สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 137 หน้าแดง
เมื่อกู้จิ่นอวี้นึกถึงยามไท่จื่อเฟยส่งของขวัญมาให้เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงแล้ว นางก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณหนู ไท่จื่อเฟยเชิญท่านให้เข้าเรียน ท่านจะไปหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายถามขึ้น
“ไม่รู้”
สตรีไม่ควรเผยหน้าเผยตาข้างนอกมากนัก แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้โด่งดัง หากอยู่แต่ในจวน โอกาสที่ชื่อเสียงของนางจะระบือไกลก็ถูกจำกัด นางหวังให้คนมากมายกว่านี้ได้เห็นความสามารถของนาง ไม่มีสถานที่ใดที่จะเหมาะสมที่สุดเท่าสำนักศึกษาอีกแล้ว
ทว่านางกลับกังวลว่าเหล่าฮูหยินกู้กับมารดาจะไม่เห็นด้วย
เหล่าฮูหยินกู้ค่อนข้างมีความคิดหัวโบราณ ตอนนั้นที่เชิญอาจารย์ซีสีมาสอนนาง ท่านพ่อก็เป็นคนใช้วาทะศิลป์หว่านล้อมอยู่ตั้งนานสองนาน
หากรู้ว่านางจะไปเรียนหนังสือข้างนอกอีกละก็…
กู้จิ่นอวี้ขมวดคิ้วมุ่น
ในขณะที่กำลังกลัดกลุ้มใจนั้น สาวใช้ก็มารายงานว่าท่านโหวกลับจวนมาแล้ว
กู้จิ่นอวี้รีบไปต้อนรับเขาหน้าประตูทันที
ท่านโหวกู้วุ่นงานอยู่ที่กรมโยธาอยู่หลายวัน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปทั่วร่างแล้ว
เขาลงจากหลังม้ามาอย่างอ่อนเพลีย พอเข้าจวนมาก็เห็นลูกสาวสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเดินมาหาตน
“ท่านพ่อ!” กู้จิ่นอวี้เอ่ยเรียกเสียงหวาน
ท่านโหวกู้รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าทั่วร่างได้มลายหายไปพร้อมกับคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ทันที เขาแย้มยิ้มมองลูกสาวเดินมาหาข้างกายตนอย่างรักใคร่ “หนาวเพียงนี้ เจ้าออกมาทำอะไรรึ”
“ข้ามารอท่านพ่อเจ้าค่ะ!” กู้จิ่นอวี้ยิ้มพลางบอก
ท่านโหวกู้เอ่ยด้วยความพอใจว่า “เจ้านี่ช่างเอาใจใส่เป็นที่สุด! จริงสิ แม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นางอยู่ที่จวนหรือไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ นางเพิ่งจะพักผ่อนไปเมื่อครู่” กู้จิ่นอวี้บอก
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้ว “พักตั้งแต่หัววันเลยรึ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เพิ่งจะเอ่ยขึ้น เขาก็เหลือบไปเห็นเทียบในมือของกู้จิ่นอวี้เข้าเสียก่อน “เจ้าถืออะไรไว้ในมือน่ะ”
กู้จิ่นอวี้จึงส่งเทียบให้ท่านโหวกู้ “ไท่จื่อเฟยจัดตั้งสำนักศึกษาของสตรีขึ้นเจ้าค่ะ อยากจะให้ข้าไปเรียนด้วย”
ท่านโหวกู้เปิดออกอ่านดู “แม่เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่พักผ่อนแล้ว ข้ายังไม่ทันได้บอกนางเลย ท่านพ่อคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ท่านโหวกู้เอ่ยว่า “หากแม่เจ้าให้เรียน เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด”
กู้จิ่นอวี้ลังเล “แต่ท่านย่า…”
“ข้าช่วยพูดให้เอง” ท่านโหวกู้ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้ยากอะไร เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามว่า “ให้เทียบมาแค่แผ่นเดียวรึ ได้บอกเงื่อนไขการเข้าเรียนหรือไม่”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยว่า “แค่เทียบแผ่นเดียว คนมาส่งเทียบบอกว่าสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงและความสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องสอบ หากคนอื่นอยากเข้าเรียน สอบผ่านก็เข้าเรียนได้เลย”
“ยังต้องสอบอีกรึ” ท่านโหวกู้ขมวดคิ้วมุ่น เด็กคนนั้นรู้จักแต่ทำไร่ทำสวน อ่านหนังสือไม่ออกสักตัว ให้นางไปสอบจะสอบติดได้อย่างไร
“มีวิธีที่จะเพิ่มเข้าไปอีกสักรายชื่อหรือไม่” เขาถาม
กู้จิ่นอวี้ถามอย่างใสซื่อว่า “ท่านพ่ออยากให้ท่านพี่เข้าเรียนด้วยเช่นกันหรือ ข้าจะถามดูนะเจ้าคะ หากได้ละก็ จะขอให้ไท่จื่อเฟยเพิ่มชื่อพี่สาวเข้าไปด้วย หากไม่ได้ ข้ายินดีสอนพี่สาวเขียนอ่านหนังสือเอง”
“กลัวก็แต่เจ้ายินดี แต่นางไม่ยินดีนี่สิ ช่างเถอะ เจ้าเก็บเทียบเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน” ท่านโหวกู้ส่งเทียบคืนกู้จิ่นอวี้ เห็นนางคล้ายมีอะไรพูดอีกจึงอดถามไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไปรึ”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อไม่ได้กลับมาหลายวัน คงจะไม่ทราบว่าเกิดเรื่องขึ้นในจวน”
ท่านโหวกู้เอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นรึ”
กู้จิ่นอวี้หลบตาลงบิดผ้าเช็ดหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยว่า “พี่สาม….กับพี่รองโดนพี่ใหญ่ขังไว้ในหอบรรพชนเจ้าค่ะ”
ท่านโหวกู้ตกใจ “พวกเขาสองคนทำอะไรผิดรึ ไม่สิ พี่รองเจ้าไม่เกเรทำผิดแล้ว พี่สามเจ้าใช่หรือไม่ เขาทำอะไรอีกแล้วล่ะ”
กู้จิ่นอวี้เผยสีหน้าแหยๆ ออกมา “เหมือนว่า….จะเป็นพี่สามกับพี่สาวจะทะเลาะไม่พอใจกันนิดหน่อย จึงถูกพี่สาวชกเอา พี่สามบาดเจ็บหนักมากเลยเจ้าค่ะ”
“เหตุใดเด็กคนนั้นจับใครได้ก็ชกเขาไปเสียหมดเลยเล่า” ท่านโหวกู้เข็ดฟัน เขาลูบแขนเสื้อไปมาก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นว่า “เด็กคนนั้นกลับจวนมาแล้วรึ”
“พี่สาว…”
“คุณหนูใหญ่ยังไม่กลับจวนเจ้าค่ะ”
กู้จิ่นอวี้เพิ่งเอ่ยไปได้ครึ่งเดียว ก็ถูกแม่นมฝางที่ไม่รู้มาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อใดเอ่ยขัดขึ้น
แม่นมฝางคำนับให้ทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งว่า “ท่านชายสามรังแกท่านชายน้อย ทำเอาโรคหัวใจของท่านชายน้อยกำเริบ คุณหนูใหญ่จึงโมโห เลยสั่งสอนท่านชายสามไปนิดหน่อยเจ้าค่ะ ท่านชายสามแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น เทียบกับท่านชายน้อยแล้ว เทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
เป็นการบาดเจ็บภายนอกจริงดังว่า แต่เป็นประเภทที่ลงจากเตียงไม่ได้เป็นเดือนๆ น่ะนะ
กู้เหยี่ยนกระโดดโลดเต้นได้ตั้งนานแล้ว หากแต่ความทรมานของกู้เฉิงหลินเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น ทุกค่ำคืนเขาจะปวดเสียจนจะเป็นจะตายเลยทีเดียว กินยาก็ไม่ได้ช่วยอะไรทั้งสิ้น
แม่นมฝางถอนหายใจ “ท่านชายสามโดนให้ท้ายมาตั้งแต่เด็กๆ บาดเจ็บแค่ภายนอกก็ร้องไห้หาพ่อหาแม่แล้ว ท่านชายน้อยผู้น่าสงสารโรคหัวใจกำเริบไม่ร้องไม่โวยวายสักแอะ นี่มันช่างน่าท้อแท้หมดกำลังใจเพียงใด แต่กลับถูกคนอื่นคิดว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด”
กู้จิ่นอวี้สีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
ถ้อยคำเหล่านี้ของแม่นมฝางทั้งเหน็บแนมกู้จิ่นอวี้ และโยนความผิดไปให้กู้เฉิงหลินอีก อีกเดี๋ยวพอท่านโหวกู้เห็นกู้เฉิงหลินร้องโอดโอยเจ็บปวดเข้าก็จะนึกว่าเขาแค่อ่อนแอ
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหยี่ยนเอ๋อร์ได้เจอเฉิงหลินหรือยัง”
แม่นมฝางยิ้มเย็นเอ่ยว่า “บังเอิญนักเจ้าค่ะ นึกไม่ถึงว่าท่านชายสามจะเข้าสำนักบัณฑิตเดียวกัน วันเปิดเรียนวันแรก ท่านชายสามก็จำท่านชายน้อยได้ทันที ท่านชายน้อยกลับไม่รู้จักเขา ถูกเขาจับไปมัดไว้ในห้องเก็บฟืนหนึ่งวันเต็มๆ ต่อมาโรคหัวใจก็กำเริบอีก โชคดีที่รอดพ้นอันตรายมาได้”
ท่านโหวกู้เดือดดาลขึ้นทันควัน “ไอ้ลูกเนรคุณ! ให้เขาคุกเข่าอยู่ในหอบรรพชนเสีย!”
เอ่ยอย่างเย็นชาจบ ท่านโหวกู้ก็ขึ้นรถม้าไปตรอกปี้สุ่ยเพื่อเยี่ยมกู้เหยี่ยนทันที โดยไม่ไปดูอาการบาดเจ็บของกู้เฉิงหลินเลยแม้แต่น้อย
ในสนามหญ้าเหลือเพียงแม่นมฝางและกู้จิ่นอวี้
กู้จิ่นอวี้อ้าปาก
แม่นมฝางย่อกายคำนับให้ “คุณหนูรอง นี่ก็ค่ำมากแล้ว ท่านควรกลับไปพักได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวก็ต้องกลับไปรับใช้ฮูหยินแล้วเช่นกัน”
“แม่นม!” กู้จิ่นอวี้เรียกนางไว้ “เมื่อครู่…ข้าจะพูดว่า”
แม่นมฝางพยักหน้า “บ่าวเข้าใจเจ้าค่ะ แม้ว่าคุณหนูรองจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของท่านโหว แต่อย่างไรเสียฮูหยินก็เลี้ยงดูคุณหนูมาอย่างยากลำบาก คุณหนูไม่ช่วยฮูหยินไม่พอ ยังไปช่วยคนอื่นอีก นี่มันจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงหมาป่าไร้ความเป็นคนเกินไปหรือไม่”
กู้จิ่นอวี้หน้าซีดเผือด
แม่นมฝางเอ่ยเสียงเรียบ “บ่าวเป็นแค่คนรับใช้ พูดจาไม่เป็น ขอคุณหนูรองโปรดใจกว้างด้วย”
กู้จิ่นอวี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี นางรู้สึกว่าตัวเองโดนด่า แต่แม่นมฝางก็ไม่ได้เอ่ยพุ่งเป้ามาที่นางสักคำ
อย่างไรเสียแม่นมฝางก็เป็นคนสนิทของแม่นางเหยา แถมมีแค่กู้เหยี่ยนเท่านั้นที่โมโหใส่นางได้ ในฐานะที่กู้จิ่นอวี้เป็นเด็กดีนั้นนางทำไม่ได้เด็ดขาด
“แม่นมกล่าวเกินไปแล้ว” กู้จิ่นอวี้เอ่ย “แม่นมไปดูแลท่านแม่ข้าเถิด”
แม่นมฝางเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริงว่า “คุณหนูรองหากไม่เป็นการรบกวนก็จำคำพูดของฮูหยินเอาไว้ อย่าได้ไปมาหาสู่กับท่านชายทั้งสามของฮูหยินคนก่อนมานัก พวกเขาไม่ต้อนรับคุณหนูรองหรอก วันหน้าก็ไม่มีทางกลายเป็นที่พึ่งพิงให้คุณหนูรองได้ บ่าวขอบังอาจพูดตรงๆ เลยแล้วกัน คนที่คุณหนูรองสามารถพึ่งพิงได้จริงๆ นั้นมีแค่ฮูหยินกับคุณหนูใหญ่เท่านั้น”
กู้จิ่นอวี้ยิ้มจาง “ข้าจะจดจำไว้ แม่นม”
เด็กสาวที่เติบโตในชนบทคนหนึ่ง ทำเป็นแต่หากินกับดินกับทราย มีสิทธิอะไรมาเป็นที่พึ่งให้แก่นาง
สิทธิ์ของสามีขาเป๋ที่เป็นเจี้ยหยวนนั่นน่ะรึ
แม่นมแก่จนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ
……
ท่านโหวกู้ไปเยี่ยมกู้เหยี่ยน กู้เหยี่ยนไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว แต่ยังคงแสร้งทำท่าทางใกล้ตายอยู่
ท่านโหวกู้เดือดดาลยกใหญ่ กลับไปถึงจวน ไม่ว่าเหล่าฮูหยินกู้จะมาหาเขาอย่างไร เขาก็ยืนยันหนักแน่นที่จะไม่ไปหากู้ฉังชิงให้ปล่อยตัวกู้เฉิงหลินเด็ดขาด!
เมื่อเหล่าฮูหยินกู้ให้คนเอากระถางถ่านไปให้กู้เฉิงหลิน
“ส่งถ่านอะไรกัน แค่นี้ทำเขาหนาวตายได้รึ!”
ถ่านของกู้เฉิงหลินถูกบิดาเขาเก็บกลับมา
เรื่องสำนักศึกษาสตรีนี้ เซียวลิ่วหลังได้ยินข่าวมาจากที่กั๋วจื่อเจียนบ้างแล้ว
อันที่จริงเรื่องนี้ต่างจากที่ลือกันในแวดวงเล็กน้อย นั่นหาใช่ความคิดของไท่จื่อเฟยไม่ เมื่อสิบกว่าปีก่อน จวงไทเฮาก็เคยเสนอให้เปิดสำนักศึกษาสตรีขึ้นมาแล้ว ทว่าเจอฝ่าบาทกับบรรดาขุนนางฝ่ายในคัดค้านเป็นเสียงเดียวกัน
เรื่องนี้จึงโดนปัดตกไปโดยปริยาย
ยามนี้เรื่องเก่าถูกหยิบยกขึ้นมาใหม่ ความเป็นไปได้มากที่สุดคือนี่เป็นความคิดของฝ่าบาท
ราชครูจวงนำเหล่าขุนนางนับร้อยทูลขอให้เปิดกั๋วจื่อเจียนอีกครั้ง เพิ่มชื่อเสียงและอำนาจในสายตาราชสำนักกับประชาชนมากขึ้น ฝ่าบาทต้องการสั่งสมอำนาจบารมีและชื่อเสียงให้แก่ราชวงศ์ จึงได้ยืมชื่อไท่จื่อเฟยมาใช้ในการเปิดสำนักศึกษาสตรีขึ้นมา
แม้ว่าราชสำนักจะเป็นคนเปิด แต่คุณภาพของสำนักศึกษาก็ต้องไม่ด้อยจนเกินไป
ยามมื้อค่ำมาถึง เซียวลิ่วหลังเล่าเรื่องสำนักศึกษาสตรีขึ้นในโต๊ะกินข้าว
เสี่ยวจิ้งคงร้องว้าวขึ้นทันที “สำนักศึกษาสตรีรึ เช่นนั้นเจียวเจียวก็สามารถไปเรียนด้วยได้ใช่หรือไม่”
หญิงชรารู้สึกว่าคำว่า ‘สำนักศึกษาสตรี’ คำนี้มันช่างคุ้นหูแปลกๆ นางนึกทวนความจำอย่างจริงจัง ทว่านึกอะไรไม่ออกสักอย่าง หากแต่นี่กลับไม่ได้ทำให้นางขัดขวางกู้เจียวในการไปร่ำเรียนหนังสือเลยสักนิด “ไปได้”
กู้เจียวไม่ได้อยากไปเลย
คนที่ผ่านการสอบมหาโหดอย่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วในชาติก่อนนั้น ชาตินี้คงไม่อยากจะพลิกเปิดหนังสืออีกแล้ว
และที่บ้านก็ไม่ได้บีบบังคับนางด้วย อย่างไรเสีย ความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับให้ไปเรียนนั้นมันช่างน่าโศรกเศร้าสิ้นดี
เซียวลิ่วหลัง กู้เสี่ยวซุ่น กู้เหยี่ยนและเสี่ยวจิ้งคงต่างรู้ซึ้งกันมากับตัวแล้ว!
หลังจากกินข้าวเสร็จ จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็มองกู้เจียวอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “เจียวเจียว ข้าอยากกินผลไม้เคลือบน้ำตาล!”
กู้เจียวลูบหมวกเสือน้อยของเขาไปมา “เอาสิ ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้า”
นี่เป็นประโยชน์ของการที่บ้านติดถนน อยากกินอะไรก็สามารถไปซื้อได้ตลอดเวลา ตอนอยู่ในชนบทนั้นไม่มีอย่างนี้หรอก
“ข้าไปเอง” เซียวลิ่วหลังบอก
“ไม่ได้ไกลมากเสียหน่อย” กู้เจียวเอ่ย
หญิงชราโบกมือไปมา “เอาละ พวกเจ้าสองคนไปด้วยกันมันเสียเลย! มาเถียงกันอยู่ได้!”
ทั้งคู่ไปถนนใหญ่ฉางอันด้วยกัน
เมื่อออกจากบ้านมาฟากฟ้ายังไม่มีหิมะตก ทว่าเดินมาได้ครึ่งทางเกล็ดหิมะก็พลันโปรยปรายลงมาทันที
กู้เจียวทอดมองหิมะโปรยปรายบนศีรษะ ก่อนจะเอ่ยสะทกสะท้อนใจว่า “หิมะของเมืองหลวงมาเร็วเสียจริง”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “ปีนี้ไม่เรียกว่าเร็วหรอก บางปีเดือนสิบก็มาแล้ว”
“อ๋อ” กู้เจียวถามต่อว่า “เมื่อก่อนเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนานมากหรือไม่”
ทั้งสองคนไถ่ถามความลับของกันและกันน้อยนัก หัวข้อสนทนาเช่นนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างปรองดองกันได้เช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
“อืม” เซียวลิ่วหลังส่งเสียงอืมมาคำหนึ่ง
กู้เจียวไม่ได้ไล่ถามอีก หัวข้อสนทนาบางข้อถูกยกมาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่ควรเอ่ยถึงลึกลงไป
นางมองถนนที่ครึกครื้นไม่มีวันหลับไหลพร้อมเอ่ยว่า “เมืองหลวงดีจริงๆ”
เซียวลิ่วหลังมองนาง “เจ้าชอบเมืองหลวงรึ”
“อืม” กู้เจียวเอ่ยว่า “เมืองหลวงคึกคัก”
อันที่จริงนางไม่ชอบความคึกคักเลย แต่เอาตัวมาอยู่ในสภาพแวดล้อมอันคึกคักแล้วจะทำให้นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
หิมะตกหนักมาก แต่ลมกลับหยุดลงแล้ว เกล็ดหิมะโปรยปรายลงพื้นอย่างเงียบงัน
จำได้ว่าเคยมีค่ำคืนหิมะเช่นนี้ในเมืองประจำอำเภอเช่นกัน พวกเขาออกมาซื้อขนมดอกกุ้ยฮวา นั่งอยู่หน้าร้านแผงลอยเล็กๆ กินบัวลอยร้อนๆ สองถ้วย
ตอนนั้นชีวิตลำบากมาก
แม้แต่จะซื้อไข่ดาวให้ตัวเองสักฟองนางยังหักใจไม่ลง นางให้เถ้าแก่เอาให้เขาแค่คนเดียว
แม้ว่าความจริงแล้วกู้เจียวจะไม่ชอบกินไข่ดาวก็เถอะ แต่เซียวลิ่วหลังไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงซาบซึ้งใจมาจนถึงทุกวันนี้
“ไอ้หยา เจ้าเดินประสาอะไรน่ะ”
กู้เจียวชนคนเข้า เป็นเด็กหนุ่มที่เร่งรีบคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มโดนชนจนเกือบล้ม เขาตวาดใส่กู้เจียวอย่างแรงว่า “ระวังหน่อย!”
กู้เจียว “อ้อ”
นางชนคนเขาจริงๆ
นางก็ไม่ใช่คนไร้เหตุไร้ผล
บางครั้งนางก็เชื่อฟังมาก
นางเอ่ยขอโทษออกไป
เด็กหนุ่มคนนั้นจึงเอ่ยอะไรอีกไม่ได้ ทำเพียงบ่นแล้วเดินห่างออกไป
ถนนใหญ่ฉางอันผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา พอไม่ทันระวังก็ชนคนอื่นได้
เซียวลิ่วหลังมองนางแวบหนึ่ง อยากจะเอ่ยบางอย่างขึ้นแต่ชะงักไป
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ซ้ำยังมีลมหนาวพัดโชยมาอีก
“เอ๋ เหตุใดผลไม้เคลือบน้ำตาลจึงไม่มาขายเล่า ข้าจำได้ว่าตอนกลางวันยังอยู่แถวๆ นี้อยู่เลย” มือน้อยๆ ของกู้เจียวหนาวจนแข็งยะเยือก นางเอามือลงมาชิดริมฝีปากแล้วพ่นลมใส่
เซียวลิ่วหลังมองมือนางก่อนที่ปลายนิ้วเขาจะขยับ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยื่นออกไปหา
กู้เจียวพ่นลมใส่อีกสองสามครา หนาวจะตายอยู่แล้ว
ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็เรียกความกล้า ยกมือขึ้นหมายจะไปคว้ามือนางมา
“อ๊ะ เจอแล้ว เจ้าดูสิ!” กู้เจียวยกมือขึ้นชี้
มือเซียวลิ่วหลังยื่นไปกลางอากาศ กู้เจียวชี้เสร็จก็หันกลับมามองเขา เขายกมือที่ยื่นไปกลางอากาศขึ้นมาลูบท้ายทอยอันหล่อเหลาของตัวเองอย่างเงียบๆ และแนบเนียนยิ่ง
กู้เจียวเดินไปซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลห้าไม้โน่นแล้ว “จริงสิ น้องชาย ผลไม้เคลือบน้ำตาลของเจ้ามีที่น้ำตาลน้อยๆ หรือไม่”
พ่อค้าแย้มยิ้ม “บังเอิญนัก แม่นาง มีอยู่จริงๆ ด้วย! หลานชายข้าเพิ่งจะขวบเดียว ชอบกินมาก แต่กินมากแล้วฟันผุ ข้าจึงทำมาสองสามไม้สีแดงๆ นั่นน่ะ ไม่ได้ใส่น้ำตาลเยอะเลย!”
“เช่นนั้น ให้ข้าสักสองไม้ได้หรือไม่” กู้เจียวถาม
“ได้สิ!” พ่อค้าหยิบผลไม้เคลือบน้ำตาลสองไม้ที่ไม่หวานให้กู้เจียว “ทั้งหมดเจ็ดอีแปะ แถมไม้เล็กนี่ให้ท่านด้วย”
“ขอบใจมาก” กู้เจียวรับผลไม้เคลือบน้ำตาลมาถือไว้ในมือเดียวทั้งหมด กำใหญ่มากทีเดียว เกือบจะถือไม่หมดแหน่ะ
เซียวลิ่วหลังเห็นนางถือแล้วกินแรงไม่น้อย จึงโน้มน้าวนางว่า “ข้าถือให้เอง“
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก! ข้าถือได้!”
พูดจบก็หันหลังเดินกลับทันที
เซียวลิ่วหลังถือไม้เท้าตามไป
เดินกันไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นมือน้อยๆ อ่อนนุ่มข้างหนึ่งก็ยื่นมาจับมือเขาไว้
เซียวลิ่วหลังชะงักไป
กู้เจียวเอียงคอกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “หากเจ้าถือผลไม้เคลือบน้ำตาล ก็จับมือข้าไม่ได้น่ะสิ เมื่อครู่จะจับมือข้ามิใช่หรือ”
เซียวลิ่วหลังหน้าแดงเห่อขึ้นมาทันที พลันรู้สึกว่าดวงใจพองโตขึ้นมา