สะกิดหัวใจนายขี้เก๊ก - บทที่ 14 วัยเด็กที่น่าเศร้าของท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่
นภสรณ์ที่คิดถึงใบหน้างดงามของณัฐณิชา และยังมีสายตาที่มองเธอของธราเทพแล้ว ก็แทบจะอดทนไม่ไหวไปซื้อน้ำกรดมาราดใส่ตัวเธอขวดหนึ่ง
นพนันท์คิดแล้วก็ส่ายหน้า “ถ้าไม่สุดวิสัยจริงๆใช้แผนการนี้ไม่ได้ อันตรายเกินไป ถ้าหากว่าถูกพบเข้า พวกเราสองแม่ลูกต้องแย่แน่ๆ”
“แต่ว่าพวกเขาไปจดทะเบียนสมรสกันแล้ว จะทำอย่างไรดีคะ!” นภสรณ์เอ่ยด้วยความร้อนใจ
“จดทะเบียนสมแล้วก็ไม่ใช่ว่าหย่ากันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลูกคิดว่าแม่บีบบังคับให้ผู้หญิงคนนั้นจากไปแล้วเข้ามาอยู่ในตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติได้อย่างไรกัน”
เอ่ยจบแล้ว นพนันท์ก็ตบเบาๆที่ไหล่ลูกสาว เดินผ่านนอกชานระเบียงตามธราเทพและณัฐณิชาไปทางสวนหลังบ้าน
ธีรศาสนติ์คุณพ่อของธราเทพ กำลังอ่านรายงานในไตรมาสที่แล้วของบริษัทอยู่ในสวนหลังบ้าน
ธราเทพปล่อยมือออกจากไหล่ณัฐณิชา เปลี่ยนเป็นจูงมือเธอมาที่ด้านหน้าคุณพ่อ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพนบนอบว่า “คุณพ่อ นี่คือณิชาครับ”
ธีรศาสนติ์วางโน้ตบุ๊คไว้อีกด้านหนึ่ง แล้วมองไปทางณัฐณิชา
แม้ว่าเขาจะอายุห้าสิบกว่าปี แต่มองดูแล้วยังคงอ่อนเยาว์ และมีความเข้มงวดมาก ณัฐณิชาพอจะรู้แล้วว่าความหยิ่งยโสและเย็นชาบนร่างของธราเทพได้รับการสืบทอดมาจากใคร
และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพ่อสามีที่ท่าทางเคร่งขรึมเช่นนี้ เธอที่เป็นลูกสะใภ้ชั่วคราวยังตื่นเต้นขึ้นมา รู้สึกได้ว่าสายตาของเขายอดเยี่ยมยิ่งกว่าธราเทพ สามารถมองเห็นจิตวิญญาณของเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
สำหรับความคิดหลายๆอย่างที่อยู่ในใจของเธอ ก็คล้ายกับว่าจะถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด
“สวัสดีค่ะคุณลุง” ณัฐณิชาทักทายอย่างมีมารยาท
สำหรับคำเรียก ทั้งสองคนปรึกษากันเรียบร้อยแล้วระหว่างที่เดินทางมา ก่อนที่จะจัดพิธีการแต่งงาน จะไม่เปลี่ยนคำเรียกชั่วคราว และเป็นช่วงเวลาที่จะให้คุณพ่อคุณแม่ได้ปรับตัวด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไรณัฐณิชาก็เป็นลูกสะใภ้ที่หล่นลงมาจากกลางอากาศ พวกเขาไม่แม้จะได้พบหน้ากันสักครั้ง
ธีรศาสนติ์ผงกศีรษะเล็กน้อย “เนื่องด้วยแรงกดดันจากผู้คนในสังคมครั้งนี้ เทพและคุณต้องแต่งงานกันอย่างเร่งรีบ แต่ตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติของพวกเราไม่ทำอย่างขอไปทีแบบนี้ คุณณัฐณิชาวางใจได้ พิธีการที่สมควรจะมีในอนาคต จะไม่ขาดไปแม้แต่อย่างเดียว”
ณัฐณิชาเอ่ยอย่างว่านอนสอนง่าย “ไม่เป็นไรค่ะ ทุกอย่างล้วนฟังการจัดการของคุณลุง”
ดูเหมือนว่าธีรศาสนติ์จะค่อนข้างพอใจต่อท่าทีของเธอ จึงเผยรอยยิ้มน้อยๆออกมา แต่ก็กลับสู่สีหน้าเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยกับธราเทพว่า “แกเห็นการจัดอันดับแกรนด์อิมพีเรียลกรุ๊ปของทวีปเอเชียในปีนี้แล้วหรือยัง”
“เห็นแล้วครับ อยู่ในอันดับที่สอง”
ณัฐณิชากำลังทอดถอนใจ ที่แท้ธราเทพก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย จึงอดยกนิ้วโป้งให้ในใจอย่างมิได้ แต่กลับได้ยินธีรศาสนติ์แค่นเสียงเย็น “อันดับสองนี้ แกก็พอใจมากแล้วหรือ”
ธราเทพก้มหน้า “เปล่าครับ”
ธีรศาสนติ์กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดมากกว่าเดิม “นี่เป็นปีที่สามที่แกรับช่วงต่อบริษัท ระยะเวลาสามปี แกยังไปไม่ถึงอันดับแรก แกคิดว่าผลงานเช่นนี้มันคุ้มค่าที่จะภาคภูมิใจแล้วหรือ”
ธราเทพไม่พูดอะไร ส่วนณัฐณิชาก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำเช่นกัน
“ถ้าหากว่าครั้งหน้ายังไปอยู่ในอันดับหนึ่งไม่ได้ แกก็ไม่ต้องเป็นประธานบริษัทแล้ว ฉันจะแบ่งอำนาจผู้สืบทอดใหม่”
เอ่ยจบแล้ว ธีรศาสนติ์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อเดินไปถึงชานระเบียง ก็เอ่ยกับลุงพ่อบ้านหัสดินว่า “รับรองนายหญิงน้อยให้ดี”
“ครับ คุณท่าน” พ่อบ้านโค้งผงกศีรษะด้วยท่าทางนอบน้อม
ในใจณัฐณิชานั้นรู้สึกราวกับว่านั่งอยู่บนรถไฟเหาะ และปาดเหงื่อแทนธราเทพ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองก็ถูกเอ็ดเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินธีรศาสนติ์เรียกเธอว่า “นายหญิงน้อย” ในตอนนี้ ในใจก็สงบลงเล็กน้อย ดูท่าคุณท่านธีรศาสนติ์ผู้นี้จะค่อนข้างพอใจในตัวเธอ
ณัฐณิชากระตุกเสื้อธราเทพที่ยืนอยู่ที่เดิม “คุณพ่อคุณเข้มงวดมาก”
“ตั้งแต่เล็กเขาก็เห็นผมแล้วขัดตา แม้ว่าผมจะสอบได้ที่หนึ่ง เขาก็ไม่ชมผม ผมชินแล้ว” ธราเทพชะงัก “ไปเถอะ ไปหาคุณปู่ที่ชั้นบนกัน”
ณัฐณิชาอดเห็นใจธราเทพไม่ได้
ต้องรู้ว่า คุณย่าที่รับอุปการะเธอคนนั้นใจกว้างต่อเธอมาก ณัฐณิชาได้คะแนนน้อยนิดมาก็มักจะได้รับการให้กำลังใจจากคุณย่า
เมื่อเทียบกับวัยเด็กของธราเทพ จู่ๆณัฐณิชาก็รู้สึกขึ้นมาว่าตนเองไม่ได้น่าเวทนาขนาดนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ให้อภัยกับธราเทพที่มีท่าทางเย็นชาจนเกือบจะหน้าตายได้ คาดว่าเงามืดในวัยเด็กจะทำให้เกิดความบกพร่องด้านนิสัย
ณัฐณิชาเดินตามธราเทพไปถึงห้องหนังสือที่ชั้นสอง
นายท่านผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะกำลังคัดอักษรด้วยพู่กันอยู่ หลังจากที่ได้ยินเสียง ก็เงยหน้าขึ้นมามองณัฐณิชาและธราเทพ
“คุณคือณิชาสินะ?”
นายท่านผู้เฒ่าวางพู่กันในมือลง เดินมาถึงด้านหน้าณัฐณิชาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มองเธออย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง พลางพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเทพ “เรียกได้ว่าหลานสายตาเฉียบแหลม”