สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 113 รู้จักกัน
กู้เจียวเดินออกไป หันไปทางหญิงชราที่กำลังกอดขวดโหล แล้วรีบแย้ง “ข้าบอกแล้วไงว่ากินได้แค่สามเม็ดน่ะ”
“ข้ากินไปแค่สามเม็ดเองนะ!” หญิงชราเบ้ปาก
กู้เจียวชี้นิ้วไปที่ขวดโหล “เห็นๆ อยู่ว่าหายไปตั้งหกเม็ด”
“ฝีมือเขาต่างหาก!” หญิงชราลากกู้เสี่ยวซุ่นมาเอี่ยวด้วย
เสี่ยวซุ่นที่กำลังผ่าฟืนอยู่เป็นอันทำหน้างงงวย เกิดอะไรขึ้น เขากินอะไรเข้าอีกแล้วรึ
กู้เจียวหยิบเงินสะสมของหญิงชราออกมาอย่างไม่ใยดี ซ้ำยังคุ้ยของที่นางแอบเก็บไว้ตามจุดต่างๆ ด้วย
หญิงชราทำหน้าดำคร่ำเครียด
อันจวิ้นอ๋องได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ก็เริ่มใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
…เสียงของไทเฮารึ
แต่ตอนเขาไม่สามารถมองเห็นได้
แต่ก็ไม่เป็นไร พอฟ้าสาง ก็คงมองเห็นชัดเอง
ขณะที่กู้เจียวยังริบเงินหญิงชราไม่เสร็จดี หันไปอีกทาง ก็เห็นอันจวิ้นอ๋องเดินตาปรือมองเข้ามาทางนี้
ทำเป็นด้อมๆ มองๆ ตัวเองใช่ว่าจะมองเห็นสักหน่อย
กู้เจียวเดินมุ่งหน้าไปทางอันจวิ้นอ๋อง เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านพักที่ใดรึ เดี๋ยวข้าให้คนไปส่ง”
กู้เจียวคิดไว้ว่าจะให้องครักษ์ลับของกู้เหยี่ยนอาสาไปส่ง
“ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เลยว่าจะขอแม่นางค้างที่นี่สักคืนได้หรือไม่” อันจวิ้นอ๋องบอกความประสงค์ของตัวเองออกมาเบาๆ
กู้เจียวพอได้ฟังก็หรี่ตา พลางนึกในใจ จะมาต้มตุ๋นกันอย่างนั้นรึ
“เรือนข้าไม่มีห้องเหลือให้ท่าน”
อันจวิ้นอ๋องกำลังจะตอบไปว่า ‘ไม่เป็นไร ข้านอนเบียดได้’ แต่ยังไม่ทันจะพูด ก็มีเสียงอันคุ้นเคยแทรกขึ้นก่อน
“อันจวิ้นอ๋องรึ”
ไม่ใช่ใครอื่น ที่แท้ก็เป็นกู้โหวเหย่ผู้ซึ่งหายหน้าหายตาไปนาน
กู้โหวเหย่เดิมจะมาหากู้เจียว เรื่องครั้งก่อนเขากลับไปคิดดูแล้ว คุณหนูจวงจอมโอหังคนนั้นก็น่าโดนอยู่หรอก แต่กู้จิ่นอวี้นางผิดอันใด ไฉนถึงพลอยโดยลูกหลงไปด้วย
เขาลังเลอยู่วันสองวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าจะมาคุยกับกู้เจียวให้รู้เรื่องและให้นางขอโทษจิ่นอวี้ให้ได้!
ไม่ว่านางจะยอมกลับจวนหรือไม่นั้น แต่เหตุผลที่บอกว่าไม่ถูกชะตากับจิ่นอวี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน!
ประตูเรือนเปิดอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปในทันใด
แต่พอเข้าไปก็ไม่นึกว่าจะได้เจอกับอันจวิ้นอ๋องที่นี่ ไหนว่าจะออกไปเดินเล่นในเมืองมิใช่หรือ แถมยังบอกจะซื้อขนมร้านหลี่จี้ไปฝากคุณหนูจวงด้วย
แล้วเหตุใดถึงมาโผล่ที่นี่ได้
หรือว่า จะมาด้วยเหตุผลเดียวกัน คือมาคุยกับกู้เจียวให้ชัดกันนะ
กู้โหวเหย่ขยับเข้าไปใกล้ๆ พลันสังเกตว่าอันจวิ้นอ๋องดูเหมือนจะบาดเจ็บ ที่หัวมีผ้าพันแพลโพกอยู่ รวมถึงบริเวณตาก็มีผ้าปิดไว้อยู่
ความคิดแวบแรกที่เขามาในหัวของเขาก็คือ หรือว่า…นางจะซ้อมอันจวิ้นอ๋องไปด้วย
โถ่ถัง นี่เขาให้กำเนิดปีศาจร้ายออกมาอาละวาดบนโลกนี้หรืออย่างไรกันนะ
กู้โหวเหย่รีบโค้งคำนับให้เขา พลางเอ่ยทัก “จวิ้นอ๋อง…นางเป็นเด็กไม่รู้ประสา โปรดจวิ้นอ๋องอภัยให้ด้วยขอรับ!”
อันจวิ้นอ๋องทำหน้าฉงน “โหวเหย่คงไม่ได้คิดว่าลูกสาวเป็นคนทำให้ข้าเจ็บตัวหรอกใช่ไหม”
“เอ๋” กู้โหวเหย่ทำหน้าตกใจ อ่าว ไม่ใช่หรอกรึ
อันจวิ้นอ๋องยกมุมปากขึ้น พลางบ่น “เป็นเพราะตัวข้าเองที่ไม่ระวัง…ต้องขอบคุณลูกสาวท่านที่ช่วยรักษาข้า”
“อ๋า” กู้โหวเหย่ทำตาโตอ้าปากค้าง
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยปากชมกู้เจียวต่อ “ไม่นึกเลยว่าแม่นางจะช่ำชองศาสตร์การแพทย์ขนาดนี้”
กู้โหวเหย่ที่ดูเหมือนยังฟังไม่ได้ศัพท์ก็รีบเอ่ยแย้งขึ้นอย่างนอบน้อม “อันจวิ้นอ๋องก็ชมเกินไปขอรับ นางเป็นเด็กผู้ช่วยอยู่ที่โรงหมอในเมือง ไม่ถึงขั้นช่ำชองหรอกขอรับ อย่างมากก็แค่พอรู้ผิวเผินเท่านั้น! อย่างไรเสีย กระหม่อมขอแนะนำว่าให้หมอหลวงที่จวนช่วยดูอาการให้ท่านจะดีกว่า”
ที่เขาเอ่ยไปอย่างนั้น หนึ่งก็เพราะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของจวิ้นอ๋อง สองเพราะเขายังคงปักใจเชื่อว่าที่จวิ้นอ๋องมาหานางถึงที่นี่ก็เพื่อจะมาทวงความผิดกับนาง
กู้เจียวเองก็เป็นลูกในไส้ของเขากับแม่นางเหยา หากปล่อยให้จวิ้นอ๋องมาพูดกับนางเสียๆ หายๆ คงจะไม่ได้การ
เขาจึงคิดหาวิธีพาจวิ้นอ๋องออกไปจากตรงนั้นก่อน
อันจวิ้นอ๋องพยายามใช้ลูกไม้เดิม บอกว่าตนมึนหัวนั่งรถไม่ได้ กู้โหวเหย่จึงรีบออกตัวจัดแจงรถม้าที่ดีที่สุดให้ รับประกันว่าไม่มีการสั่นโคลงอย่างแน่นอน!
กู้โหวเหย่ผู้ซึ่งวางแผนไว้อย่างรัดกุมและสามารถต่อปากต่อคำกับจวิ้นอ๋องได้จนจวิ้นอ๋องจำต้องยอมแพ้และขึ้นไปนั่งบนรถม้ากลับไปที่หมู่บ้านโดยดี
กู้โหวเหย่ถอนหายใจเฮือกยาว!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเริ่มรู้สึกตงิดใจเข้าไปทุกที
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดกู้โหวเหย่ถึงยืนกรานจะให้เขากลับไปที่หมู่บ้านขนาดนั้น หรือเขากังวลว่าหากตนอยู่ในเรือนเดียวกับลูกสาวของเขาแล้วจะเกิดเรื่องมิดีมิร้ายขึ้น
แล้วไฉนลูกสาวแท้ๆ ถึงต้องระเห็จมาอยู่ชนบทด้วยล่ะ คงมิใช่เพราะจะซ่อนไทเฮาไว้หรอกนะ
กู้โหวเหย่ที่ยังไม่รู้ตัวว่าได้ทำให้อันจวิ้นอ๋องมีอาการขุ่นเคือง พอกลับถึงหมู่บ้าน ก็รีบจัดแจงมอบภาพวาดโบราณให้จวิ้นอ๋องเป็นของขวัญ เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง!
นั่นยิ่งทำให้อันจวิ้นอ๋องเริ่มสงสัยว่ากู้โหวเหย่กำลังมีพิรุธ
กู้โหวเหย่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของซูเฟย ซูเฟยเป็นคนของฝ่าบาท
แต่ก่อนกู้โหวเหย่ไม่เคยมาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านนานขนาดนี้ แต่พอมาปีนี้กลับมาอยู่ยาวเลย หรือว่าเป็นเพราะไทเฮากันนะ
พอเอาหลายๆ เหตุการณ์มาปะติดปะต่อกัน ก็พลันนึกเหตุผลที่น่าจะฟังดู ‘เข้าท่า’ มากที่สุดขึ้นมาได้
อันจวิ้นอ๋องเรียกชายชุดดำเข้ามาในห้อง
พอชายชุดดำได้ฟังที่อันจวิ้นอ๋องเล่ามานั้นก็พลันทำหน้าสงสัย “แล้วถ้าเกิดนางคือไทเฮาจริงๆ เหตุใดจึงจำท่านไม่ได้ล่ะขอรับ ถ้าเป็นไปตามที่จวิ้นอ๋องพูดมาแล้ว ตอนที่นางตีท่านจนสลบ นางก็มองเห็นไม่ชัด แต่พอท่านสลบไปแล้ว อย่างน้อยนางก็ควรจะรู้ว่าเป็นท่านนะขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องทำหน้าเห็นด้วย จากนั้นเอ่ยต่อ “เรื่องนี้ข้าพอเข้าใจ ก็เลยอยากจะยืนยันให้แน่ชัดอีกครั้ง ข้าไปเยือนที่นั่นมาแล้วรอบนึง ถ้าไปอีกรอบเกรงว่าเดี๋ยวใครจะเกิดสงสัยเอา พรุ่งนี้เจ้าลองไปดู บอกว่า…ขออภัยกับเรื่องครั้งก่อนๆ ที่เคยเข้าใจผิด หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจกันได้ ทั้งยังอยากขอให้นางไม่เอ่ยถึงเรื่องวีรกรรมของน้องสาวข้าอีก จะได้ไม่เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้ ”
“ขอรับ” ชายชุดดำรับปาก
“เจ้าต้องเจอไทเฮาให้ได้ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้นางฟัง”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!”
“แต่ว่า…” ชายชุดดำพอรับคำเสร็จ จู่ๆ เกิดนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม “หากเป็นไทเฮาตัวจริง จวิ้นอ๋องจะเอาอย่างไรต่อขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยตอบตาแข็ง “จะทำอะไรได้เล่า ก็ต้องพานางกลับเมืองหลวงน่ะสิ พวกเราจะปล่อยให้นางอยู่ในความดูแลของคนอื่นได้อย่างไร ต่อให้เป็นฝ่าบาทหรือใครก็ตามแต่”
ชายชุดดำลังเลอยู่สักพัก แล้วเอ่ยถามต่อ “บัดนี้ เมืองหลวงมิใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป โรคเรื้อนของไทเฮาเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นยังคงเป็นปริศนา ฝ่าบาทเอาแต่ปิดบังเรื่องนี้แล้วบอกกับทุกคนว่าไทเฮาแค่ทรงประชวรและพักรักษาตัวอยู่ในวัง หากพวกเราพาไทเฮากลับไป ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำกับฝ่าบาทว่าพวกเรารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว การที่พวกเราพานางกลับไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจนึกสงสัยว่าพวกเราไม่จงรักภักดีต่อพระองค์ก็เป็นได้ขอรับ!”
อันจวิ้นอ๋องถอนหายใจ “เจ้าคิดหรือว่าฝ่าบาทไม่เคยคิดจะกำจัดตระกูลจวงของพวกเราน่ะ ตั้งแต่ที่พระองค์ทำสัญญาหมั้นหมายกับพวกจวนเซวียนผิงโหว ก็เท่ากับว่ากำลังข่มตระกูลจวง แน่นอนว่าฝ่าบาทหนีไม่พ้นความผิดเรื่องอาการประชวนของไทเฮาอยู่แล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักนับวันยิ่งเป็นภัยต่อตระกูลของพวกเรา หากไม่มีไทเฮาคอยออกโรงละก็ เกรงว่าตระกูลจวงจะซ้ำรอยตระกูลหลิ่วน่ะสิ”
สี่ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในปัจจุบัน ได้แก่ ตระกูลเซียวแห่งจวนเซวียนผิงโหว ตระกูลหลัวแห่งจวนหลัวกั๋วกง ตระกูลหลิ่วแห่งจวนติ้งกั๋วกง และตระกูลจวงแห่งราชสำนัก
เดิมทีฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมิได้มีเบื้องหลังดีแต่อย่างใด มารดาผู้ให้กำเนิดไม่มีโอกาสแม้แต่จะเลี้ยงดูพระองค์ ทรงอยู่ในความดูแลของจิ้งเฟยมาตลอด
จวงไทเฮาไร้ทายาทสืบทอดมาโดยตลอด อีกทั้งไม่ถูกกับพวกตระกูลหลิ่ว นางจึงรบรากับไท่จื่อและพวกตระกูลหลิ่วจนพาพระองค์ขึ้นครองราชย์ได้
แต่กลับกลายเป็นว่าทำคุณบูชาโทษ นอกจากพระองค์จะไม่ได้สำนึกบุญคุณของไทเฮาแล้ว ซ้ำยังทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกันนาง
เดิมบุตรสาวตระกูลจวงถูกส่งมาที่วังเพื่ออภิเษกกับพระองค์และแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา แต่พระองค์กลับเลือกน้องสาวของเซวียนผิงโหวแทน แถมยังให้องค์หญิงซิ่นหยางแต่งเข้าตระกูลเซวียนผิงโหวอีกด้วย
ขณะที่พวกเซวียนผิงโหวค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ อิทธิพลของตระกูลจวงก็ค่อยๆ ลดลง หากไทเฮายังคงค้ำอำนาจไว้อยู่ด้วยวิธีสุดโต่งของนาง ฝ่าบาทไม่มีทางที่จะแตะต้องตระกูลจวงได้อย่างแน่นอน
ขณะที่ไทเฮา ‘พักฟื้นในวัง’ อยู่นั้น ตระกูลจวงก็กำลังถูกพวกเซวียนผิงโหวกดทับไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือพื้นที่หายใจ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตระกูลจวงมีหวังได้ถึงคราวจุดจบแน่
“อู่หยาง นี่คือชะตาลิขิตของพวกเรา”
ชะตาลิขิตของเขา คือการไปแฝงตัวที่แคว้นเฉิน
และเป็นชะตาลิขิตของไทเฮาด้วยเช่นกัน เพื่อดับไฟที่กำลังสุมอยู่ในตระกูล
วันถัดมา ชายชุดดำสวมชุดทหาร นำของขวัญขึ้นรถม้า แล้วมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชิงเฉวียน
กู้เหยี่ยนและคนอื่นๆ เดินทางไปเรียนหนังสือ คนที่มาเปิดประตูให้เขาคือกู้เจียว
“ท่านเป็นใคร” กู้เจียวเอ่ยถาม
ชายชุดดำยิ้มให้ พลางยกมือคำนับ “ข้ามีนามว่าอู่หยาง เป็นองครักษ์ของอันจวิ้นอ๋อง ข้ามาเยือนที่นี่ในนามท่าน เพื่อจะมาขออภัยทานจากแม่นางกู้ขอรับ”
กู้เจียวเอ่ยถาม “เมื่อวานเขาก็มาแล้วมิใช่รึ”
อู่หยางเอ่ยด้วยความเกรงใจ “วันก่อนท่านจวิ้นอ๋องได้รับบาดเจ็บ มีบางเรื่องที่ท่านไม่ได้พูดถึง ท่านเลยตั้งใจให้ข้ามาหาท่านถึงที่นี่ขอรับ”
กู้เจียวรอเขาเอ่ยต่อ
“ข้าขอ…ยกของขวัญพวกนี้เข้าไปไว้ในเรือนของท่านก่อนได้หรือไม่”
กู้เจียวไม่ปฏิเสธอย่างใด
อู่หยางยกกล่องใหญ่เดินเข้าไปในห้องโถง วางลงแล้วเปิดออก จากนั้นหยิบกล่องสลักลายประณีตออกมา พลางเอ่ยกับกู้เจียว “ท่านจวิ้นอ๋องคาดหวังว่าหลังจากที่แม่นางกู้กลับไปยังเมืองหลวง จะไม่แพร่งพรายเรื่องที่คุณหนูก่อไว้ คุณหนูถูกประคบประหงมจนเอาแต่ใจ จวิ้นอ๋องจึงอยากจะขออภัยท่านในเรื่องนี้ด้วย แต่อย่างที่ข้าได้บอกไป เรื่องชื่อเสียงเรียงนามถือเป็นเรื่องใหญ่ของบุตรสาว หากใครได้ล่วงรู้ว่านางมีพฤติกรรมเช่นนั้น มีหวังคงไม่มีที่ยืนในโลกหล้าเป็นแน่แท้ ขอแม่นางเห็นแก่หัวอกคนเป็นพี่ชายอย่างท่านจวิ้นอ๋องด้วยขอรับ”
ฟังแล้วดูเหมือนพวกเขาต้องการปิดปากนางสินะ
กู้เจียวไม่พูดอะไร แค่แสดงท่าทีให้เขาวางกล่องนั่นลง
อู่หยางหยิบกล่องออกมาสองใบ เอ่ยกับกู้เจียว “เมื่อวานพี่น้องของเจ้ารวมถึงหญิงชราคงตกใจไม่น้อย จวิ้นอ๋องมีคำสั่งให้ข้าไปขอโทษพวกเขาด้วยตัวเอง”
กู้เจียวตอบกลับไป “จิ้งคงไปเรียนหนังสือแล้ว คงไม่ได้เจอเขาหรอก ส่วนท่านย่านอนหลับอยู่ เดี๋ยวข้าไปบอกพวกเขาเอง”
คุมเข้มขนาดนี้เชียวหรือ
อู่หยางเดิมทีไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ แต่พอได้มาเจอกับตัว เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่าต้องใช่แน่ๆ “ถ้าเช่นนั้นรบกวนแม่นางด้วย ว่าแต่ ข้าขอใช้ห้องน้ำได้หรือไม่”
กู้เจียวมองเขาปราดนึง พลางเอ่ย “ตามสบาย”
อู่หยางเดินไปห้องน้ำด้วยท่าทีปกติ
เขากำลังต่อเวลา วันนี้เขาต้องพบกับไทเฮาให้ได้
วันนี้คงเป็นวันโชคดีของอู่หยาง เพราะหญิงชราบังเอิญฝันร้ายจนตกใจตื่น เลยออกมาเดินสูดอากาศที่ลานข้างนอก ก็เจออู่หยางเข้าให้พอดี
อู่หยางเป็นคนสนิทของอันจวิ้นอ๋อง จึงไม่แปลกที่เขาจะเคยเห็นไทเฮาอยู่บ่อยๆ เวลาตามจวิ้นอ๋องเข้าเฝ้า ไม่เหมือนกับกู้โหวเหย่ที่ได้แค่เฉียดๆ แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น เลยไม่รู้ว่าเป็นไทเฮา
หญิงชราเบื้องหน้าเขา ทั้งรูปลักษณ์ท่วงท่าและการแต่งตัวไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คือหญิงชราธรรมดาๆ ในชนบทคนหนึ่ง แต่แวบแรกอู่หยางก็สามารถรู้ได้ทันทีว่านี่แหละจวงไทเฮาที่เขากำลังตามหา!
เขารู้สึกตื่นเต้นตื้นตันจนเผลอพุ่งตัวเข้าไปหานาง!
หญิงชราที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย กำลังสะลึมสะลือ จู่ๆ ก็เจอกับชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่ จึงไม่แปลกที่นางจะตกใจ!
“เจ้าเป็นใคร” หญิงชราถามด้วยน้ำเสียงขู่
อู่หยางเกิดสะดุ้ง พลางรีบตอบ “กระหม่อมอู่หยางขอรับ!”
“อู่อะไรหยางอะไรข้าไม่เคยได้ยิน! ไปซะ ชิ่วๆ! ออกไปเดี๋ยวนี้!” หญิงชราทำท่าไม่พอใจพลางโบกมือไล่เขา “เจียวเจียว! ทำไมมีคนประหลาดเข้ามาในเรือนได้เล่า”
กู้เจียววางกล่องลง แล้วเดินมาทางนี้ จากนั้นอธิบายให้หญิงชราฟัง “เขาเป็นองครักษ์ของท่านชายคนที่มาหาเมื่อวาน มาส่งของกำนัลให้น่ะ”
“มีของมาให้รึ” หญิงชราเลิกคิ้วทำท่าสนใจ
“มีสิ” กู้เจียวพยักหน้า
หญิงชรารีบเข้าไปในห้องโถงแล้วเปิดกล่องที่เต็มไปด้วยเครื่องสังคโลก เครื่องหยก และใบชา พลางทำหน้าผิดหวัง “ไม่เห็นมีขนมกุ้ยฮวาเลย เชอะ! ไม่จริงใจนี่นา”
อู่หยางเริ่มคิดไม่ตก อะไรกันเนี่ย ไม่ใช่ไทเฮาที่เขาเคยรู้จักนี่นา!
“ข้าอยากกินไข่เชื่อม!” หญิงชราเอ่ยกับกู้เจียว
“ได้สิ” กู้เจียวตอบตกลง พลางคิดในใจว่าจะไม่ใส่น้ำเชื่อมให้นาง
“ทำให้เขาทานด้วยสิ!” หญิงชราเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาเอาของมาให้ตั้งมากมาย อย่างน้อยเจ้าก็ควรทำอะไรให้เขาทานนะ!”
“ก็ได้” กู้เจียวพยักหน้า จากนั้นเข้าครัวแล้วลงมือตอกไข่ ชามนึงใส่น้ำเชื่อมครึ่งชาม ส่วนอีกชามใส่แค่เสี้ยวเดียว
หญิงชราเอ่ยอย่างเป็นกันเอง “เจียวเจียว เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ เดี๋ยวข้าดูแลแขกให้เอง!”
อู่หยางแอบยกนิ้วโป้งให้ในใจ ใช้วิธีให้เขาอยู่ทานข้าวที่นี่เผื่อต่อเวลา แถมยังให้แม่นางกู้ไม่มาสนใจพวกเขาตรงนี้อีกด้วย สมกับเป็นไทเฮาผู้รอบคอบ!
กู้เจียวเดินออกไปตักน้ำที่หน้าหมู่บ้าน
ในเรือนไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขา สีหน้าของหญิงชราแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
อู่หยางเองก็เช่นกัน
นึกในใจ เมื่อครู่ทรงเล่นละครตบตาเก่งมาก! ในที่สุด ก็ทรงจำกระหม่อมได้แล้วสินะ!
“เร็วเข้าๆ! เดี๋ยวนางก็กลับมาแล้ว!”
ใช่แล้วล่ะ! ต้องเร่งมือหน่อยแล้ว!
อู่หยางพยักหน้าหงึกๆ รอคำพูดจากคนตรงหน้า แต่กลับกลายเป็นว่าหญิงชราคว้าถ้วยไข่เชื่อมของเขา จากนั้นคว้าช้อนแล้วตักกินอย่างเอร็ดอร่อย!
อู่หยาง “…”