สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 109.3 หลานตัวน้อย (3)
เพราะกู้เจียวยังไม่อยากกลับจวน ทำให้ท่านโหวกู้กับกู้จิ่นอวี้กลับเมืองหลวงล่าช้าไปด้วย
ท่านโหวกู้ที่เดิมทีวางแผนไว้ว่าอย่างช้าที่สุดปลายเดือนหกจะพาแม่นางเหยากับฝาแฝดสองคนพี่น้องกลับเมืองหลวงด้วยกัน ทว่ายามนี้แม่นางเหยากับกู้เหยี่ยนต่างอยู่ที่นี่เพราะกู้เจียว นี่จึงทำให้ท่านโหวกู้กลัดกลุ้มอย่างมาก
คนที่กำลังกลัดกลุ้มยิ่งกว่าก็คือกู้จิ่นอวี้
ซูเฟยรับปากว่าจะจัดพิธีปักปิ่นให้แก่นาง และจะแต่งตั้งนางให้เป็นท่านหญิงในพิธีปักปิ่นนี้ด้วย
ตำแหน่งท่านหญิงนั้นเป็นเกียรติยศอันสูงส่งที่หาได้ยากยิ่งอย่างหนึ่ง ขอแค่เป็นท่านหญิง ภายหน้าต่อให้เรื่องที่ตนไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลกู้ลือออกไป ฐานะทางสังคมก็ไม่มีทางลดต่ำลงเกินไปแน่
ทว่าหากนางกลับเมืองหลวงไปไม่ได้ แล้วจะจัดงานพิธีปักปิ่นได้อย่างไร
กู้จิ่นอวี้ร้อนใจดั่งไฟเผา ริมฝีปากมีตุ่มร้อนในขึ้นมาตุ่มหนึ่งแล้ว
ท่านโหวกู้มาเยี่ยมนาง เห็นนางร้อนในขึ้นถึงเพียงนี้ก็อดสงสารไม่ได้ “พวกเจ้าดูแลรับใช้คุณหนูกันอย่างไร อากาศร้อนเพียงนี้ยังไม่รู้จักลดอาหารเผ็ดร้อนให้นางอีกหรือ”
สาวใช้เอ่ยว่า “ใส่ร้ายกันแล้วเจ้าค่ะท่านโหว อาหารการกินหมู่นี้ของคุณหนูจืดชืดมาก คุณหนูมีเรื่องกลัดกลุ้มอัดแน่นอยู่ในใจจึงได้ร้อนในเจ้าค่ะ”
กู้จิ่นอวี้ถอนใจเอ่ยว่า “พวกเจ้าอย่ามาพูดเหลวไหล ออกไปกันก่อน”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้ออกไปกันแล้ว
กู้จิ่นอวี้เอ่ยกับท่านโหวกู้ว่า “ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ”
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหลวไหล เจ้ามีเรื่องกลุ้มใจชัดๆ หมู่นี้เจ้าไม่ค่อยยิ้มเลย”
กู้จิ่นอวี้หลุบตาลง “ลูกแค่คิดถึงท่านย่า ท่านย่าอายุมากแล้ว ปีก่อนก็ล้มไปหนหนึ่ง แม้จะหายดีแล้วแต่ร่างกายกระดูดกระเดี้ยวคงไม่เหมือนเมื่อก่อนแน่ ลูกไม่รู้ว่ายังสามารถแสดงความกตัญญูต่อท่านย่าได้อีกเท่าใด”
ประโยคนี้สัมผัสไปถึงดวงใจท่านโหวกู้ ยามปกติท่านโหวกู้เป็นคนกตัญญู ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตนี้เหล่าฮูหยินก็เหลือแค่ลูกสองคนอย่างเขากับซูเฟยเท่านั้น
ซูเฟยเข้าวังหลวง ปีหนึ่งเหล่าฮูหยินได้พบนางสักครั้งจึงยากนัก แถมลูกชายอย่างตนยังไม่อาจติดตามคอยดูแลรับใช้มารดาได้ คิดดูแล้วล้วนอกตัญญูกันหมด
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้ว ตัดสินใจไปเกลี้ยกล่อมแม่นางเหยาอีกครั้ง
ใครจะรู้ว่าแม่นางเหยาจะใจแข็งเหมือนหิน “ข้าไม่กลับไป เหยี่ยนเอ๋อร์ก็ไม่กลับ”
ท่านโหวกู้จุกในลำคอ “ท่านแม่ไม่ได้พบเหยี่ยนเอ๋อร์มากี่ปีแล้ว”
แม่นางเหยาเอ่ยว่า “แต่นางก็ไม่อยากพบเหยี่ยนเอ๋อร์เช่นกัน”
ท่านโหวกู้แย้งกลับไปว่า “ท่านแม่ไม่อยากพบเหยี่ยนเอ๋อร์มากี่ครั้งแล้ว เหยี่ยนเอ๋อร์เป็นหลานแท้ๆ ของนาง นางรักเขาจะตาย”
แต่รักไม่เท่าหลายชายสุดรักทั้งสามก็เท่านั้น
อดีตโหวฮูหยินกับเหล่าฮูหยินอยู่ตระกูลเดียวกัน แบ่งตามอาวุโสแล้วต้องเรียกเหล่าฮูหยินว่าป้า ทั้งสองตระกูลแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันเรียกได้ว่าญาติดองกับญาติ เหล่าฮูหยินย่อมลำเอียงรักลูกของนางมากกว่าอยู่แล้ว
ผนวกกับลูกชายทั้งสามกำพร้าแม่ไปตั้งแต่แรก เหล่าฮูหยินจึงรักใคร่เอ็นดูมากนัก
พวกเขาสามคนเกิดจากแม่นางเหยาที่เหล่าฮูหยินดูถูก แม่นางเหยาคลอดกู้เหยี่ยนที่มีโรคประจำตัวออกมา เหล่าฮูหยินยังคิดว่าร่างกายแม่นางเหยามีปัญหาเอง ทำให้หลานชายตระกูลกู้พลอยเป็นไปด้วย
เหล่าฮูหยินเฉยเมยต่อกู้จิ่นอวี้มาตั้งแต่แรก แต่กู้จิ่นอวี้ช่างโดดเด่น สร้างชื่อเสียงให้แก่จวนโหวมากนัก ซูเฟยก็ให้ความสำคัญกับนาง เหล่าฮูหยินจึงค่อยๆ มองกู้จิ่นอวี้ใหม่
คำโต้แย้งไม่กี่ประโยคของท่านโหวกู้ยังหนักแน่นไม่พอ เขากระแอมแล้วเอ่ยว่า “แต่กู้จิ่นอวี้ใกล้จะปักปิ่นแล้ว ตอนที่นางทำพิธีปักปิ่นมารดาจะไม่อยู่ข้างกายได้หรือ”
แม่นางเหยาเอ่ยว่า “เรื่องนั้นทำที่หมู่บ้านก็เหมือนกัน”
ท่านโหวกู้เอ่ยว่า “ข้าไม่อาจอยู่ที่หมู่บ้านตลอดไปได้นะ แม่อยู่ พ่อก็ต้องอยู่”
แม่นางเหยาครุ่นคิด “เอาอย่างนี้สิ ท่านกลับเมืองหลวงไปก่อน ค่อยกลับมาวันปักปิ่น”
ท่านโหวกู้ “…”
อยากจะพาภรรยากับลูกกลับเมืองหลวงเหตุใดจึงได้ยากเย็นนักนะ
ท่านโหวกู้ใช้มารยาร้อยเล่มเกวียน แม่นางเหยาก็ยังไม่ยอม
ท่านโหวกู้ “ต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมกลับเมืองหลวง”
แม่นางเหยาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจียวเจียวกลับ ข้าก็กลับ”
ท่านโหวกู้ เด็กคนนั้นจะกลับไปได้อย่างไร!
กู้จิ่นอวี้เอาน้ำแกงโสมมาให้แม่นางเหยา จึงได้ยินทั้งสองคนสนทนากันอยู่ตรงหน้าประตูโดยไม่ได้ตั้งใจ
สาวใช้ก็อยู่ด้วย
สาวใช้คนสนิทรับใช้ข้างกายกู้จิ่นอวี้รู้ตัวตนที่แท้จริงของกู้เจียวกับนางแล้ว
สาวใช้เอ่ยทวงความเป็นธรรมให้แก่เจ้านายตนว่า “เหตุใดคุณหนูใหญ่กลับเมืองหลวง ฮูหยินจึงจะยอมกลับตามเล่าเจ้าคะ หรือว่าคุณหนูรองไม่ใช่ลูกของฮูหยินหรือไร หลายปีมานี้คนที่กตัญญูรู้คุณต่อฮูหยินก็เป็นคุณหนูรองนะ เจ้าคะ ฮูหยินลำเอียงเกินไปแล้ว!”
กู้จิ่นอวี้ถือน้ำแกงโสมที่อยู่ในถาดเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยคำใด
สาวใช้เอ่ยอย่างน้อยใจในความไม่เป็นธรรมว่า “อากาศร้อนเช่นนี้ คุณหนูรองยังเข้าครัวต้มน้ำแกงโสมให้ฮูหยินด้วยตัวเอง มือโดนลวกจนเป็นแผลหมดแล้ว คุณหนูใหญ่คนนั้นทำอะไรบ้าง มาถึงก็ทำร้ายจนฮูหยินลำเอียงเช่นนี้…”
“พอได้แล้ว นางเป็นพี่สาวข้า นางลำบากมามากนัก ท่านแม่สงสารนางก็สมควรแล้ว” กู้จิ่นอวี้เอ่ยจบก็จากไปด้วยสีหน้าทะมึน
หลายวันมานี้ ที่จวนล้วนไม่มีใครเอ่ยเรื่องกลับเมืองหลวงกันอีก หมู่บ้านคล้ายกลับมามีวันคืนอันเงียบสงบและสงบสุขอีกครั้ง
จนกระทั่งปลายเดือน รถม้าคู่หนึ่งมาจอดเทียบที่หมู่บ้านจึงได้ทำลายความเงียบสงบหลายวันนี้ของหมู่บ้านไป
ท่านโหวกู้สวมชุดราชการ ปรับสีหน้าให้เรียบร้อย ก่อนจะไปต้อนรับอีกฝ่ายที่หน้าประตูใหญ่ของหมู่บ้านด้วยตัวเอง
องครักษ์หลายสิบนายเรียงแถวกัน นำหน้าด้วยชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวตลอดร่างคนหนึ่งที่ค่อยๆ ลงจากรถม้าคันหนึ่งที่พ่วงม้าสี่ตัว
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวราวหิมะ บริสุทธิ์และสูงส่ง
ท่านโหวกู้สะบัดแขนเสื้อกว้างของชุดราชการคราหนึ่ง ก่อนเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งประสานมือคำนับให้ “กระหม่อมถวายคำนับอันจวิ้นอ๋อง!”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอันจวิ้นอ๋องยกมือขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างเยือกเย็นและเกรงอกเกรงใจว่า “ติ้งอันโหวไม่ต้องมากพิธี ข้ากับน้องสาวแค่ออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ครานี้เร่งรุดกลับเมืองหลวงไปสอบขุนนางระดับมณฑล ผ่านที่นี่พอดี จู่ๆ ก็มารบกวนถึงที่ หวังว่าอันติ้งโหวจะอภัยด้วย”
ท่านโหวกู้ยิ้มเอ่ยว่า “อันจวิ้นอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว อันจวิ้นอ๋องกับน้องสาวมาเยี่ยมเยือนกันได้นับเป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่ง! อากาศร้อนนัก อันจวิ้นอ๋องกับคุณหนูจวงเข้าไปในหมู่บ้าน ไปพูดคุยกันในห้องดีกว่า”
อันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ผินหน้าไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับรถม้าด้านหลังว่า “ยังไม่รีบลงรถมาอีก”
ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น แม่นางน้อยท่าทางสดใสซุกซนนางหนึ่งชะโงกหน้าออกมา ดวงตากลอกไปมาสองหน คล้ายสนใจใคร่รู้ จากนั้นจึงกระโดดลงมาโดยการจับพยุงของคนรับใช้
นางมาหยุดอยู่ข้างกายอันจวิ้นอ๋อง “พี่ชาย! ที่นี่คือหมู่บ้านที่มีน้ำพุร้อนหรือ”
“คารวะติ้งอันโหวก่อน” อันจวิ้นอ๋องบอกน้องสาว
แม่นางน้อยเบ้ปาก ทำท่าทำทางให้ดีแล้วคำนับให้ท่านโหวกู้
ตำแหน่งของท่านโหวกู้อยู่ใต้อันจวิ้นอ๋อง แม้แม่นางน้อยจะเป็นน้องสาวของเขา แต่ก็ไร้บรรดาศักดิ์ใด ว่ากันตามกฎธรรมเนียมแล้วควรคำนับให้ท่านโหวกู้
แต่ทว่า หากไม่พูดถึงเรื่องธรรมเนียมแล้ว ฐานันดรของแม่นางน้อยสูงส่งยิ่ง แม้จะต้องคำนับให้เพราะความน่าเกรงขามของพี่ชาย แต่กิริยาท่าทีกลับไม่ค่อยมีความเคารพมากนัก
ท่านโหวกู้แย้มยิ้มทำเป็นไม่เห็น แล้วพาสองพี่น้องเข้าหมู่บ้านไปด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ภายในหมู่บ้าน แม่นางเหยากับกู้จิ่นอวี้ก็ได้ข่าวคราวมาเช่นกัน พวกนางเป็นสตรีในห้องหอ ไม่สะดวกออกไปต้อนรับข้างนอก จึงคำนับต้อนรับอันจวิ้นอ๋องที่ห้องรับแขกในเรือนทิงเทา
แม่นางเหยาออกจากเมืองหลวงมานานหลายปี ไม่สนใจกับสถานการณ์ของเมืองหลวง และไม่เคยได้ยินเรื่องอันจวิ้นอ๋องผู้นี้มาก่อน กู้จิ่นอวี้จึงเล่าเรื่องตำนานชีวิตของอันจวิ้นอ๋องผู้นี้ให้นางฟังสั้นๆ อย่างใจเย็นว่า
“เขาเป็นหลานชายสายตรงของราชครูจวง ปีนี้อายุแค่สิบแปดเท่านั้น”
“อายุสิบแปดก็แต่งตั้งเป็นอ๋องแล้วหรือ” แม่นางเหยาแปลกใจไม่น้อย ต่อให้เป็นองค์ชายหรือชินอ๋องก็น้อยนักที่จะแต่งตั้งเร็วเช่นนี้
กู้จิ่นอวี้ส่ายหน้า “เขาไม่ได้โดนแต่งตั้งเป็นอ๋องตอนสิบแปด เขาแปดขวบก็โดนแต่งตั้งแล้วเจ้าค่ะ”
ทว่า การแต่งตั้งนี้กลับไม่ใช่ความโชคดีของเขา ตรงกันข้าม เป็นความโชคร้ายของเขาเลยต่างหาก
เมื่อสิบปีก่อน แคว้นจ้าวกับแคว้นเฉินทำศึกใหญ่กัน แคว้นจ้าวพ่ายแพ้ แคว้นเฉินเสนอว่าให้ใช้รัชทายาทแคว้นจ้าวมาเป็นตัวประกัน ฮ่องเต้หักใจยกโอรสให้ไม่ได้ พวกขุนนางก็พากันคัดค้านหลายหน ตอนนั้น ราชครูจวงจึงเสนอตัวขึ้น ยินดีให้หลานชายสายตรงของตัวเองที่ยอดเยี่ยมที่สุดไปเป็นเชลยที่แคว้นเฉินแทนองค์รัชทายาท
หากเป็นลูกหลานของขุนนางใหญ่คนอื่น แคว้นเฉินคงปัดตกไม่เห็นด้วย แต่ตระกูลจวงเป็นตระกูลสายของมารดาไทเฮา ราชครูจวงเป็นพี่ชายของไทเฮา หลานชายสายตรงของเขาก็คือหลานชายของไทเฮา
ทุกคนต่างรู้ดีว่าจวงไทเฮาอยู่หลังม่านฟังการว่าราชการมานานหลายปี อำนาจล้นฟ้า อำนาจที่แท้จริงสูงยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก ใช้หลานชายของนางมาเป็นเชลย ไม่ด้อยไปกว่ารัชทายาทเท่าใดนัก
ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้หลานชายสายตรงของราชครูจวงเป็นอันจวิ้นอ๋อง ใช้ฐานันดรอ๋องเข้าแคว้นเฉินไปเป็นเชลย
จนกระทั่งเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองแคว้นทำสงครามกันอีกครั้ง ครานี้แคว้นเฉินพ่ายแพ้ ในที่สุดอันจวิ้นอ๋องจึงได้กลับมาแคว้นจ้าว
เมืองหลวงลือเลื่องคุณูปการของอันจวิ้นอ๋องกันไม่น้อย กู้จิ่นอวี้ล้วนได้ยินมา แต่ไม่ได้เห็นตัวคนเป็นๆ เลยสักครั้ง
นางสนใจใครรู้อยู่ในใจ แต่บนสีหน้ากลับเคารพและรอบคอบมีมารยาท ไร้ซึ่งความเกินเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งท่านโหวมาถึงห้องรับแขกในที่สุด แม่นางเหยากับกู้จิ่นอวี้จึงได้คำนับให้อันจวิ้นอ๋อง
แม่นางเหยาเอาแต่หลุบตาลงอยู่ตลอด กู้จิ่นอวี้อย่างไรเสียก็ยังอายุน้อย ต่อให้สีหน้าทำตามธรรมเนียมได้ดีเพียงใด ก็ข่มความสนใจใคร่รู้ไว้ไม่อยู่ นางจึงเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง
จากนั้นนางพลันนิ่งอึ้งไป
บนโลกนี้มีบุรุษรูปงามบุคลิกดีเช่นนี้ได้อย่างไร
สูงส่งสุขุมไม่หยิ่งผยอง สง่างามลึกซึ้ง กิริยาท่าทางล้วนสูงส่ง ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนไม่ยุ่งแดนโลกีย์ด้วย
“นี่คือภรรยากระหม่อมแม่นางเหยา นี่คือลูกสาวคนเล็ก” ท่านโหวกู้แนะนำ
อันจวิ้นอ๋องพยักหน้าน้อยๆ “กู้ฮูหยิน คุณหนูกู้”
คุณหนูจวงเดินตามมา “เจ้าคือกู้จิ่นอวี้รึ ข้ารู้จักเจ้า!”
กู้จิ่นอวี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย
แม่นางเหยากับท่านโหวกู้ก็มองไปยังคุณหนูจวงอย่างนิ่งอึ้งเช่นกัน
คุณหนูจวงเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ลุงสี่ของข้าเคยชื่นชมลายมือเจ้าให้ฟัง บอกว่าในบรรดาคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับข้า ลายมือเจ้าเขียนได้สวยที่สุด!”
ลุงสี่ของคุณหนูจวงก็คือจวงเซี่ยนจือผู้ว่าเมืองผิงเฉิง
คุณหนูจวงยิ้มเย็นเยียบ “เฮอะ เอาพู่กันมา! ข้าจะแข่งกับเจ้า!”