สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 117 สารภาพรัก
นี่คงเป็นครั้งแรกที่นางเรียกชื่อเขาเช่นนี้ แต่ก่อนนางเอาแต่เรียกเขาว่าคุณท่านมาตลอด ซึ่งเป็นคำเรียกที่ฟังดูห่างเหิน เพราะรู้สึกเคอะเขินเกินกว่าจะเอ่ยแค่ชื่อ ก็เลยต้องเรียกเขาเช่นนั้นไป
ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่นางเรียกอากรกู้ อากรหลัว
“หืม” เซียวลิ่วหลังเข้าไปนั่งข้างๆ นาง
กู้เจียวแหงนหน้ามองฟ้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดดวงดาวบนท้องฟ้าถึงไม่ตกลงมา”
“เพราะอะไรรึ” เซียวลิ่วหลังหันไปทางคนข้างๆ
กู้เจียวยิ้มร่าเหมือนเด็กน้อย พลางเอ่ย “เพราะว่ามันอยู่ไกลเกินไปน่ะสิ พวกมันมีที่ประจำของพวกมัน มีเส้นทางเป็นของตัวเอง”
เซียวลิ่วหลังเกิดมาก็เพิ่งจะได้ยินคนพูดถึงดวงดาวเช่นนี้เป็นครั้งแรก เลยรู้สึกประหลาดใจ “ถ้ามันอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วเหตุใดพวกเราจึงมองเห็นได้ล่ะ”
“เพราะว่ามันใหญ่มากยังไงล่ะ!” กู้เจียวเอ่ยพลางยกมือขึ้น แต่เพราะฤทธิ์ของเหล้า มือของนางจึงอยู่ไม่นิ่ง “เห็นพวกมันเป็นกลุ่มเล็กๆ อย่างนี้ แท้จริงแล้วมันใหญ่มาก! เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นดาวอะไร”
“ดวงไหนละ” เซียวลิ่วหลังถาม
“ก็ดวงนั้นไงละ!” กู้เจียวขยับร่างเข้าไปใกล้ๆ แล้วชี้ให้เขาดู ไหล่ของทั้งคู่เกิดสัมผัสกัน
เซียวลิ่วหลังตัวแข็งทื่อ!
“เห็นรึยัง” กู้เจียวเอ่ยถาม
“อืม” เซียวลิ่วหลังรีบตอบปัด ทั้งสอองอยู่ด้วยกันในระยะประชิด ทำให้เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวนางจนทำให้ความคิดของเขาเริ่มกระสับกระส่าย
กู้เจียวที่ยังไม่รู้ตัวว่าทำคนข้างๆ เสียอาการมากเพียงใด ก็เข้ามากระซิบข้างใบหูของเขา “รู้ไหมว่านั่นดาวอะไร เดี๋ยวข้าจะบอกเอง เจ้าอย่าไปบอกคนอื่นนะ มันคือดาวทองยังไงล่ะ! แต่คนที่นี่เขาเรียกกันว่าดาวฉางเกิง!”
ลมหายใจร้อนผ่าวของนางค่อยๆ ตกลงมากระทบที่ใบหูของเขา
เซียวลิ่วหลังฟังไม่ได้ศัพท์ว่านางพูดอะไร เขารู้แค่ว่าตอนนี้ใบหูของเขาร้อนผ่าวจนแทบจะระเบิดแล้ว
กู้เจียวชี้ไปที่ใบหูของเขา พลางเอ่ยร้อง “เอ๋ หูของเจ้ทำไมถึงแดงขนาดนี้ละ เจ้าร้อนรึ”
พูดจบก็รีบเป่าลมเข้าไปที่ใบหูของเขาอย่างไม่รอช้า
จากนั้นนางใช้นิ้วเย็นๆ ของนางจับเข้าไปที่ใบหูของเขาจนเซียวลิ่วหลังทำตัวหดหนี ยิ่งนางทำเช่นนี้ เขายิ่งทำตัวไม่ถูก
“กู้เจียว!” เซียวลิ่วหลังคว้าข้อมือนาง พยายามจัดท่าให้นางนั่งตัวตรง “อย่าเล่นพิเรนทร์น่า! ข้าเป็นผู้ชายนะ!”
“ข้ารู้น่า ไม่สิ เจ้ายังไม่เป็นผู้ชายสักหน่อย เจ้ายังไม่ครบสิบแปดเลย ไม่ถือว่าเป็นผู้ชายเต็มตัว เจ้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่” กู้เจียวเอ่ยเถียงพลางโบกมือปัด
“เจ้าจะให้ข้าพิสูจน์รึ ว่าข้าเป็นผู้ชายจริงๆ หรือไม่” เซียวลิ่วหลังถลึงตาใส่
เมื่อครู่เขาขู่นางก็จริง แต่ดูเหมือนว่ากู้เจียวจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ซ้ำยังหันไปจ้องเขาต่อ พลางเอ่ย “ลิ่วหลัง เจ้าหล่อจัง”
“เจ้า…ดื่มมากเกินไปแล้ว ข้าพาเจ้ากลับห้องดีกว่า” เซียวลิ่วหลังถอนหายใจยาว
“ข้ายังไม่ล้างจานเลย” กู้เจียวเริ่มบ่น
“เดี๋ยวข้าล้างให้”
“อ้อ”
เซียวลิ่วหลังพยุงตัวนางขึ้น มือหนึ่งค้ำไม้เท้า ส่วนอีกมือก็ค้ำแขนของนางไว้ แล้วค่อยๆ มุ่งหน้าไปที่ห้อง
กู้เจียวทิ้งตัวลงบนเตียง สะบัดรองเท้าออก แล้วหันไปหาเขา พลางเอ่ย “ลิ่วหลัง ข้าอยากออกไปเที่ยว”
ครั้นจะตอบกลับไปว่าเมาขนาดนี้แล้ว ยังอยากจะออกไปไหนอีก แต่จู่ๆ ก็พลันนึกได้ว่าที่นางหมายถึง อาจไม่ใช่ตอนนี้
“เจ้าอยากไปที่ไหนล่ะ”
กู้เจียวหันหน้าไปด้านนอกหน้าต่าง ยิ้มฝืนๆ พลางเอ่ย “ไม่รู้สิ ข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งนาน ไปไกลสุดก็แค่หมู่บ้านเวินเฉวียนเอง”
เซียวลิ่วหลังนึกในใจ นี่นางเมาจนสติฟั่นเฟืองไปแล้วรึ อย่าลืมสิว่าตัวเองอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด
กู้เจียวเอ่ยถาม “ที่นอกตำบลมีอะไรรึ”
เซียวลิ่วหลังนั่งนึกสักพัก แล้วเอ่ยตอบ “ก็มีหัวเมืองตำบลใหญ่ หัวเมืองจังหวัด หัวเมืองมณฑล แล้วก็ เมืองหลวงยังไงล่ะ”
กู้เจียวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอ่ยต่อ “ข้าอยากไปหัวเมืองตำบลใหญ่ หัวเมืองจังหวัด แล้วก็หัวเมืองมณฑล”
“ไม่อยากไปเมืองหลวงรึ” เซียวลิ่วหลังสงสัย
แม้จะเมาหนัก แต่นางก็ยังพอจำได้ว่าเซียวลิ่วหลังไม่ยอมไปเหยียบที่เมืองหลวง เลยหัวเราะแล้วโบกมือปัด พลางเอ่ยตอบ “ไม่ไปหรอก เมืองหลวงมีอะไรดีงั้นรึ ไปที่อื่นก็ได้เหมือนกันนี่ เมื่อไหร่จะได้ไปเที่ยวนะ ข้าจะได้เอาไปโม้กับคนอื่นๆ ได้”
พอได้ยินคำตอบ ชายหนุ่มหันไปมองคนข้างๆ ด้วยสายตาประหลาด กู้เจียวที่ดูเหมือนกำลังจะพูดอะไรต่อ จู่ๆ ก็คอพับและผล็อยหลับไปจนเสียงกรนเล็กๆ ดังขึ้น รู้ตัวอีกทีกู้เจียวก็ตื่นขึ้นตอนช่วงสายของวันถัดมา นางมีอาการปวดหัว พอลุกขึ้นมานั่ง รู้สึกราวกับหัวกำลังจะระเบิดออกมา
พลางนึกในใจ ชาติที่แล้วนางออกจะคอแข็งนี่นา กินกี่แก้วก็ไม่เมา แล้วนี่อะไรกัน แค่แก้วเดียวก็พับแล้ว ช่างเป็นร่างที่อ่อนแอจริงๆ
กู้เจียวปวดหัวจนทนไม่ไหว พุ่งตัวไปที่กล่องยา ซึ่งยาแก้เมาวางอยู่ในกล่องแรกที่อยู่ด้านบนสุด
“เอ๋ นี่เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าเมาแล้ว”
กู้เจียวรีบกินยา จากนั้นเอามือลูบกล่องยาพลางเอ่ยปากชม “เจ้านี่รู้ใจข้าจริงๆ ”
หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ดูเหมือนเรี่ยวแรงและสติสัมปชัญญะยังมาไม่ครบดี นางพยายามใส่รองเท้าอยู่สามครั้งกว่าจะสำเร็จ
ปังปังปัง
เสียงประตูดังขึ้น
“ใครน่ะ” กู้เจียวถาม
“โฮ่ง โฮ่ง”
เป็นเจ้าหมาน้อยนี่เอง
สักพักตามมาด้วยเสียงของเซวียหนิงเซียง “ชู่ว เบาๆ สิ เจียวเหนียงกำลังนอนอยู่นะ”
แล้วเซวียหนิงเซียงก็อุ้มเจ้าหมาน้อยออกไป
เพราะวันนี้กู้เจียวตื่นสาย เลยไม่มีคนทำอาหารเช้า หญิงชราไม่อยากกินอาหารฝีมือเซียวลิ่วหลัง เลยไปตามเซวียหนิงเซียงให้มาช่วย
กู้เจียวนั่งพักอยู่นานสองนาน ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกไป
ทั้งหญิงชรา กู้เสี่ยวซุ่น และกู้เหยี่ยนกำลังนั่งล้อมวงกันที่ห้องโถง พอได้เสียงเสียงประตูเปิด ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่กู้เจียวที่กำลังเดินออกมาจากห้อง
“ว่าไง” กู้เจียวเอ่ยทักทาย จากนั้นหันไปทางเด็กหนุ่มอีกสองคน “เอ๋ วันนี้ไม่มีเรียนรึ แล้วพี่เขยพวกเจ้ากับจิ้งคงล่ะ”
ทั้งคู่ไม่เอ่ยตอบ ได้แต่มองหน้านาง
“เจ้า… ไม่เป็นไรใช่ไหม” หญิงชราเอ่ยถามอย่างสงัสย
“ก็ไม่เป็นไรนี่ มีอะไรรึ”
ทั้งสามหันมาสบตากัน
กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยเสียงค่อย “ปกติแล้วคนที่บอกว่าตัวเองไม่เมา…มักจะเมาเอง และคนที่บอกว่าตัวเองไม่เป็นไรนั้น…”
“ก็ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ” กู้เหยี่ยนเอ่ยหน้าตาย
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมๆ กัน!
“เสียงดังกันแต่เช้าเลยนะ” กู้เจียวหันไปมองค้อนทั้งสามคน จากนั้นก็เดินสะบัดไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน
จิ้งคงที่กำลังเก็บขี้ไก่อยู่ใต้ต้นพุทรา ไม่ทันสังเกตว่ากู้เจียวเดินมาทางด้านหลัง
กู้เจียวเดินเข้าไปในห้องครัว พลันเห็นว่าเซียวลิ่วหลังกำลังต้มซุปถั่วแก้เมา ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์“ กู้เจียวเอ่ยกับเขา
เซียวลิ่วหลังหันไปหาต้นเสียง ก่อนจะหันไปเติมน้ำลงหม้อ “ฟื้นแล้วรึ”
“อือ” กู้เจียวเอ่ยพลางนวดขมับ นางจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลย นึกออกแค่ว่านางล้างจานไม่เสร็จก็ออกไปดูดาวแล้ว
“เมื่อวานข้าดื่มหนักไปหน่อย ไม่ได้เผลอพูดอะไรแปลกๆ ออกไปใช่ไหม” กู้เจียวเอ่ยถามด้วยท่าทีไร้ซึ่งกังวล นางยังคงปักใจเชื่อว่าตัวเองเป็นคนคอแข็ง
เซียวลิ่วหลังมองนางด้วยสีหน้าสับสน
หลังจากทำความสะอาดมูลไก่กองสุดท้ายแล้ว เสี่ยวจิ้งคงก็ถือถังไปรดน้ำต้นถั่วลันเตาที่เขาปลูกไว้ในแปลงผักเล็กๆ
เสี่ยวจิ้งคงฮัมเพลงว่า “ข้ามีลาตัวน้อย~ ข้าไม่เคยขี่เลย~ วันหนึ่งข้าขี่มันไปตลาดอย่างตั้งใจ…”
กู้เจียวเริ่มปวดหัวรุนแรงอีกครั้ง จากนั้นก็มีภาพจำต่างๆ วิ่งเข้ามาในหัว
เป็นภาพที่นางกำลังยืนอยู่บนเตียง ส่วนเซียวลิ่วหลังยืนมองนางอยู่บนพื้น
ที่หัวของนางมีเชือกผูกรองเท้าพันไว้ ส่วนที่มือถือเข็มขัด จากนั้นค่อยๆ บิดตัวแล้วหันไปทางเซียวลิ่วหลัง “…ข้าภูมิใจกับแส้หนังในมือของฉัน~ ข้าไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงตกลงไปในโคลน…พ่อหนุ่มน้อย ข้าลุกไม่ขึ้น มาให้ข้าจูบซะดีๆ แล้วข้าจะลุกให้!”
กู้เจียวรู้สึกราวกับว่ามีลูกธนูหมื่นดอกปักลงมาที่กลางใจ!
เสี่ยวจิ้งคงรดน้ำต้นถั่วลันเตาเสร็จ ก็หันไปรดให้ต้นถั่วเหลืองต่อ และฮัมเพลงต่อ “ข้าชื่อไท่ซานที่อยู่ข้างบ้าน~จับเถาวัลย์แห่งความรัก~ฟังฉันนะ~โอ้ววว”
ภาพในหัวที่ปรากฏ คือตอนที่นางเอามือคว้าเข้าไปที่คางของลิ่วหลัง แล้วตะโกนร้องเพลงต่อ “เจ้าคือเจินหนีคนสวย~ จับมือข้าแล้วไปเที่ยวเมืองหลวง~ อู้หู~ อย่ากลัวลิ่วหลังของฉันเลย~ อู้หู”
กู้เจียวเริ่มเข่าอ่อนจนต้องเอามือพยุงที่เตาทำกับข้าว ให้ตายเถอะ เมาเละขนาดนั้นยังมีกะใจมาเปลี่ยนเนื้อร้องอีก!!!
ราวกับว่ามีลูกธนูปักเข้ากลางใจเพิ่มอีกสองหมื่นดอก กู้เจียวแทบจะล้มทั้งยืน
มีเท่านี้สินะ…
หมดแล้วใช่ไหม
กู้เจียวยืนรอฟังว่าจิ้งคงจะร้องเพลงอะไรต่อ ดูเหมือนว่าจะไม่ร้องออกมาแล้ว ดีแล้วล่ะ ไม่มีอะไรแล้วสินะ…
แต่ยังไม่ทันจะได้โล่งใจ เสี่ยวจิ้งคงก็เริ่มอ้าปากร้องเพลงอีกครั้ง
เขาแค่สร้างอารมณ์ขึ้นมา เพราะเพลงต่อไปนี้ต้องการให้เขาใส่ความรู้สึกเศร้าๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากสำหรับเด็กอายุสามขวบ
เขาถือถังเล็กๆ ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างค่อยๆ ตักน้ำรดลงไปบนต้นไม้ จากนั้นเริ่มทำหน้าจริงจัง แล้วฮัมเพลงต่อ “รักแท้~ มันเหมือนกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่~ ชั้น~ ลมและฝนไม่สามารถกั้นได้~ มีเมฆอยู่เสมอ และพระอาทิตย์ขึ้น~ ดวงตะวันสาดส่องมาที่พวกเรา~”
ภาพในหัวกู้เจียวเริ่มผุดอีกรอบ!
ครั้งนี้ เป็นภาพที่กู้เจียวกระโดดลงจากเตียง แล้วมองเข้าไปในดวงตาของเซียวลิ่วหลัง
“…หิมะตก ลมหนาวพัดโชย
ทุกอย่างอ้างว้าง
เงียบเหงาเดียวดาย
หิมะเอ๋ย
ไม่เป็นใจเลยหนอ
จะรักก็รัก ไม่รักก็ไป…”
เซียวหลิวหลังกำลังจะเดินออกไป แต่นางนั่งลงบนพื้นและพยายามกอดรั้งต้นขาของเขา และเริ่มร้องไห้ จากนั้นร้องเพลงเสียงหลง “ต่อให้ตายแล้วก็ยังรัก ไม่เต็มที่ไม่ล้มเลิกแน่นอน ความรู้สึกลึกซึ้งเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงออกมา – รักเมื่อตาย – อย่าร้องไห้จนยิ้มแล้วไม่มีความสุข -ต่อให้โลกแตกสลายแต่ความรักยังคงอยู่”
กู้เจียวแทบอยากจะเป็นบ้าแล้วตอนนี้
นี่มันน่าอายเสียยิ่งกว่าตอนที่เดินออกไปข้างนอกแล้วลืมใส่ชุดชั้นในเสียอีก!
“ข้าต้มซุปเสร็จแล้ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับนาง
กู้เจียวเอ่ยติดๆ ขัดๆ “เอ่อ ไม่ ไม่ต้องแล้วล่ะ ข้าสร่างเมาแล้ว”
ขอกลับไปเมายังจะดีกว่า!
กู้เจียวไม่รู้ว่าตัวเองกลับไปที่ห้องตอนไหน นางพยายามเปิดกล่องยาแล้วหา “ยาลบความจำ ยาลบความจำ”
ปัง ปัง ปัง!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ข้าไม่อยู่!” กู้เจียวพยายามมุดหัวเข้าไปในกล่องยา
เซียวลิ่วหลังที่แง้มประตูมาเห็นภาพกู้เจียวทำท่าแบบนั้น ก็ถึงกับพูดไม่ออก
เขากระแอมออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้ามีธุระต้องไปที่ตำบล กั๋วจื่อเจียนกำลังจะกลับมาเปิดอีกครั้ง ข้าจะไปดูว่ามีอะไรคืบหน้าบ้าง”
เขาเป็นบัณฑิตที่สอบได้ที่หนึ่งของตำบล แน่นอนว่ามีโอกาสสูงที่เขาจะได้เข้าเรียนที่นั่น
กู้เจียวเงยหน้าขึ้นมาขณะที่มียาแก้เมาติดอยู่ที่หน้าผากของนาง “เจ้าจะไปเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียนแล้วรึ ที่อยู่ในเมืองหลวงใช่ไหม”
“อือ ในแคว้นเจามีกั๋วจื่อเจียนแค่แห่งเดียว”
“เหตุใดถึงกะทันหัน…”
จู่ๆ เกิดอยากไปเมืองหลวงแล้วรึ
นางเปลี่ยนใจไม่ถามต่อ
แค่นี้ก็ทำเขาตกใจแย่แล้ว จะไปอยากรู้อยากถามอะไรให้มากความกันอีก
“ข้าไปด้วยคน”
“ได้สิ”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กู้เจียวกลับมาอยู่ในสภาพปกติดังเดิมอีกครั้ง
หญิงชรา กู้เหยี่ยน และกู้เสี่ยวซุ่นจ้องนางเขม็งไม่ละสายตา
“พวกเจ้า รีบไปหยิบย่ามมาเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ให้พวกเจ้าโดดเรียนหรอก!”
“อืม” เสี่ยวซุ่นพยักหน้า พลางนึกในใจ นางกลับมาแล้วสินะ
กู้เหยี่ยนเองก็พยักหน้าให้ จากนั้นเข้าไปหยิบย่ามในห้อง
เสี่ยวจิ้งคงพอได้ยินว่าเจียวเจียวจะไปส่งพวกเขา ก็คว้าย่ามแล้ววิ่งมาหานาง “เจียวเจียว!”
กู้เจียวลูบหัวจิ้งคง
พลางนึกในใจ จะมีก็แต่จิ้งคงล่ะมั้งที่ไม่ตกใจกับสภาพตอนเมาของนาง
สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าเจียวเจียวจะทำอะไรก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
เฮ้อ ค่อยโล่งอกหน่อย
หารู้ไม่ นางโล่งอกเร็วเกินไปเสียแล้ว
จากนั้นทุกคนก็เดินออกไปขึ้นรถเกวียนของลุงหลัวเอ้อร์
เสี่ยวจิ้งคงนั่งข้างกู้เจียว
สายลมเย็นๆ ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดโชย ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อวานเลือกที่จะลืมๆ มันไป จะมีก็แต่เสี่ยวจิ้งคงที่เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยกับกู้เจียวว่า “เจียวเจียว เมื่อคืนเจ้าร้องเพลงเพราะมากเลย! เพลงที่เจ้าร้องเมื่อวาน ข้าร้องได้หมดแล้ว!”
เจ้าเด็กนี่ พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดขึ้นมาจนได้
กู้เจียวที่โดนเผาจนเกรียมไปทั้งตัว ถึงกับพูดไม่ออก “…”
เสี่ยวจิ้งคงยกมืกขึ้นมาตบที่หน้าอกตัวเอง พลางเอ่ย “วันหลังข้าจะร้องเพลงให้เจ้าฟังทุกวันเลย!”
แค่คิดว่าจะโดนตอกย้ำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปเรื่อยๆ ด้วยเสียงร้องของเสี่ยวจิ้งคงเท่านั้น
กู้เจียวนึกในใจ เฮ้อ ฆ่ากันให้ตายดีกว่า!