้เลย
ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาอันตรายที่สุดแบบนี้ ฉู่ฉีเหยียนที่เป็นคนใจเย็นควบคุมสติได้เสมอ คนอย่างเขากลับจิตใจเตลิดเปิดเปิง คิดฟุ้งซ่านจนไม่สามารถบังคับความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้
เขาเห็นสถานการณ์ตรงหน้าตำตาอยู่ชัดเจนเยี่ยงนั้น แต่กลับไม่สามารถบังคับตัวเองให้ละสายตาออกจากแผ่นหลังของฉู่สวินหยางไปได้
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่หัวใจเต้นรัวจนทำให้เขาเสียจังหวะ
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบทุกวันนี้
เทียบกับฉู่ฉีเหยียนที่กำลังจิตใจว้าวุ่น ในเวลาเดียวกันนั้นฉู่สวินหยางกลับแน่วแน่มั่นคง กระโดดปีนข้ามผนังไปด้วยท่าทางที่คล่องแคล่วว่องไว ใช้วิธีเดินตัดทะลุจนไปถึงเรือนที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกในที่สุด
“ท่านหญิง ท่านมาได้อย่างไรขอรับ?” ในขณะเดียวกันเอง เจี่ยงลิ่วเข้าเวรเฝ้ายามสะสางธุระอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นนา
มาถึงที่นี่ เขาก็รู้สึกแปลกใจ
“ท่านพี่ไปแล้วรึ?” ฉู่สวินหยางไม่พูดอธิบาย เดินผ่านหน้าเขาเข้าไปด้านในทันที
เจี่ยงลิ่วกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เมื่อปรายตามองก็เห็นฉู่ฉีเหยียนที่เดินตามมาด้านหลัง เขาจึงตั้งสติระวังตัวขึ้นมาในทันที
ทว่าฉู่ฉีเหยียนกลับมองไม่เห็นสายตาที่มองไปด้วยความแค้นเคืองระมัดระวังนั่นของเขาเลยสักนิด เดินผ่านหน้าเขาตามฉู่สวินหยางเข้าไปด้านใน
ในขณะเดียวนั้น ด้านในเรือนก็เละเทะราบเป็นหน้ากลองไปจนหมดสิ้น
บนพื้นเต็มไปด้วยศพของกองทหารองครักษ์ เลือดสาดกระจายไปทั่ว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบอบอวล
ฉู่สวินหยางปรายตามองอย่างว่องไว สุดท้ายหันไปจับจ้องด้านข้างโต๊ะตัวในสุด
ตรงนั้นมีคนวัยกลางคนสวมชุดขุนนางชั้นสูงล้มอยู่ข้างใต้ ทว่าคนคนนั้นกลับเป็น…
หลัวเหว่ย กั๋วกงแห่งจวนหลัวกั๋วกงนั่นเอง
เขาไม่ได้ตายอย่างอนาถเหมือนเยี่ยงคนอื่น ถึงแม้ในเวลานั้นเขาจะไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว แต่ใบหน้ากลับสงบนิ่ง ไม่มีแผลบนร่างกายให้เห็นอย่างชัดเจน
แววตาของฉู่สวินหยางจับจ้องไปบนใบหน้าของเขา
เจี่ยงลิ่วเดินตามเข้ามาจากด้านหลังรีบเอ่ยพูดอธิบายให้นางฟัง “ตอนที่คังจวิ้นอ๋องพาพวกข้ามาถึงที่นี่ ท่านกั๋วกงเขาก็สลบไปแล้วขอรับ หยางอวิ๋นชิงรู้ว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดเผย เลยรีบพาคนสนิทของตนบุกออกไป ตอนนี้คังจวิ้นอ๋องพร้อมกำลังพลออกไปไล่ตามพวกเขาแล้ว!”
เมื่อพูดขึ้นมา ในบรรดาพวกเขาแล้วก็มีแต่ฉู่ฉีเฟิงนั่นแหละที่ไหวตัวได้เร็วที่สุด ตอนเพิ่งเกิดเรื่องได้ใหม่ๆ เขาก็จับตามองหยางอวิ๋นชิงมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ทั้งยังตามหาตัวเขาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
เวลาฉู่ฉีเฟิงปฏิบัติการ ฉู่สวินหยางไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นห่วงกังวล
ทว่านางเองก็ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาออกไปในทันที แต่กลับเดินหน้าเข้าไปสองก้าว
ตรงนั้นพวกทหารองครักษ์ได้ประคองตัวหลัวเหว่ยขึ้นมานั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว
ฉู่สวินหยางเอื้อมมือออกไปตรวจลมหายใจของเขาด้วยใบหน้านิ่ง เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “หลัวกั๋วกงเป็นอะไรไป?”
“ท่านกั๋วกงถูกคนใช้ของแข็งโจมตีที่ท้ายทอยจนสลบเหมือดไปขอรับ” องครักษ์นายหนึ่งตอบด้วยใบหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย “ถึงแม้เลือดจะไม่ออก แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอันตรายไหม ต้องให้ท่านหมอหลวงมาตรวจถึงจะรู้ได้ขอรับ”
“สถานการณ์ด้านหน้าชุลมุนวุ่นวาย ตอนนี้คงยังไม่สามารถหาตัวหมอหลวงมาได้หรอก เหลือคนสองคนไว้ที่นี่คอยดูแลท่านกั๋วกง ส่วนคนที่เหลือเคลื่อนย้ายศพออกไปให้หมด” เจี่ยงลิ่วสั่งการด้วยความเร่งรีบแล้วเดินไปหาฉู่สวินหยาง “ตั้งแต่ฮ่องเต้จับกุมองค์ชายสี่ อำนาจสั่งการของกองทหารองครักษ์ภายในวังก็ตกอยู่ในการดูแลของท่านกั๋วกง ถือเป็นการให้เกียรติฮองเฮาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ดูท่าหยางอวิ๋นชิงต้องการปลุกระดมให้คนนอกเข้ามาก่อความวุ่นวาย แต่ก็กลัวท่านกั๋วกงจะขัดขวางเขา ถึงได้ลงมือกับท่านกั๋วกงไปเยี่ยงนั้นขอรับ!”
ฉู่สวินหยางรับฟังเขาเงียบๆ ใบหน้าเย็นชานิ่งเฉย ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ปฏิเสธ พลางเดินวนรอบเรือนแห่งนี้อีกครั้ง
เมื่อเดินไปถึงโต๊ะตัวด้านในสุดตอนนั้น ฝีเท้าของนางก็ค่อยๆ หยุดลง ก้มตัวลงไปหยิบภาพวาดหมึกพู่กันที่ถูกฉีกเละที่ตกอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น
เดิมทีภาพใบนั้นควรจะถูกแขวนอยู่บนผนังด้านหลังโต๊ะตัวนั้น เห็นได้ชัดว่ามันถูกคนดึงลงมาเพื่อนำมาเป็นอาวุธ ภาพถูกฉีกขาด แล้วถูกทิ้งขว้างไปอย่างเร่งรีบ บนผนังยังหลงเหลือร่องรอยของการมีอยู่ให้เห็นอยู่รางๆ
เจี่ยงลิ่วเดินตามเข้าไปมอง ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวล
ฉู่สวินหยางม้วนภาพใบนั้นขึ้นแล้วเคาะใส่มือสองที จากนั้นก็ขยับมุมปากอย่างมีเลศนัย ถือของสิ่งนั้นไว้ในมือแล้วเดินสาวท้าวมุ่งหน้าไปยังประตู “ข้าไปหาท่านพี่ก่อน เจ้าจัดการทางนี้แล้วกัน”
ทางงานเลี้ยงยังมีฉู่อี้อันคอยดูอยู่ นางจึงไม่กังวลเลยสักนิด
“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วขานตอบ พลางเรียกคนให้จัดการชะล้างคราบเลือดในห้องต่อ
จากนั้นฉู่สวินหยางก็เดินออกประตูไป