สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 96.2 จิตใจว้าวุ่น (2)
ฉู่ฉีเหยียนเดินตามนางอยู่ด้านหลัง แต่ว่าก็ไม่ได้เข้าไปด้านในเรือนเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่พูดอะไรสักคำ เขาเอาแต่เม้มปากแน่นไม่ปริปากพูด มองไปยังเรือนนั้นอย่างเย็นชา
ฉู่สวินหยางเดินไปหยุดฝีเท้าลงที่ข้างกายเขา หันไปปรายตามองแล้วยิ้มถาม “ท่านยังไม่ไปอีกรึ?”
สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนเย็นชาแข็งทื่อไม่ขยับราวกับภูเขา ไม่เผยให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกใดออกมาเลยแม้แต่สักนิดเดียว
จากนั้นเขาก็ละสายตาออก เดินเข้าไปในตัวเรือนนำหน้าฉู่สวินหยางไปหนึ่งก้าว โดยไม่แม้แต่หันหลังกลับมามองนาง
ฉู่สวินหยางมองแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างรีบร้อนนั้น แล้วก็ยิ้มออกมา จากนั้นก็รีบเดินตามเข้าไป
หลี่หลินเองก็ไม่ได้อยู่ต่อที่อุทยานหลวงช่วยเฟิงเหลียนเซิ่งรับมือต่อกรกับศัตรู แต่กลับตามฉู่สวินหยางกับ
ฉู่ฉีเหยียนพวกเขาสองคนมายังสถานที่แห่งนี้
พวกเขาสามคนเดินตามรอยตามคำที่องครักษ์บอก เพื่อหาร่องรอยของฉู่ฉีเฟิงและหยางอวิ๋นชิง
เนื่องด้วยจู่ๆ ภายในงานเลี้ยงก็มีข้าศึกบุกเข้ามา การสังหารฆ่าล้างบางแบบนี้มันเพียงพอที่จะทำให้ราชวังวุ่นวายแล้ว ในระหว่างทางมองเห็นขันทีและนางกำนัลวิ่งหนีอย่างหวาดกลัวเต็มไปหมด
ทั้งๆ ที่เป็นยุคสมัยแห่งความเจริญรุ่งเรืองแท้ๆ บ้านเมืองสงบสุขประชาชนอยู่ดีกินดี ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ราบรื่นมากเลยด้วยซ้ำ ทว่าที่นี่กลับมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น มองดูแล้วช่างยุ่งเหยิงไร้ชีวิตชีวาราวกับว่าประเทศชาติกำลังจะล่มสลายอย่างไรอย่างนั้นเลย
ฉู่สวินหยางเดินอยู่ตรงกลาง ริมฝีปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา…
มันไม่มีอะไรที่ราบรื่นไปตลอดหรอก เมื่อปีนั้นตอนที่ฉู่เป้ยยึดครองเมืองหลวงของแคว้นต้าหรง ตอนที่ควบม้าเดินเหยียบย่ำบุกรุกเข้าไปพระราชฐานชั้นในตอนนั้น ภาพที่เขาได้เห็นตอนนั้นมันก็เป็นภาพเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่หรอกหรือ?
ตอนนั้นเขามีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความแค้น ฆ่าตายไม่เลือกหน้า ตอนที่รับสั่งให้เผาวังตอนนั้นมันโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรดี
แต่ในเวลาอันสั้นที่ไม่ถึงสิบปี ครั้งนี้คนที่ถูกเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็น ถูกกักขังอยู่ในป้อมปราการสีทองอร่ามอย่างหมดราศีนั้น…
กลับเป็นตัวเขาที่อายุมากขึ้น!
วินาทีนั้นฉู่สวินหยางรู้สึกดีใจและชื่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ได้เป็นเพราะประเทศชาติล่มสลายหรือการตายขององค์หญิงใหญ่จินหวงเหลียงซี แต่เป็นเพราะว่าวิญญาณของผู้คนนับพันนับหมื่นที่ถูกกล่าวหามอดไหม้ไปพร้อมกับพระราชวังแห่งนี้ต่างหาก
การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการมีอำนาจการปกครอง จนมีชื่อเสียงดังโด่งดังไปชั่วนิรันดร
แต่ทำไม…
พวกคนที่ต้องตายไปเพราะเหตุการณ์นั้น มีใครสักคนจำชื่อจำหน้าตาพวกเขาได้บ้าง? เวลาผ่านไปร้อยปี มีแต่พวกเขาที่เป็นผู้บริสุทธิ์
ภายในใจของฉู่สวินหยางเต็มไปด้วยความแค้นเคือง จึงเดินหน้าอย่างรวดเร็ว
ตอนที่พวกเขาสามคนเดินไปถึงประตูวังทางทิศใต้ตอนนั้น การต่อสู้ฆ่ากันตรงสถานที่นั้นก็เพิ่งจบสิ้นไปไม่นาน ซากศพเกลื่อนกระจายเต็มพื้น บรรยากาศสะอิดสะเอียนน่าอนาถเหลือเกิน
“พี่รองเดินเข้าไปทางนี้งั้นรึ?” ฉู่สวินหยางหันไปตามนายทหารชั้นผู้น้อยที่เก็บกวาดอยู่โดยไม่กล่าวคำใดให้มากความ
“ขอรับ!” นายทหารคนนั้นเอ่ยตอบ ใบหน้ายังคงหวาดกลัวตกใจอย่างไม่อาจเก็บกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้ “ใต้เท้าผู้บัญชาการบุกรุกต้องการจะออกจากวังให้ได้ แต่จวิ้นอ๋องตามเข้ามาจากด้านหลัง พวกเขาทั้งสองคนเลยสู้กัน ในระหว่างที่ชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั้น ใต้เท้าผู้บัญชาการก็วิ่งหนีออกจากประตูวัง จวิ้นอ๋องก็เลยวิ่งตามเขาไปขอรับ!”
ฉู่สวินหยางเดินกระฉับกระเฉงออกไปนอกประตูวังได้สองก้าว ทว่าไม่ได้เดินหน้าไล่ตามไปต่อ นางรอให้ฉู่ฉี
เหยียนเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วหันหลังไปยิ้มให้เขาอย่างเรียบเฉยแล้วพูดว่า “วันนี้ฮ่องเต้ถูกลอบสังหาร เรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ซื่อจื่อไม่คิดจะแสดงความเห็นอะไรหน่อยรึ? หรือว่าท่านคิดจะใช้เหตุนี้กระทำการอะไรกันแน่?”
เรื่องในค่ำคืนวันนี้มันไม่ได้มีแค่ฮ่องเต้ถูกลอบสังหารอย่างเดียวง่ายๆ แน่นอน
แต่มันเป็นการก่อเหตุจลาจลต่างหาก
ขอเพียงแค่มีคนยอมกระจายข่าว แน่นอนว่ามันจะแพร่กระจายไปได้อย่างกว้างขวาง
ฉู่ฉีเฟิงว่องไวถึงจุดหมายก่อนหยางอวิ๋นชิง จัดการอีกฝ่ายจนสิ้นชีพ
ส่วนเรื่องทั้งหมดนี้ หยางอวิ๋นชิงมีโทษฐานกระทำความผิด ส่วนความดีความชอบนั้นก็ย่อมต้องตกเป็นของวังบูรพา
แต่คนอื่นไม่รู้ ทว่าฉู่ฉีเหยียนกลับรู้เรื่องทุกอย่างดีเหมือนอย่างที่ฉู่สวินหยางรู้…
หยางอวิ๋นชิงเป็นแค่หมากเล็กๆ ตัวหนึ่ง คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้คือฉู่อี้เจี่ยนแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เพียงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ตัวที่แน่ชัด
ฉู่สวินหยางหยุดนิ่งเพิกเฉย แล้วคิดจะโยนปัญหามาให้เขาแบบนี้น่ะเหรอ?
ฉู่ฉีเหยียนมองนางด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยพูดคำใดอยู่นานแสนนาน ภายในแววตานั้นดำมืดสนิท ยากที่คาดเดาอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริง
ฉู่สวินหยางรออยู่นานพอสมควร เห็นเขาไม่แสดงท่าทีใดออกมา นางจึงไม่บังคับ แต่กลับกวักมือแล้วพูดว่า “จูงม้ามาให้ข้าหน่อย!”
พูดจบก็ถือโอกาสตอนที่ทหารองครักษ์ไปเตรียมตัว นางจึงพูดกับฉู่ฉีเหยียนว่า “แบบนี้ก็ดี ระหว่างข้ากับท่านมันก็มีแค่ปัญหาเรื่องจุดยืนกันเท่านั้น ในเมื่อท่านยินยอมถอยให้ข้า ถึงเวลานั้นพวกเราต่างก็จะได้เสวยสุขกันอย่างถ้วนหน้า!”
หากฉู่ฉีเหยียนทอดทิ้งแผนการนี้ไป งั้นก็หมายว่าเรื่องภายในวันนี้ เขาก็จะตกเป็นผู้เสียเปรียบอย่างถึงที่สุด อีกทั้งมันยังหมายถึงว่า…
เขาทอดทิ้งโอกาสที่จะได้ขึ้นครองตำแหน่งฮ่องเต้นั้นไป
ทหารองครักษ์จูงม้ามาให้นาง
ฉู่สวินหยางหันหลังกำลังจะปีนขึ้นม้า ทว่ายังไม่ทันได้เหยียบที่วางขา กลับถูกฉู่ฉีเหยียนยกแขนขึ้นขวางเอาไว้
เขาเดินหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ในระหว่างที่แย่งเชือกเส้นนั้นมาจากมือของนางตอนนั้น เขาก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งรัดเอวนางเอาไว้ โดยไม่มองสีหน้าของฉู่สวินหยางแม้แต่นิด
มันเป็นการกอดที่ไม่ถือกับว่าเป็นการกอด แต่มันแค่สะบัดตัวนางออกไปให้ไกลพ้นอย่างไร้เยื่อใยก็เท่านั้น
เมื่อฉู่สวินหยางทรงตัวได้แล้วนางก็เงยหน้าขึ้น ก็ได้เห็นว่าเขานั้นได้ปีนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าตัวนั้นแล้ว
เค้าโครงหน้านั้นมันช่างเย็นชาเคร่งขรึมกว่าปกตินัก
“เรื่องมาถึงป่านนี้ ไม่มีทางที่ข้าจะถอยอีกต่อไปแล้ว เจ้าไม่ต้องมายุยงข้า!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว แต่ละคำที่เปล่งออกมานั้นแฝงไปด้วยความเย็นชา
พูดยังไม่ทันจบเขาก็ฟาดแส้ลงม้า บุกทะลวงเข้าไปยังแสงจันทร์สีนวลอร่ามตาท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดนั่นทันที
ฉู่สวินหยางยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย มองแผ่นหลังนั้นของเขาอยู่นานสองนาน…
นางสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมในใจและความแค้นของเขาได้อย่างแกร่งกล้าตั้งแต่ชาติที่แล้ว ที่จริงนางรู้อยู่แต่แรกแล้วว่า เรื่องนี้เขาไม่มีทางยอมถอยแน่นอน
คนที่หยิ่งยโสเยี่ยงนั้น ในเมื่อเริ่มต้นแล้วก็ไม่มีวันทิ้งกลางคัน ยอมตกเป็นเบี้ยล่างรับใช้ใครอีกแน่นอน
เพราะฉะนั้นการที่พวกเขาเป็นปรปักษ์ต่อกัน…
มันถูกกำหนดมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว!
เมื่อคิดถึงเรื่องเหตุการณ์เมื่อชาติก่อน ฉู่สวินหยางเองก็เผลอสติล่องลอยไปอย่างไม่รู้สึกตัว ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเจี๋ยหงตามมา
เมื่อเห็นนางยืนเหม่อลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดนั้น เจี๋ยหงก็รู้สึกแปลกใจ “ท่านหญิง เจี่ยงลิ่วบอกข้าว่าท่านหญิงกับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องหนานเหอไปไล่ตามจวิ้นอ๋องด้วยกัน แล้วทำไมท่านถึงมาอยู่ตรงนี้เล่าเจ้าคะ?”
“อืม! ฉู่ฉีเหยียนเขาออกนอกเมืองไปปราบปรามข้าศึกแล้ว!” ฉู่สวินหยางได้สติกลับมาก็หันหลังเดินเข้าประตูวังไป พลางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วสถานการณ์ด้านในวังเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“ข้าศึกส่วนใหญ่ถูกสังหารจนหมดสิ้นแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว” เจี๋ยหงกล่าว
“งั้นก็ดี!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าแล้วถอนหายใจออกมาพลางขึ้นหลังม้า แล้วทั้งสองคนก็มุ่งฝ่าออกไปยังอุทยานหลวง
เมื่อข้ามผ่านริมทะเลสาบ สถานการณ์ปะทะกันอย่างเลวร้ายตรงนั้นก็เพิ่งจบสิ้นลง
เฟิงเหลียนเซิ่งกลับออกไปแล้ว เหลือเพียงแต่พระสนมเต๋อเฟยที่มือไม้อ่อนแรง กับพวกนางกำนัลและบรรดาขันทีที่ค่อยๆ พยุงกันเดินออกมาจากด้านหลังก้อนหินและต้นไม้พวกนั้น
แขนซ้ายของพระสนมเต๋อเฟยถูกธนูยิงจนเป็นแผลถลอก แผลไม่ใหญ่มากนัก แต่นางใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมาครึ่งชีวิต เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก จึงทำให้นางสติหลุดไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แค่ทรงตัวยืนยังทำไม่ได้ถึงขั้นต้องให้นางกำนัลคอยช่วยประคอง
ฮูหยินฮั่วบาดเจ็บหนักที่สุด ถูกลูกธนูปักเข้าใส่ช่องท้องสองคัน ฮั่วชิงเอ๋อร์สวมกอดนางเอาแน่น หอบหายใจโรยริน
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ปีนกระโดดลงจากหลังม้า ตอนที่กำลังจะเดินไปตอนนั้น ก็เห็นหลัวซืออวี่ที่ประคองฮูหยินหลัวกั๋วกงอยู่ ฉู่สวินหยางจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปปรายตามองนางหนึ่งที