สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 99.2 พระราชทานสมรสฉีเหยียน ข้าต้องการให้นางตาย (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 99.2 พระราชทานสมรสฉีเหยียน ข้าต้องการให้นางตาย (2)
หลัวซืออวี่ยืนอยู่ใต้ชายคา ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเคว้งคว้างและเลื่อนลอยเนิ่นนาน
แม้นางจะไม่ได้ถูกฝนตรงๆ แต่กลับถูกละอองน้ำฝนบนชายคากระเด็นลงมากระทบกับร่างจนเปียกไปทั้งร่าง หลังจากนั้นเนิ่นนอน นางจึงหันกายเดินกลับไป บนเส้นผมและเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนถูกละอองน้ำจนเป็นวงสีขาวใหญ่ๆ ซ้ำนางยังไม่รู้ตัว
บนทางเดินฝั่งตรงข้ามนั้น ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงยืนเคียงกัน มองผ่านม่านสายฝนเห็นเงาร่างด้านหลังของนางที่เดินจากไปอย่างใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชัดเจน
สีหน้าของฉู่สวินหยางสงบนิ่งยิ่งนัก ไม่มีความรู้สึกสบสนแม้แต่เสี้ยวเดียว มีเพียงริมฝีปากที่ยกเป็นเส้นขนานเพียงเส้นเดียว “สิ่งของในตำหนักข้างทั้งหมดข้าล้วนตรวจดูแล้ว หากเป็นหยางอวิ๋นชิงหรือฉู่ซินรุ่ยต้องการฆ่าคนปิดปาก แค่เพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถปลิดชีพได้? ไม่จำเป็นต้องหยิบภาพวาดม้วนนั้นมาเป็นอาวุธ เพียงทำให้หลัวกั๋วกงหมดสติไปเท่านั้น”
นางพูดจบ แล้วใช้หางตามองฉู่ฉีเฟิงด้วยแววตาคำถาม
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงเมื่อเทียบกับฉู่สวินหยางนั้นสงบนิ่งกว่าหลายส่วน สบสายตากับนาง พูดขึ้นอย่างไม่แสดงอารมณ์ว่า “เมื่อข้าไปถึงนั้น เขาถูกตีให้สลบนานแล้ว ไม่ใช่ฝีมือของหยางอวิ๋นชิง”
ฉู่สวินหยางยิ้ม
สองพี่น้องต่างกระจ่างแจ้งดีในความจริงของเรื่องนี้ ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้เปิดโปง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉู่สวินหยางกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าปกติว่า “ดูท่าทีหลัวซื่อจื่อแล้ว เขาไม่ได้เตรียมจะบอกเรื่องนี้กับพวกเราอย่างตรงไปตรงมาใช่หรือไม่?”
นางพูดเป็นประโยคคำถาม แต่ทว่าใช้น้ำเสียนงประหลาดใจและคาดเดา
“เมื่อใดกันที่สายตาของเจ้าจะไม่ร้ายกาจเช่นนี้” สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงที่เย็นชาราวกับหน้ากากดูเหมือนจะถูกทำให้ละลายลงในชั่วขณะนั้น นัยต์สีดำสนิทของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ยกมือขึ้นลูบตีนผมของนาง
ฉู่สวินหยางเพียงแต่มองเขา
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาจึงพูดว่า “มีคนลงมือก่อนพวกเรา”
มีคน? ผู้ใดกัน?
นี่ก็ต่างรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
“เป็นข้าที่มองข้ามไป กลับทำให้เขาได้เป็นฝ่ายลงมือก่อน” ฉู่สวินหยางแววตาเย็นชา แววตาทอประกายวาบ
“ช่างเถิด” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว “ในเมื่อเป็นคนทรยศ ความจริงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะดึงพวกเขากลับมาเป็นพวกอีก”
ฉู่สวินหยางยิ้ม และไม่ได้เอ่ยอันใดอีก สองพี่น้องหันกายออกไปพร้อมกัน
หลัวซืออวี่เดินกลับไปจากที่นี่ด้วยร่างไร้วิญญาณ นางเดินไปยังข้างหน้าจนถึงทางเดินจึงฝืนรวบรวมสติกลับมา เปิดประตูเข้าไปปลอบใจฮั่วฮูหยินและฮั่วชิงเอ๋อร์ที่ตำหนักข้าง
ฮูหยินฮั่วไม่รักษาจึงเสียชีวิต หมอหลวงได้ออกไปแล้ว นางกำนัลที่เฝ้าดูอยู่ที่นี่ได้ไปด้านหน้าเพื่อรายงานข่าวนี้ให้กับหัวหน้า
ในเรือนหลังนั้น มีเพียงฮั่วชิงเอ๋อร์และสาวใช้ข้างกายของนางซู่จิ่น
ซู่จิ่นยืนอยู่ข้างๆ หลั่งน้ำตาเงียบๆ
ฮั่วชิงเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างตั่งที่ฮูหยินฮั่วนอนอยู่ ใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าและมือของนาง
ใบหน้าของนางยังมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งดี ครานี้กลับกัดฟันและริมฝีปากไม่ให้ตนเองร่ำอีก แต่ด้วยความที่บีบบังคับตนเองอย่างหนัก มือที่บิดผ้าเช็ดหน้าถึงกับสั่นสะท้าน
ภายในเรือนมีเพียงแสงเทียนที่เคลื่อนไหว บรรยากาศภายนอกสลดหดหู่ นางและซู่จิ่นจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงต่ำ ได้ยินแล้วน่าเวทนายิ่งนัก
หลัวซืออวี่ก้าวเท้าเข้าประตูมา เห็นใบหน้าฮั่วชิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความสับสนในทันใด นิ้วมือกดอยู่บนบานประตู ตัดสินใจไม่ได้ชั่วขณะว่าสมควรจะก้าวเข้าไปหรือไม่
เมื่อซู่จิ่นยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาจึงเห็นนางเข้า จึงเรียกนางเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่หลัว”
“อืม” เวลานี้หลัวซืออวี่จึงได้สติคืนมา นางสงบสติอารมณ์ เดินไปที่เตียงนั้น
ฮั่วชิงเอ๋อร์เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของซู่จิ่น เพียงแต่ตั้งอกตั้งใจทำความสะอาดร่างกายของฮูหยินฮั่ว
หลัวซืออวี่เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ กายนาง ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือไปกุมมือข้างที่สั่นสะท้านของนาง
นิ้วมือของฮั่วชิงเอ๋อร์เย็นราวกับน้ำแข็ง ความเย็นนั้น ราวกับไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่
ประทับลงบนผิวหนัง หลัวซืออวี่อดไม่ได้ที่สะท้านไปทั้งหัวใจ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นกล้ำกลืนอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าหักใจเสียบ้างเถิด”
ร่างของฮั่วชิงเอ๋อร์ทั้งร่างพลันแข็งค้างอยู่ตรงนั้น และไม่รู้ว่านางได้ยินคำพูดของหลัวซืออวี่หรือไม่ ผ่านไปครู่หนึ่งนางกลับโผเข้ามาในอ้อมกอดของหลัวซืออวี่ และร่ำไห้เสียงดังออกมาอีกครั้ง
เสียงร่ำไห้ด้วยความทุกข์ของนางบรรยายไม่ออกถึงความสิ้นหวัง
หลัวซืออวี่เองดวงตาแดงก่ำ คำปลอบโยนนั้นพูดไม่ออก ได้แต่โอบกอดนางไว้เบาๆ และตบหลังนางเบาๆ เป็นการปลอบประโลม
สาวน้อยทั้งสองโอบกอดกัน ไม่มีใครเอ่ยวาจาใดตั้งแต่ต้นจนจบ
ฮั่วชิงเอ๋อร์ร่ำไห้อยู่เนิ่นนาน สุดท้ายราวกับว่าร้องจนน้ำตาแห้งจึงยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงจากอ้อมกอดของหลัวซืออวี่
“ขอบคุณที่ท่านมาดูข้า” ฮั่วชิงเอ๋อร์กล่าว ยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นขึ้นจมูก
หลัวซืออวี่อ้าปากอยากจะพูดอันใด พลันนึกได้ว่าข้างกายยังมีซู่จิ่นยืนอยู่ จึงหันกลับไปสั่งการว่า “เจ้าไปยกน้ำมาถาดหนึ่ง ให้คุณหนูล้างหน้าเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ซู่จิ่นรับคำ รีบก้าวออกไป
รอจนนางออกไปแล้ว หว่างคิ้วของหลัวซืออวี่พลันขมวดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
นางกัดฟันยืนขึ้นมา จากนั้นทิ้งตัวลงคุกเข่าลงต่อหน้าฮั่วชิงเอ๋อร์
ฮั่วชิงเอ๋อร์ตกตะลึง
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจของหลัวซืออวี่มีรายยิ้มอันขมขื่นปรากฏออกมา สายตามองไปยังร่างของฮูหยินฮั่วที่นอนอยู่บนเตียง “เรื่องนี้เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า เวลานี้ทำร้ายให้ฮูหยินฮั่วต้องมาจากไป ข้าพูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ ข้าจะชดใช้ชีวิตแทนฮูหยินฮั่ว ข้า…”
เดิมทีฮั่วชิงเอ๋อร์ถูกการกระทำของนางทำให้ตกตะลึง แต่เมื่อฟังคำพูดข้างหลังจึงกระจ่างแจ้ง
กระบอกตาของนางแดงก่ำ ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น ยกมือขึ้นดึงหลัวซืออว่าลุกขึ้น พูดอย่างอเน็จอนาถว่า “ชดใช้ชีวิตอันใดกันเล่า? หากต้องชดใช้ด้วยชีวิตจริงๆ ก็สมควรเป็นข้าชดใช้ชีวิตให้ท่านแม่ เมื่อวานตอนกลางคืนเมื่ออยู่ที่สวนดอกไม้ หากไม่ใช่ท่านที่ปรากฏตัวออกมาช่วยข้าอย่างทันการณ์ ยามนี้ผู้ที่นอนอยู่ที่นี่คงต้องเป็นข้า ข้าไม่โทษท่าน ทั้งหมดนี้…เดิมทีไม่ใช่ความผิดของท่าน ในเมื่อข้ารับปากท่านแล้ว เรื่องของหลัวกั๋วกงข้าจะปิดปากให้สนิท สำหรับการตายของท่านแม่ข้า…” ฮั่วชิงเอ๋อร์พูดแล้วน้ำตาไหลพรากลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามากดหางตาเอาไว้ จากนั้นพยายามยิ้มอีกครั้งหนึ่ง “เป็นนางที่โชคไม่ดี ข้าไม่โทษผู้ใด ยามนี้นางจากไปแล้ว จะได้ไปพบกับท่านพ่อของข้าในอีกโลกหนึ่ง”
นางพูดเช่นนี้ เป็นเพียงการปลอบใจตัวเองเท่านั้น
หลัวซืออวี่มองนางที่คราบน้ำตาเต็มใบหน้า ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความปวดใจที่เสียดแน่นอยู่ในอก