สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 97.3 วางยาฮ่องเต้ ทุ่มเทแรงใจ (3)
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เฟิงเหลียนเซิ่งรู้ดี สำหรับฉู่สวินหยางแล้วเรื่องนี้เป็นปัญหากวนใจที่อยากสลัดให้พ้นตัวใจจะขาด
นางกลับปฏิเสธ? ทั้งยังเฉียบขาดถึงเพียงนั้น?
เฟิงเหลียนเซิ่งพลันไม่ชอบใจ ขณะที่จะเปิดปากพูด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเจือร้องไห้ดังมาจากด้านหน้า “ท่านหญิง! ท่านมาอยู่ที่นี่เองหรือ บ่าวตกใจแทบแย่ เมื่อครู่ที่อุทยานหาท่านไม่เจอ บ่าวคิดว่าท่าน…”
ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน
เห็นเป็นบ่าวคนหนึ่งกำลังวิ่งลัดออกมาจากทางเล็กๆ ในอุทยาน ไม่ทันพูดจาให้เข้าใจก็ถลาเข้ากอดซื่อหรงที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้ม
นางโผล่ออกมากะทันหัน ทั้งไปขวางทางขบวนเสด็จของฮ่องเต้พอดี
หัวคิ้วของฉู่สวินหยางกระตุกเบาๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันใด
เฟิงเหลียนเซิ่งที่อยู่ด้านข้างรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนาง ในใจเกิดความสงสัย หรี่ตาลงมอง ตั้งตารอดูความสนุกตรงหน้า
บ่าวผู้นั้นมิใช่ใครที่ไหน เป็นสาวใช้คนสนิทของฉู่ซินรุ่ย ฮวนเกอ!
นางกระโจนเข้ามาแล้วกอดซื่อหรงไว้เต็มอก
องครักษ์เงาชักดาบทันทีที่รู้ตัว แต่เพราะปฏิกิริยาของฮ่องเต้ว่องไว จึงส่งสายตาห้ามไว้ได้ทัน
ดวงหน้าของฮวนเกอมีแต่คราบน้ำตา เป็นความยินดีหลังจากผ่านพ้นเรื่องร้าย ไม่รอให้ผู้ใดทันตั้งตัว นางก็เงยหน้าขึ้นมองซื่อหรง
กระทั่งได้เห็นดวงหน้านั้นเต็มตา สีหน้านางก็กลายเป็นความตื่นตกใจ เท้าแข็งทื่อค่อยๆ ก้าวออกห่าง เอ่ยด้วยความสับสนว่า “เจ้า… เจ้าเป็นใคร? ทำไมไม่ใช่…”
นางยังไม่ทันกล่าวจบ ทางเดินหินจากอุทยานนั้น ท่านหญิงฉางหนิงฉู่ซินรุ่ยกำลังเร่งร้อนเดินมาโดยมีสาวใช้อีกคนนามว่าชิงเกอช่วยประคองเอาไว้
“ท่าน… ท่านหญิง!” เมื่อเห็นนาง สีหน้าของฮวนเกอกลายเป็นตกตะลึง เบิกตากว้างก่อนจะมองสตรีทั้งสองสลับไปมา
“ขออภัยเพคะฝ่าบาท บ่าวไพร่ไร้มารยาท ล่วงเกินพระองค์เข้า ฉางหนิงสั่งสอนได้ไม่ดีเอง ขอพระองค์ทรงลงโทษ!”
ฉู่ซินรุ่ยเดินเข้ามาหา ไม่พูดพร่ำทำเพลง พลันคุกเข่าลงหน้าพระพักตร์ทันที
พวกนางนายบ่าวร้องรับได้เข้าจังหวะ เรื่องราวเกิดอย่างรวดเร็ว ใครๆ ต่างก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
ฮวนเกอเห็นว่าเจ้านายคุกเข่าลง ก็รีบคุกเข่าตามอย่างรู้งาน แต่ก็ยังเงยหน้าไปมองซื่อหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างไม่เข้าใจ พึมพำว่า “ด้านข้างของคนผู้นั้นเหมือนท่านหญิงอย่างกับอะไรดี บ่าวถึงได้จำผิดเจ้าค่ะ!”
ฉู่ซินรุ่ยถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง
ฮวนเกอพลันร้อนรนโขกศีรษะให้ “บ่าวไร้มารยาท ขอฝ่าบาททรงเมตตา!”
ละครที่ส่งบทร้องรับอย่างสอดประสานเช่นนี้ จะให้ผู้ที่เกิดมาพร้อมโรคหวาดระแวงขั้นรุนแรงอย่างฮ่องเต้ไม่สงสัยเลยได้อย่างไร
พระองค์หรี่ตาแล้วหันหน้าไปมอง เริ่มสำรวจดวงหน้าของซื่อหรงกับฉู่ซินรุ่ย
คำนวณจากเวลา ซื่อหรงติดตามอยู่ข้างกายพระองค์มาไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ ทว่านางเป็นเพียงมีดดาบที่สังหารคนแทนพระองค์เท่านั้น พระองค์จึงไม่เคยมองนางอย่างเต็มตาสักครั้งเดียว
อีกอย่าง แม้องครักษ์เงาจะรับคำสั่งจากพระองค์โดยตรง แต่หลายปีมานี้หลี่รุ่ยเสียงจะเป็นคนสั่งการแทน จึงมีน้อยครั้งมากที่พระองค์จะได้เจอหน้าซื่อหรง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใส่ใจต่อรูปร่างหน้าตาของนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้สังเกตดวงหน้าของสตรีผู้นี้ ทั้งค้นพบว่าด้านข้างของนางเหมือนกับฉู่ซินรุ่ยราวกับแกะ หากว่ายืนอยู่ด้วยกันคงต้องมีสับสนกันบ้าง
ฮ่องเต้พลันเคลือบแคลง แต่ไม่รอให้พระองค์ใคร่ครวญเสร็จ ทางเดินด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่น มีคนอื่นมาสมทบเพิ่มอีก
กลุ่มคนที่มาใหม่มีฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนเดินนำหน้า รายล้อมด้วยองครักษ์เป็นโขยง พร้อมชายที่ถูกเชือกมัดเอาไว้อีกจำนวนหนึ่ง
ฮ่องเต้เพียงเหลือบตามองแวบหนึ่ง ประกายความเคลือบแคลงหายวับ แทนที่ด้วยความเย็นชาว่างเปล่าทันที
พระองค์ยืนมือไพล่หลัง รอให้พวกฉู่ฉีเฟิงเดินเข้ามาใกล้
“ถวายพระพรฝ่าบาท!” ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนก้าวออกมาทำความเคารพ ไม่รอให้พระองค์รับสั่ง ก็ผลักหยางอวิ๋นชิงที่อยู่ด้านหลังออกมา
หยางอวิ๋นชิงซวนเซออกมาข้างหน้า
ตอนที่ถูกฉู่ฉีเฟิงล้อมจับเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สาหัสถึงชีวิต แต่ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล มองแล้วน่าเวทนายิ่ง
รู้แก่ใจดีว่าผู้แพ้ไร้หนทางรอด แต่เขาก็ยังห่วงศักดิ์ศรี ตั้งคอแข็งทื่อ ไม่ยอมแม้จะก้มหัวให้
เจี่ยงลิ่วที่อยู่ด้านหลังถีบเข้าที่ข้อพับของเขาอย่างแรง
หยางอวิ๋นชิงถึงกับขาอ่อน แสยะเสียงใส่ แล้วคุกเข่าลงกับพื้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันตรวจสอบแน่ชัดแล้ว เป็นหยางอวิ๋นชิงคิดทรยศ ปลุกระดมองครักษ์ใต้บัญชาให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน อาศัยจังหวะคืนงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์พาคนลอบเข้ามาแอบซุ่มโจมตี คิดก่อกบฏ วางแผนทำร้ายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่ฉีเฟิงถวายรายงานอย่างเปิดเผยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
สายตาของฉู่สวินหยางจับจ้องอยู่ที่ร่างของฉู่ฉีเหยียน
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนไปหาหลักฐานเพื่อเอาผิดฉู่อี้เจี่ยน คนจึงไม่สมควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ตอนนี้เห็นเขากลับมามือเปล่า
ฉู่สวินหยางรู้สึกเสียดายไม่น้อย…
ดูท่าจะเกิดเรื่องผิดพลาด เขาถึงยังคว้าจุดอ่อนของฉู่อี้เจี่ยนไว้ไม่ได้
เกิดเรื่องใหญ่อย่างการปลุกระดมเช่นนี้ เลือดในวังแทบไหลเป็นสายน้ำ เหตุใดที่ด้านนอกนั่นฉู่อี้เจี่ยนยังไม่คลื่อนไหวแผนต่อไปอีก?
มิเช่นนั้น ต่อให้เขาโชคดีสังหารฮ่องเต้สำเร็จ แต่ถ้าไม่อาจควบคุมวังหลวงได้ สุดท้ายมิใช่ปักชุดแต่งงานให้ผู้อื่นใส่[1]หรือ?
คนผู้นั้นคงไม่ได้แค่อยากก่อความวุ่นวาย ไม่คิดมักมากกว่านี้เลยรึ?
จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็ไม่เข้าใจความคิดของสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนกับฉู่ซินรุ่ย อดจะเหม่อลอยอย่างครุ่นคิดไม่ได้
“ข้าเป็นคนทำเอง แพ้เป็นโจรชนะเป็นราชา ในเมื่อข้าพลาด ข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก” หยางอวิ๋นชิงไม่ร้องขอความเห็นใจ เพียงหัวเราะเสียงเย็น แล้วจ้องหน้าฮ่องเต้อย่างไร้ความเกรงกลัว “จะฆ่าจะแกงอย่างไร พระองค์ก็สั่งมาได้เลย!”
พระพักตร์ของฮ่องเต้ดำทะมึน ดวงตามืดมัวจ้องที่เขา ไม่ตรัสอะไรแม้แต่คำเดียว
น้อยนักจะเห็นสายตาเช่นนี้ของพระองค์ มันมิใช่ความดุดัน แต่เหมือนมองทะลุทุกสิ่ง เมื่อถูกพระองค์จ้องเขม็งก็ทำให้เขารู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งร่าง
——————————————————–
[1] ปักชุดแต่งงานให้ผู้อื่นใส่ เป็นสำนวนหมายถึงตนเองลำบากแทบตาย แต่สุดท้ายกลับยกผลประโยชน์ให้ผู้อื่น