สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 98.4 คนงามเหมือนยาพิษ ไม่อาจถอยกลับ (4)
หากตามเฟิงซวี่กลับมาไม่ได้ ต่อให้รู้สึกไม่ยินยอมอย่างไร…
เขากับเฟิงอี้ก็คงทำได้แค่เป็นตัวประกันอยู่ที่นี่เท่านั้น
นี่เป็นความวุ่นวายภายในของซีเยว่ชัดๆ แต่เพื่อปกป้องตัวเอง พวกเขาสองคนจึงวางทีท่าโอนอ่อน รีบหลบมายืนด้านข้าง ดีกว่าไปนอนแช่น้ำโคลน
เฟิงเหลียนเซิ่งยอมลดฐานะลงมาขนาดนี้แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐานชี้ชัด ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจยืนกรานกัดคนไม่ปล่อย ดังนั้นจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วตรัสว่า “ข้าจะรอคำชี้แจงจากฮ่องเต้หนานฮวาก็แล้วกัน!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เฟิงเหลียนเซิ่งรีบรับคำทันที
สายตาของฮ่องเต้เลื่อนกลับมาอีกรอบ
หัวใจของหยางอวิ๋นชิงบีบรัด กลืนน้ำลายดังเอื้อก “ฝ่า…”
“พาตัวไป!” ฮ่องเต้โบกมือสั่งอย่างอ่อนล้า ไม่คิดซักถามอะไรต่อ
ถามไปถามมาก็มีเพียงวาจาไร้หลักฐาน ไม่มีความคืบหน้าที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย
หยางอวิ๋นชิงอึ้งไป ลนลานคิดร้องขอความเมตตา ฉู่ฉีเฟิงพลันสะบัดมือส่งสัญญาณให้
เจี่ยงลิ่วรีบพาคนเข้ามา มืออุดปากเขา แล้วพาตัวคนในจวนเขาออกไปพร้อมกัน
“เสด็จพ่อคงตกใจมาก รีบกลับไปพักเถอะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่อุทยานทางนั้นลูกจะช่วยจัดการให้เอง” ฉู่อี้อันกล่าว พลางมองหลี่รุ่ยเสียงทีหนึ่ง “ดูแลเสด็จพ่อให้ดี”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำ
ฮ่องเต้ไม่ได้ปฏิเสธ ถูกเขาประคองให้ลุกยืน พระองค์ไม่ได้เดินออกไปด้านนอก แต่กลับมุ่งหน้าไปทางด้านหลังตำหนัก ตรัสว่า “ข้าจะไปดูเต๋อเฟยสักหน่อย พวกเจ้าหมดเรื่องแล้วก็แยะย้ายไปเถอะ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันที่ท้องพระโรงเช้าพรุ่งนี้”
ฉู่อี้อันไม่รอช้า เดินจากไปทันที
เฟิงอี้กับเฟิงเหลียนเซิ่งไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ก็เดินตามไปติดๆ
ฉู่ซินรุ่ยลองหันไปมองฉู่อี้เจี่ยนเป็นการหยั่งเชิงทีหนึ่ง ฉู่อี้เจี่ยนกลับทำเป็นมองไม่เห็นสายตาค้นหาเช่นนั้นของนาง เพียงสูดหายใจลึก แล้วเดินไปหยุดเบื้องหน้าซูอี้กับซื่อหรง
ดวงตาของเขานิ่งสงบเหมือนสายน้ำ ไร้อารมณ์อื่นใดเจือปน แต่จ้องหน้าซื่อหรงอยู่นาน
ซื่อหรงยืนนิ่งเหมือนเหม่อลอย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น
สุดท้าย ฉู่อี้เจี่ยนก็เปิดปากกับซูอี้ที่อยู่ข้างกายว่า “เรื่องในวันนี้ ทำให้ฮูหยินซูตื่นตระหนกแล้ว แม้ข้าจะไม่มีเจตนา แต่ก็เอ่ยขออภัยไว้ตรงนี้!”
“ท่านชายกล่าวหนักแล้ว” ซูอี้เลยยิ้มส่งให้ ตอนที่กำลังจะพูดบางอย่าง ซื่อหรงที่อยู่ด้านข้างก็ดึงชายแขนเสื้อเขาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไปเถอะ!”
พูดจบ ก็เดินนำออกไปในทันที
แววตาของซูอี้เข้มขึ้น หันไปมองฉู่อี้เจี่ยนสองพี่น้องอีกทีหนึ่ง พยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินตามไป
ฉู่อี้เจี่ยนมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสอง แววตาคล้ายจมอยู่กับความคิดบางอย่าง นิ่งเงียบไปนาน
“พี่ห้า…” ตอนนี้ไม่มีคนนอก ฉู่ซินรุ่ยพลันมีท่าทีร้อนใจให้เห็น เดินตามมาจากด้านหลัง แล้วเรียกเขาเบาๆ
ฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้ตอบรับ ทั้งไม่ได้สนใจนาง เพียงสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วเดินจากไป
ฉู่ซินรุ่ยพลันทำอะไรไม่ถูก กัดฟันแน่นเดินตามเขาไป
ฉู่อี้เจี่ยนเดินไวมาก ไม่หันกลับมามองนางสักครั้ง
ฉู่ซินรุ่ยเดินรั้งท้าย ต้องเกือบวิ่งเหยาะๆ ถึงจะไล่เท้าฝีเท้าเขาทัน
นางไม่มีท่าทีโกรธเคืองสักนัด กัดฟันแน่นไม่ยอมให้ตัวเองถูกเขาสะบัดหลุด
ตอนขากลับฉู่อี้เจี่ยนขี่ม้ากลับไป
ฉู่ซินรุ่ยมีคำพูดบางอย่างที่ต้องพูดกับเขาอย่างไม่อาจรอได้ แต่เพราะไม่มีโอกาส จึงได้แต่อดทนไว้ รอคอยให้กลับไปถึงจวน
แต่เหมือนว่าครั้งนี้ฉู่อี้เจี่ยนจะโกรธนางจริงๆ พอกลับถึงจวน ก็โยนแส้ม้าทิ้ง แล้วเดินตรงไปที่เรือนของตนเองทันที
ตอนที่ฉู่ซินรุ่ยลงจากรถม้า มองเห็นเพียงชายเสื้อคลุมของเขาอยู่ไกลๆ
ตอนนี้เลยหลังเที่ยงคืนมาแล้ว ท้องฟ้ามีฝนโปรยลงมาบางๆ
ฮวนเกอหยิบร่มจากในรถม้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง ฝนตกแล้ว เข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะ!”
ฉู่ซินรุ่ยกัดริมฝีปากไม่ส่งเสียง
คนรถเคลื่อนรถม้าผ่านประตูข้างเข้าไป
สาวใช้สองคนยืนอยู่ข้างกายนาง ไม่กล้าเร่งเร้า
ผ่านไปพักใหญ่ ฉู่ซินรุ่ยก็ผลักร่มที่ฮวนเกอกางให้นางออก ก่อนจะสาวเท้าฉับๆ หายไปท่ามกลางละอองฝน
“ท่านหญิง ระวังเปียกฝนเจ้าค่ะ” สาวใช้สองคนรีบไล่ตาม
“ไม่ต้องตามมา!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยห้ามเสียงเย็น ฝีเท้าเลี้ยวหายไปตรงมุมสวนดอกไม้ มุ่งหน้าไปทางเรือนของฉู่อี้เจี่ยน
แสงตะเกียงด้านในกระทบลงบานหน้าต่าง ท่ามกลางคืนแห่งสายฝนเช่นนี้ มองแล้วดูอบอุ่นยิ่งนัก
จวนรุ่ยชินอ๋องกว้างขวางใหญ่โต ระยะทางที่ฉู่ซินรุ่ยเดินมา ทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมด น้ำฝนจากเส้นผมหยดลงบนใบหน้า มันไหลเข้าตา จนนางแทบลืมตาไม่ขึ้น
นางเดินเข้าไปในลาน แต่ไม่ได้เคาะประตูห้องของฉู่อี้เจี่ยน เพียงยกกระโปรงขึ้นแล้วคุกเข่าลงบนแผ่นหินกลางลานด้วยความเงียบเชียบ
อากาศยามค่ำหนาวเหน็บ ฝนเริ่มตกแรงขึ้น กระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย
ร่างบางของสตรีคุกเข่าท่ามกลางม่านฝน ร่างเหมือนถูกบีบให้เล็กลงไปอีก แต่แผ่นหลังกลับตรงแน่ว ไม่มีท่าทีจะล่าถอยหรือน้อยเนื้อต่ำใจ
ฮวนเกอกับชิงเกอยืนกางร่มหลบอยู่หลังประตูเรือนใจร้อนเป็นไฟ แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม…
นิสัยของเจ้านายพวกนางต่างรู้ดี อารมณ์ของท่านชายน้อยพวกนางก็เคยเห็น
แต่ฉู่ซินรุ่ยใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอด แต่เล็กจนโตก็ไม่เคยได้รับความลำบากเช่นนี้ ทั้งสองกลัวร่างกายนางจะรับไม่ไหว จึงร้อนใจไปหมด แต่ทำได้เพียงเฝ้ามองจากไกลๆ เท่านั้น
ภายในห้อง ฉู่อี้เจี่ยนนั่งอยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือ
ตั้งแต่เขาเข้าห้องมาก็เอาแต่หลับตานิ่ง ไม่ทำอะไรสักอย่าง เงาคนสะท้อนลงบนแผ่นหน้าต่าง เป็นภาพที่สงบนิ่งยิ่งนัก ทำให้คนมองรู้สึกอบอุ่นขึ้นหลายส่วน
ทว่าเงาที่สะท้อนบนนั้น มองไม่เห็นคิ้วของเขาที่กำลังขมวดมุ่น พร้อมกับรอยยิ้มโค้งที่กระตุกอย่างเย้ยหยัน
ฉู่ซินรุ่ยคุกเข่าอยู่กลางสายฝน แม้แต่นิ้วมือก็ไม่ขยับ หากมิใช่ว่าน้ำฝนเข้าตา นางคงไม่แม้แต่กระพริบตาด้วยซ้ำ
เป็นเช่นนี้อยู่สองชั่วยาม กระทั่งน้ำที่เจิ่งนองบนพื้นทำให้หัวเข่าและกระโปรงนางเปียกชุ่ม
มีเสียงแกรกดังขึ้น ประตูที่อยู่ตรงหน้าถูกคนผลักออก
ฉู่อี้เจี่ยนในชุดสง่างามสีน้ำผึ้งยืนอยู่หน้าประตูที่บันไดขึ้นบนสุด หลังหยัดตรงแน่ว น้ำฝนที่ไหลจากชายคาตกกระทบชายเสื้อคลุมของเขาจนชื้นเปียก
ฉู่ซินรุ่ยเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเขาผ่านม่านฝนที่โปรยปราย
คุกเข่ากลางสายฝนอยู่สองชั่วยาม ศีรษะของนางรู้สึกหนักอึ้ง แต่ก็กัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอและลังเลออกมาให้เห็น
ฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวนอกห้อง ทว่า…
เขารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
อยู่ด้วยกันมานานปี เขาคุ้นเคยกับนิสัยของนางดี
ฉู่อี้เจี่ยนยืนอยู่ใต้ชายคา ฉู่ซินรุ่ยคุกเข่าอยู่กลางลาน
สองคนสบตากันแต่ไกลๆ ทั้งคงท่าทางนั้นไว้เป็นเนิ่นนาน