สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 11 ร่วมบ้าน
กู้เอ้อซุ่นถูกกู้เจียวถีบจนล้มลุกคลุกคลาน
แม้ตำแหน่งของเขาในตระกูลกู้จะสู้ต้าซุ่นไม่ได้ แต่ก็แม่นางหลิวก็ประคบประหงมเลี้ยงดูเขาจนเติบโต ไม่เคยแม้แต่จะเรียกให้เขาไปทำไร่ทำนา มีแต่จะให้อ่านหนังสืออยู่ในห้องเอาเยี่ยงอย่างกู้ต้าซุ่น
อ่านเข้าหัวบ้างหรือไม่ มีเพียงสวรรค์ที่รู้ แต่ร่างของเขาที่กระเด็นออกมาในตอนนี้คือเรื่องจริง
เขาหมอบอยู่บนพื้น แน่นิ่งไปอยู่นานสองนานก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
วันนี้นางบ้านี่เกิดคลั่งอะไรขึ้นมา ถึงกลับกล้ายกเท้าถีบเขา เขาอยากโถมเข้าไปตบบ้องหูนางเหลือเกิน แต่เขาไม่ยอมรับหรอกนะ ว่าฝ่าเท้าของนางเมื่อครู่ทำเขาอกสั่นขวัญแขวน
“เจ้า เจ้า เจ้า…ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ!” เขาขู่ทิ้งท้าย ก่อนจะกุมท้องวิ่งหนีไป
กู้เจียวลงกลอนประตูแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป เหลือบไปเห็นเซียวลิ่วหลังยืนมองตนอยู่ที่กลางโถง แววตากำลังคาดเดาไปต่างๆ นานา
นางคิดอยู่นานสองนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เขาล้มลงไปเอง”
เซียวลิ่วหลัง “…”
ฝั่งตระกูลกู้ที่กำลังรอกู้เอ้อซุ่นพาตัวกู้เจียวมาสั่งสอน กลับกลายเป็นว่ามีกู้เอ้อซุ่นเจียวกลับมาเพียงคนเดียว แถมยังสภาพสะบักสะบอมเดินกุมท้อง ราวกับถูกคนรุมกระทืบมา
แม่นางหลิวรีบปรี่เข้าไปหา “เอ้อซุ่น เจ้าเป็นอะไรไป นางตัวดีนั่นเล่า”
กู้เอ้อซุ่นใส่สีตีไข่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูเรือนของกู้เจียว “…ข้าตั้งใจเกลี้ยกล่อมให้นางมาอธิบายเรื่องราวให้กระจ่างแจ้ง มาขอโทษพี่ใหญ่ แต่นางไม่ฟัง แถมยังถีบข้าอีก ข้าเห็นนางเป็นน้องสาว จึงไม่ได้ตอบโต้…”
แม่นางหลิวได้ยินดังนั้นก็โมโหควันออกหู “เจ้าเป๋นั่น! ภรรยาเลี้ยงดูตัวเองแท้ๆ! ยังปล่อยให้นางลงไม้ลงมือกับพี่ชายตัวเองได้!”
หากเทียบกันแล้วยามนี้แม่นางโจวนั่นนิ่งสงบกว่ามาก
นางตัวดีนั่นกล้าลงมือแม้กระทั่งมั่งกับต้าซุ่น มีหรือเอ้อซุ่นจะรอดจากเงื้อมมือ
ทว่าในใจสงสัยอยู่ไม่น้อย พักนี้นางตัวดีนั่นดูไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
“มีอย่างที่ไหนกัน!” แม่นางหลิวเดือดดาลที่ลูกชายโดนทุบตี ถลกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะฟาดกู้เสี่ยวซุ่นที่อยู่ข้างกัน “เจ้าไปเดี๋ยวนี้! ไปสั่งสอนเจ้าเป๋นั่น! ล้างแค้นให้พี่ชายเจ้า!”
“ข้าไม่ไปหรอก” กู้เสี่ยวซุ่นกลอกตาใส่กู้เอ้อซุ่น “ใครจะไปรู้ว่าเขาทำอะไรไว้”
กู้เอ้อซุ่นเอ่ยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น! ข้าพูดกับนางดีๆ! ใครจะไปรู้ว่านางจะถีบข้าแบบนั้น ข้าว่าแล้วว่านางต้องเป็นคนสติไม่สมประกอบ เป็นคนบ้า เป็นตัวซวย!”
“เจ้าด่าใคร” กู้เสี่ยวซุ่นลุกพรวดขึ้นด้วยความเดือดดาล
กู้เอ้อซุ่นรีบหนีไปหลบอยู่ด้านหลังแม่นางหลิว
“เจ้ายังจะแก้ต่างแทนนางตัวกาลกิณีนั้นอีก! ผู้ใดเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้ากันแน่!” แม่นางหลิวโมโหจนอยากจะฟาดกู้เสี่ยวซุ่น เพียงแต่นายใหญ่กู้ก็อยู่ด้วย นางจึงไม่กล้าลงมือตีหลานชายของเขา
นางหันไปส่งสายตาให้กับสามีของตนเอง “ท่านก็พูดอะไรหน่อยสิ!”
กู้ฉังลู่นะหรือจะกล้าเอ่ยปากอะไร ตอนที่นางตัวดีนั่นไม่มากินข้าวหลายวัน ก็ไม่เห็นจะมีใครห่วงหาถามไถ่นาง แต่คราวนี้กลับรู้ว่าต้องไปเอาผิด
เขาไม่อยากไป
ไม่ใช่ว่าเข้าข้างกู้เจียวแต่อย่างใด แต่ในบรรดาสามพี่น้อง เขานั้นขี้ขลาดที่สุด ตอนที่น้องสามเกิดเรื่อง เขาเองก็อยู่ข้างกายน้องสาม หากเขาดึงตัวน้องสามไว้ได้ น้องสามคงไม่ต้องตาย
ทว่าน้ำหลากนั้นไหลเชี่ยวนัก เขาตกใจจนสติแตก ทิ้งน้องสามไว้แล้ววิ่งหนีไป
เรื่องนี้เขาไม่กล้าบอกใคร มีเพียงท่านพ่อเท่านั้นที่รู้
เขารู้สึกผิดกับครอบครัวของน้องสาม
“ฉังไห่” นายใหญ่กู้เรียกลูกชายคนโต “เจ้าแวะไปดูเสียหน่อย”
กู้ฉังไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ กู้เจียวสติไม่ดี ข้าว่าคราวนี้ก็ปล่อยผ่านไปเสียเถิด จะได้ไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่โตให้ชาวบ้านนินทา ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องสามของเรานะขอรับ”
แม่นางหลิวเดือดดาล “จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร คนที่เสียความรู้สึกมิใช่ต้าซุ่นหรอกหรือ ไม่เห็นหรือไรว่าเอ้อซุ่นโดนถีบเสียจนเป็นแบบนี้”
กู้เอ้อซุ่นกุมท้องอย่างน่าเวทนา
นางตัวซวยนั่นเท้าหนักเอาการจริงๆ จนถึงยามนี้เขายังเจ็บไม่หาย
นายใหญ่กู้หน้านิ่วดูลังเล
กู้ฉังไห่เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ หากเรื่องบานปลาย ย่อมไม่ดีกับชื่อเสียงของต้าซุ่น”
จะว่าไปแล้วคนที่โดนถีบคือกู้เอ้อซุ่น ไม่ใช่กู้ต้าซุ่น กู้ต้าซุ่นก็แค่ถูกกู้เจียวฉีกหน้าต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน ถึงจะขายหน้าก็จริง แต่ประการแรกกู้ต้าซุ่นก็ไม่ได้เจ็บตัว ประการที่สองเขาก็ยังไปสอบทัน ไม่มีความจำเป็นต้องอาละวาดให้เรื่องราวใหญ่โต เสื่อมเสียชื่อเสียงอันดีงามของตัวเอง
ทันใดนั้นกู้ต้าซุ่นก็นึกขึ้นได้ สำหรับคนเรียนหนังสือนั้น ชื่อเสียงสำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้นตระกูลกู้คงไม่มีทางบังคับขู่เข็ญให้เซียวลิ่วหลังแต่งงานเข้าเรือน ชื่อเสียงของเขาจะป่นปี้เพียงเพราะเรื่องนี้ไม่ได้
เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ช่างเถิดขอรับท่านปู่ น้องสาวสติไม่สมประกอบ หากเอาเรื่องนาง พวกเราก็จะยิ่งดูเหมือนคนไม่มีเหตุผล”
แม่นางหลิวเดือดจนแทบลมจับ แล้วเหตุใดถึงไม่พูดตั้งแต่แรก หากไม่เอาความอย่างที่ว่าจริง แล้วเหตุใดยามกู้เอ้อซุ่นออกไปลากตัวนางถึงไม่ห้ามไว้!
นายใหญ่กู้พึงพอใจกับคำพูดของหลายชายคนโตอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าเป็นคนมีเหตุมีผล
เอาอย่างพี่ใหญ่เจ้าเสียบ้าง อย่าได้ถือโทษเอาความกับเด็กบ้านั่น ให้เสียเกียรติพี่ชายเจ้า”
แน่นอนว่าประโยคหลังนั้นเขาพูดกับกู้เอ้อซุ่น
“เจ้าอีกคน อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวาย พาลให้เสียชื่อเสียงพี่ใหญ่เจ้า”
กู้เสี่ยวซุ่นมีหรือจะรอด
กู้เสี่ยวซุ่นฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด
…
กู้เจียวไม่รู้เลยว่าตระกูลกู้โกลาหลวุ่นวายเพราะตน
วันนี้เธอหาเงินมาได้นิดหน่อยยามเข้าอำเภอ จึงซื้อของกลับมาไม่น้อย และใช้ของหมดไปมากเช่นกัน ยาชาหมดไปหนึ่งหลอด ยาห้ามเลือดก็หมดไปอีกสองหลอด ทั้งยังมีไหมเย็บแผลรวมถึงยาทาแผลภายนอกอื่นๆ
กู้เจียวหอบเกลือ โป๊ยกั๊ก ผักชีล้อมและวัตถุดิบทำอาหารอื่นๆ เข้าครัวไปก่อนจะต้มน้ำ สุดท้ายก็ก่อฟืนจุดกระถางไฟในห้องครัว
กู้เจียวหิ้วกระถางไฟไปให้เซียวลิ่วหลัง
ใกล้เดือนสิบสองแบบนี้ ยามกลางคืนหนาวนัก นางเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำได้ แต่เซียวลิ่วหลังกลับต้องจุดตะเกียงอ่านหนังสือ บวกกับแผลที่ขาเขาไม่ควรโดนอากาศหนาว
ประตูห้องปิดสนิท กู้เจียวเคาะประตู “ข้าเอง”
“อืม” เซียวลิ่วหลังขานรับ
กู้เจียวผลักประตูเข้าไป
เซียวลิ่วหลังกำลังโน้มตัวคัดหนังสือบนโต๊ะ ข้างมือมีเพียงตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวง ส่องแสงสลัว
กู้เจียววางกระถางไฟลงบนพื้น เดินไปยังตะเกียงน้ำมันแล้วปรับแสงไฟให้สว่างที่สุด นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปหยิบตะเกียงน้ำมันที่ห้องของตัวเองมา
“ไฟมืดนัก ประเดี๋ยวจะปวดตาเอา”
แววตาของเซียวลิ่วหลังไหววูบ “กระถางไฟเจ้าเอาไปใช้เถิด”
“ข้าหลับแล้วก็คงไม่หนาว” กู้เจียวตอบ
ชะงักไปครู่หนึ่งราวกับนึกอะไรบางอย่างออกแล้วพูดขึ้น “ก่อนนอนข้าขอเข้ามาเพิ่มฟืนในห้องเจ้าได้หรือไม่”
“…อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า ขยับตัวนั่งหลังตรง คัดหนังสือในมือต่อ
กู้เจียวรู้ว่าเขาคัดหนังสือเพื่อหาเงิน แม้จะได้เงินน้อยนิด เดื่อนหนึ่งได้เพียงสองตำลึง แต่ตระกูลกู้ก็ยังหน้าไม่อายขอจากเขาไปอีกหนึ่งตำลึง พูดเสียสวยหรูว่านำไปจ่ายอาหารให้กับเจ้าของร่างเดิม
เจ้าของร่างเดิมไม่รู้ว่าตัวเองจ่ายเงินค่าข้าวปลาอาหารให้กับตระกูลกู้ ทึกทักเอาเองว่าตระกูลกู้ดีกับตนจากใจจริง
ว่ากันตามตรง เซียวลิ่วหลังก็ไม่ชอบขี้หน้าเจ้าของร่างเดิมสักเท่าไหร่ แต่นั่นเป็นเพราะทั้งสองคนไม่ถูกกัน ไม่ใช่เพราะเซียวลิ่วหลังเป็นคนไม่ดี
กู้เจียวนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องให้เงินตระกูลกู้อีกต่อไปแล้ว จากนี้ไปข้าจะกินข้าวที่บ้าน”
พู่กันในมือของเซียวลิ่วหลังชะงักไป
กู้เจียวหอบชุดกระโปรงและเสื้อผ้าที่ยังไม่แห้งดีออกมาผิงไฟ
นางทำทุกอย่างอย่างเบามือเบาเท้า แม้แต่หายใจยังเสียงแผ่วเบา หากเซียวลิ่วหลังไม่เหลือบไปเห็นนางอยู่หลายครา คงไม่รู้ตัวว่ามีอีกใครอีกคนหนึ่งอยู่ในห้อง
เมื่อผิงไฟเสื้อผ้าเรียบร้อย ครั้นจะตั้งท่าเดินออกไป นางก็โพล่งขึ้นพูดกับเขา
“ว่าแต่ สหายของเจ้าชื่ออะไรหรือ”
“เฝิงหลิน” เซียวลิ่วหลังตอบ
เซียวลิ่วหลังคัดหนังสือถึงดึกดื่น เมื่อตื่นมาก็พบว่ากู้เจียวผิงไฟเสื้อผ้าของเขาจนแห้ง ทั้งยังพับเก็บเป็นระเบียบวางไว้บนเก้าอี้
เขาหยิบเสื้อขึ้นมาหมายจะเก็บใส่ตู้ แต่ก็พบว่ามีรองเท้าคู่หนึ่งวางอยู่ข้างใต้