สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 177 หลอกลวง
หลิ่วอีเซิงอย่างนั้นรึ
ชื่อนี้ คุ้นหูเหมือนกันแฮะ
แต่ในเวลานี้ กู้เจียวมิอาจนึกได้ทันทีว่าไปได้ยินจากที่ไหน
กู้เจียวให้ผู้ช่วยจัดแจงยามาให้ใหม่ โดยไม่คิดเงินเพิ่ม
ชายหนุ่มนามหลิ่วอีเซิงรับยามา แล้วรีบเดินออกไป
พอเดินไปได้เพียงสองก้าว เขาก็หันกลับมา เอ่ยพึมพำ “บางที เจ้าอาจคิดผิดก็ได้ที่ช่วยข้า”
เขาโดนหลอกมาตลอด แม้จะรู้สึกมีความหวังในทุกๆ ครั้ง แต่ท้ายที่สุด ก็กลายเป็นผิดหวังซ้ำๆ
และครั้งนี้ เขารู้ว่าแม่นางคนนี้ไม่ได้หลอกเขาแน่ๆ
ครั้งผ่านๆ มา เขาคาดหวังว่าจะรักษาอาการได้ แต่ครั้งนี้ เขาเกิดไม่อยากหายขึ้นมาจริงๆ
แล้วเขาก็เดินจากไป
พอกู้เจียวเดินเข้าไปในโรงหมอ นอกจากหมอซ่งและผู้ดูแลหวังที่กำลังง่วนอยู่กับหน้าที่ของตนเอง เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่เป็นคนท้องถิ่นของเมืองหลวงต่างพากันก้มศีรษะและไม่กล้าพูดอะไร
“เสี่ยวกู้! ข้ากลับมาแล้ว”
เถ้าแก่รองเดินตัวปลิวเข้ามาในโรงหมอ พลางเอ่ย “มีเงินนี่มันดีจริงๆ เลย เจรจาง่ายขึ้นตั้งเยอะ! เอ๋ ว่าแต่ พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด ดู ดู ดูแต่ละคนสิ หน้าซีดเชียว เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ”
ผู้ดูแลหวังอธิบายให้เขาฟัง “ก็เมื่อครู่นี้ มีคนไข้ที่ชื่อหลิ่วอีเซิงเข้ามารักษา จู่ๆ ก็ถูกรุมทำร้าย แถมยังห้ามแม่นางกู้ไม่ให้ไปยุ่งกับเขาอีกด้วย”
เถ้าแก่รองหน้าถอดสี “ละ… แล้ว แล้วเสี่ยวกู้ รักษาให้เขาหรือ”
ผู้ดูแลหวังตอบ “แน่นอนสิ แถมยังกำราบพวกคนที่เข้ามาหาเรื่องเสียอยู่หมัดเลยเชียวล่ะ”
และเป็นอีกครั้งที่เถ้าแก่รองเอามือกดจุดตรงปาก ลูกตาดำผลุบหาย เข่าอ่อนเป็นลมล้มไป!
รู้ตัวอีกที ก็ถูกหามขึ้นมาอยู่บนเตียงในห้องผู้ป่วยชั้นสอง พอได้สติแล้ว เขารีบเดินลงไปหากู้เจียวที่ชั้นล่าง
ผู้ช่วยออกไปกินข้าว ส่วนกู้เจียวกำลังจัดแจงยาให้ผู้ป่วย
เถ้าแก่รองไม่รอช้า รีบเข้าไปคว้าข้อแขนของกู้เจียว “เสี่ยวซ่งมานี่หน่อย มาจ่ายยาให้คนไข้ที”
“ได้เลย!” หมอซ่งวางมือจากการตากสมุนไพร แล้วมารับหน้าที่ต่อจากกู้เจียว
เถ้าแก่รองลากกู้เจียวไปที่ลานด้านหลังโรงหมอ
เขามองกู้เจียวเสมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไม่ได้มองเป็นอย่างอื่น
“ไหนเจ้าลองบอกข้ามาซิ คนที่ชื่อหลิ่วอีเซิงที่เจ้าเจอวันนี้มีรูปพรรณเป็นเช่นไร”
“หล่อดี” กู้เจียวเอ่ย
เถ้าแก่รองรู้ความชอบของเสี่ยวกู้เป็นอย่างดี เพราะที่เรือนนางมีทั้งเซียวลิ่วหลัง ทั้งกู้เหยี่ยนที่ต่างก็เป็นหนุ่มรูปงามทั้งคู่ และการที่คนคนๆ นี้ถูกเสี่ยวกู้ชมว่าหล่อได้ นั่นแปลว่าเขาคือหลิ่วอีเซิงที่กำลังเป็นที่โจษจันอยู่แน่ๆ
เถ้าแก่รองได้แต่รู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก “ตายแล้ว แย่แล้ว ตายแน่ๆ …”
“หลิ่วอีเซิงที่ว่านี่เขาเป็นใครมาจากไหนกัน เหตุใดถึงไม่ควรรักษาเขา”
“เขาเป็นคนขององค์รัชทายาทที่ไม่ได้สืบทอดอำนาจต่อน่ะสิ!” เถ้าแก่รองทำหน้าขุ่นมัว พลางเล่าถึงเหตุการณ์ในวัง “องค์เหนือหัวคนปัจจุบันมิได้มาจากทายาทที่แท้จริง คนที่จะได้ขึ้นครองราชย์ควรจะเป็นบุตรชายของหลิ่วกุ้ยเฟย แต่จวงไทเฮาจู่ๆ เกิดล้มอำนาจตระกูลหลิ่ว แล้วให้บุตรบุญธรรมของจิ้งเฟยขึ้นรับตำแหน่งแทน”
กู้เจียวตั้งใจฟัง
เถ้าแก่รองเล่าต่อ “พวกตระกูลหลิ่วไม่ยอม เลยวางแผนลอบทำร้ายฮ่องเต้ ไม่เพียงแต่ใช้กลวิธีและอุบายต่างๆ ต่อกรกับฮ่องเต้และไทเฮาเท่านั้น แต่ยังแอบตัดฉลองพระองค์ให้บุตรชายของตัวเอง พอหลังจากเกิดเรื่อง ตระกูลหลิ่วก็ถูกกำจัดทั้งโคตร ส่วนไท่จื่อและไท่จื่อเฟยถูกคุมขังตลอดชีพ สุดท้ายทั้งคู่ก็ลาโลกนี้ไปพร้อมๆ กัน”
“หลักฐานมากพอที่จะมัดตัวพวกเขา คนในราชสำนักจึงไม่มีใครกล้าปกป้องพวกเขา ส่วนหลิ่วอีเซิงที่ว่านี้ก็คือทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหลิ่ว คราวนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยังว่าเหตุใดหมอทั้งเมืองถึงไม่กล้ารักษาเขาห”
กู้เจียวร้องอ๋อ มิน่าล่ะตำรับยาในมือเขาถึงได้เป็นของปลอมทั้งหมด
เถ้าแก่รองหรี่ตามองเด็กสาวตรงหน้า “เจ้าจะไม่ออกความเห็นอะไรเลยรึ”
อย่างน้อยก็พูดออกมาสักนิดสิว่า ไม่น่าช่วยคนแบบนั้นเลย อะไรประมาณนี้ก็ยังดี
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก แล้วเอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่ “อ๋อ พรุ่งนี้บอกให้ครัวใส่เกลือน้อยๆ หน่อยนะ กับข้าวเค็มมากเลย”
เถ้าแก่รอง “…”
หลังจากที่จัดเก็บยาเสร็จ กู้เจียวก็ไปนักพักดื่มน้ำที่ห้องพักของตน
ขณะที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นได้
“นึกออกแล้วว่าเคยได้ยินชื่อที่จากที่ไหน”
ที่แท้ก็ในฝันนี่เอง
เป็นความฝันที่นางได้กลับไปยังจวนโหว
กู้เจียวฝันว่าตัวเองพำนักอยู่ที่จวนโหวเป็นเวลาสิบปี โดยที่ไม่มีใครสนใจนางเลย และในช่วงปีที่นางกำลังจะใกล้ตายนั้นเอง ก็เกิดพายุหิมะครั้งใหญ่ มีกลุ่มคนและม้าเดินผ่าน มาขอพำนักที่จวนชั่วคราว
และในตอนนั้นเอง มีบุรุษอายุราวสามสิบปีเข้ามาขอน้ำชาร้อนกับนาง
ชายผู้นั้นแลดูภูมิฐานมีชาติตระกูล ทุกอิริยาบถของเขาบ่งบอกได้ถึงความเป็นผู้นำ
เสียงคำขอบคุณจากเขา เต็มไปด้วยความจริงใจ “ข้ามีนามว่าหลิ่วอีเซิง ขอบใจแม่นางมากสำหรับน้ำชา”
ขณะที่นางกำลังยื่นมือรับถ้วยชาจากเขา ก็เผลอสัมผัสเข้าไปโดนนิ้วของเขา
เย็นอย่างกับน้ำแข็ง
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พายุหิมะเริ่มสงบลง เขาก็จากไปพร้อมกับทหารคนอื่นๆ
ก่อนที่เขาจะขึ้นรถม้า นางได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยเรียกชื่อเขา…หลิ่วเซี่ยง
…
โบราณว่าไว้ เรื่องดีไม่ดัง เรื่องดังมักไม่ดี
ข่าวที่โรงหมอรับหลิ่วอีเซิงเป็นคนไข้ได้ถูกแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ตกบ่ายมีฝูงชนมารุมดูที่หน้าโรงหมอกันอย่างคึกคัก
และแล้ว ก็มีอะไรให้ดูจริงๆ
ชายร่างใหญ่ที่ถูกกู้เจียวเล่นงานกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาพาทหารมาด้วย
ดูๆ แล้วนายทหารพวกนี้ไม่น่าจะใช่ตำรวจ น่าจะเป็นทหารยามของตระกูลยศใหญ่เสียมากกว่า
ชายร่างใหญ่ชี้นิ้วไปทางกู้เจียว “ท่านเถิง! นั่นแหละนาง! คนที่ทำร้ายพวกเราทั้งหมด!”
คนที่ถูกเรียกว่าท่านเถิงที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มหันไปมองตาม ก็เห็นร่างของเด็กหญิงอายุราวๆ สิบสี่สิบห้าขวบ แล้วเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความงุนงง “คนไหนนะ”
“ก็นางไง! เด็กผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ !“” ชายร่างใหญ่เอ่ยตะโกน
นายทหารเถิงขมวดคิ้ว ชำเลืองกู้เจียวอยู่พัก ก่อนจะหันกลับมาที่ช่ายร่างใหญ่ “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า พวกเจ้าถูกเด็กหญิงคนนั้นเล่นงานจนกลายเป็นหมาอย่างนั้นรึ”
หมา หมาเหมออะไรกัน
ชายร่างใหญ่ไม่อาจยอมรับความจริงได้!
แต่พอนึกถึงตอนที่เขาถูกต่อยจนฟันหลุด จนต้องควานหาซี่ฟันของตัวเองที่ตกอยู่บนพื้น ก็ต้องยอมรับว่าสภาพนั้นแย่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก
นายทหารเถิงเอ่ยถาม “หรือว่าจะมีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลังนาง”
เป็นฝีมือของเด็กสาวคนนี้จริงหรือ
เขาไม่เชื่อหรอก
ชายร่างใหญ่เริ่มไฟสุม “นายท่าน! เป็นฝีมือนางจริงๆนะ!”
นายทหารเถิงเดินเข้าไปในโรงหมอ อ๋อ ทุกคนต่างเข้ามารุมล้อมที่หน้าโรงหมอจนแออัดไปหมด
“ได้ยินมาว่า เจ้าทำคนเจ็บอย่างนั้นรึ” เขาหันไปหากู้เจียวที่กำลังเปิดอ่านสมุดบัญชีอยู่
กู้เจียวยังคงก้มหน้าดูสมุดต่อ ไม่สนใจเสียงรอบข้าง
เถ้าแก่รองเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี เลยรีบออกหน้าแทน “นายท่านผู้นี้ เอ่อ คือว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ เข้าใจผิดแน่ๆ ขอรับ!”
“เข้าใจผิดอะไรกัน ทำร้ายคนของข้าเสียขนาดนั้น เจ้าตาบอดรึไง” ชายร่างใหญ่พอได้คนมาหนุนหลังทีก็เริ่มได้ใจ
เถ้าแก่รองยิ้มแหยให้ พลางเอ่ย “พวกเราจะรับผิดชอบค่ายาของพวกท่าน…”
ปึง!
กู้เจียวกระแทกสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ
เถ้าแก่รองเริ่มใจคอไม่ดี ตายแล้ว แย่แล้ว เสี่ยวกู้เป็นบ้าไปแล้วรึ!
เสี่ยวกูใจเย็นเย็นก่อนนะ ที่นี่ไม่ใช่ชนบท ที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน แต่ที่นี่คือเมืองหลวงนะ!
ดูท่าคนพวกนี้ ไม่ได้มาเล่นๆ แน่นอน พวกเราเอาไม่อยู่หรอก!
กู้เจียวลุกขึ้นยืน แล้วเกาที่ใบหูอย่างเหลืออด “จะเข้ามาทีละคนหรือจะเข้ามาพร้อมกันล่ะ”
พอถามจบ ก็รีบชิงตอบเอง “ มาพร้อมกันเลยก็แล้วกัน น่ารำคาญชะมัด”
เถ้าแก่รองตะโกนร้องในใจ ไม่นะ เสี่ยวกู้ ไม่เอา เจ้าทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง
นายทหารเถิงตกใจกับคำพูดของกู้เจียว ก่อนจะระลึกได้ว่ากู้เจียวหมายความว่าอย่างไร
เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ปากเก่งเสียเหลือเกินนะ
เขาเอ่ย ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าเป็นบุรุษ ไม่ทำร้ายสตรี ไปเรียกหัวหน้าของพวกเจ้ามาเดี๋ยว…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ กู้เจียว ก็เดินมาคว้าที่คอเสื้อของเขา แล้วลากเข้าออกไปจากโรงหมอ
เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ทหารธรรมดา และเขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ จึงต้องสวมชุดนอกเครื่องแบบ ตัวตนที่แท้จริงของเขา เรียกได้ว่า เขาสามารถเดินเหินบนถนนในเมืองหลวงโดยที่ไม่มีใครมาขวางเขาได้
แน่นอนว่าวิทยายุทธ์ของเขาก็เช่นกัน
ไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้มาก่อน
กว่าเขาจะรู้ตัวอีกที ก็พบว่าร่างของตัวเองกำลังจะชนเข้ากับรูปปั้นสิงโตที่หน้าโรงหมอแล้ว
เขาโมโหอย่างมาก ครั้นจะคว้าดาบออกมา แต่ยังไม่ทันไร ก็ถูกกู้เจียวใช้เท้าดันมันกลับเข้าไป
จู่ๆ มีกระบองไม้ท่อนหนึ่งกลิ้งมาทางกู้เจียว
นางใช้ปลายเท้าเหยียบเบาๆ ไปที่ปลายกระบองไม้เพื่อให้ขึ้นมา จากนั้นคว้าเอาไว้ แล้วแกว่งมันไปทั่ว
ชายร่างใหญ่พุ่งตัวออกมาจากโรงหมอ
พอเห็นว่านายทหารเถิงกำลังปะทะกับเด็กสาวคนนั้น ก็รีบตะโกนร้อง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เขาเป็นคนของจวนองค์รัชทายาทนะ! หากเจ้าทำร้ายเขา! รับรองเจ้าไม่ตายดีแน่!”
พูดถึงเฉาเชา เฉาเชาก็มา
บุรุษรูปงามสวมชุดผ้าทอควบม้ามาทางนี้ พร้อมกับผู้ติดตามที่ดูแล้วคงมีฝีมือวิทยายุทธไม่น้อย
เขาทั้งดูมีชีวิตชีวาและแลดูภูมิฐานสมฐานะที่เป็นตัวแทนของราชวงศ์
ดวงตาคู่นั้นของเขา เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล
กู้เจียวอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอกับพระรูปงามในป่า
แปลกต่างก็ตรงที่ พระรูปงามนั้นดูดีกว่าบุรุษคนนี้
นายทหารเถิงเห็นดังนั้น ก็รีบคุกเข่าแล้วยื่นมือคำนับ “องค์ชายสี่!”
ผู้คนต่างเข้ามารุมล้อมกันมากขึ้น
ดูท่าบุรุษที่ถูกเรียกว่าองค์ชายสี่ไม่ได้สนว่าจะตนกำลังถูกจับตามอง ตรงกันข้าม ดูเหมือนเขาจะชื่นชอบมันเสียด้วยซ้ำ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” องค์ชายสี่หันไปถามนายทหารด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
นายทหารจึงถลึงตาใส่ชายร่างใหญ่
ชายร่างใหญ่ พอได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนทั้งร่างของเขาแทบจะกองลงไปอยู่กับพื้น
อย่างเขาน่ะหรือจะไม่รู้ว่าองค์ชายสี่คือใคร
เป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นเจาเชียวนะ!
นายทหารขมวดคิ้ว ชายร่างใหญ่ผู้นี้คือญาติห่างๆ ของเขา ปกติแล้ว มักจะชอบทำตัวกร่างไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยก่อปัญหาร้ายแรงอะไร แล้วเวลาที่มีปัญหาอะไรที่จัดการด้วยตัวเองไม่ได้ก็มักจะถามหาถึงเค้าให้ช่วยจัดการให้
“ทูลองค์ชายสี่ มีเด็กสาวอันธพาลคนหนึ่ง กระหม่อมแค่ต้องการถามเรื่องบางอย่าง แต่นางกลับใช้กำลังกับกระหม่อมขอรับ”
องค์ชายสี่เหลือบไปมองบริเวณแก้มด้านซ้ายของนายทหารที่บวมเต่งออกมา พลางเอ่ยถาม “สรุปแล้ว รอยแผลบนหน้าเจ้า เป็นฝีมือของแม่สาวน้อยคนนี้อย่างนั้นรึ”
นายทหารก้มหัวเหงื่อตกพูดไม่ออก
และในตอนนั้นเอง เถ้าแก่รองที่ยังไม่รู้ว่าองค์ชายสี่เป็นใครมาจากไหน ก็รีบออกตัวอธิบาย “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ขอรับ คือพวกเราเพิ่งเปิดโรงหมอมาได้ไม่นาน ยังไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง โรงหมอของพวกเรารับคนไข้มาคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะทำให้ชายร่างใหญ่ผู้นี้ไม่พอใจ ก็เลยเข้ามาทำร้ายหมอของพวกเรา จากนั้นก็ตามกำลังเสริมมาช่วยขอรับ”
“องค์ชะ…” ทันทีที่ชายร่างใหญ่อ้าปาก เขาก็ได้รับสายตาที่เฉียบคมจากองค์ชายสี่ เขาตัวสั่นและเปลี่ยนคำพูด “ท่านชายสี่ขอรับ คนที่พวกเขาให้การรักษา คือหลิ่วอีเซิงนะขอรับ”
ในตอนนั้นพวกตระกูลหลิ่วเคยลอบทำร้ายบิดาขององค์ชายสี่ แน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้คนของตระกูลหลิ่วได้รับการรักษาใดๆ เป็นอันขาด
หึ ตายแน่ เจ้าเด็กแสบ!
“ใครเป็นคนรับรักษา แม่นางผู้นี้รึ” องค์ ชายสี่หันไปทางกู้เจียว ก่อนจะหรี่ตาและมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์และยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย “ในเมื่อแม่นางไม่รู้จักหลิ่วอีเซิง ก็ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน”
ชายร่างใหญ่ทำหน้าตะลึง
องค์ชายสี่เอ่ยเช่นนี้หมายความเยี่ยงไรกัน
เขาจงเกลียดจงชังพวกตระกูลหลิ่วที่สุดมิใช่รึ
ครั้งก่อน ที่เขารู้ว่ามีโรงสี ขายข้าวชั้นดีให้แก่พวกตระกูลหลิ่ว องค์ชายสี่ก็ส่งคนไปตะลุมบอนที่โรงสีนั้น
ในทางกลับกัน นายทหารเถิงรู้และเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น
ข่าวซุบซิบของวงไหนว่ากันว่า องค์ชายสี่ทรงโปรดคนเอวบางร่างเล็กเป็นพิเศษ
แม่นางคนนี้แม้จะหน้าตาไม่ได้สะสวยอะไร แถมยังมีรอยปานแดงบนหน้า แต่ที่แน่ๆ คือ นางเป็นเด็กสาวเอวบางร่างน้อย
คงถูกพระทัยองค์ชายสี่น่าดู
องค์ชายสี่ควบม้าไปทางกู้เจียว ยืดตัววางท่าบนหลังม้า ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้ๆ แล้วยิ้มให้นาง “ขอทราบชื่อเจ้าได้หรือไม่”
กู้เจียวไม่สนใจเขา เดินสะบัดหนีไป
จู่ๆ ผู้ติดตามในชุดสีเทากระโดดลงมาจากหลังม้าเพื่อมายืนขวาง
กู้เจียว “ถอยไป”
ผู้ติดตาม “เจ้าต้องตอบคำถามนายของข้าเสียก่อน”
ส่วนผู้ติดตามอีกสามคน ก็จ้องเขม็งไปที่กูเจียวอย่างไม่ละสายตา
กู้เจียวจึงเดินเข้าไปทางองค์ชายสี่ แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา
องค์ชายสี่ยิ้มมุมปาก รอคำตอบจากหญิงสาวตรงหน้า แต่กลับกลายเป็นว่า กู้เจียวดึงตัวเขาลงมาจากหลังม้า แล้วตัวเองก็กระโดดขึ้นมาแทน จากนั้นควบม้าออกไป
องค์ชายสี่ที่ถูกดึงร่างลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “…”
เขาตะโกนร้องด้วยความโมโห “จับตัวนางให้ได้!”
ผู้ติดตามของเขารีบควบม้าตามไปอย่างรวดเร็ว
หากว่ากันตามจริงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้ขี่ม้า จึงคุมม้าไม่เป็น และไม่นาน ก็ถูกตามไล่หลังทัน
กู้เจียวคว้าเชือกไว้แน่น พอวิ่งถึงตรอกตรอกๆ หนึ่ง ก็ตัดสินใจกระโดดลงจากม้า แล้วปีนขึ้นหลังคาเรือน กระโดดข้ามไปทีละหลังๆ
เบื้องล่างมีรถม้าคันหนึ่ง กู้เจียวค่อยๆ ย่องเบาๆ วางแผนว่าจะใช้หลังคารถม้าเพื่อลดแรงกระแทกยามกระโดดลงไป ก่อนจะเตรียมยิงเข็มเงินที่อยู่ในมือ
กู้เจียวไม่รู้ว่ารถม้าคันนั้นเป็นของเซวียนผิงโหว
ขณะนั้นเอง เซวียนผิงโหวกำลังนอนเอนกายลงบนเบาะนั่งนิ่มๆ มือหนึ่งค้ำหัวไว้ ส่วนอีกมือก็คว้าพุทราเข้าปากอย่างสบายใจ
และในตอนนั้นเอง ฉางจิงกำลังหาลูกแก้วของเขาอยู่ที่บริเวณด้านนอกรถม้า หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจยกหลังคารถม้าออก เผื่อว่าจะเจอ
“ไอ้หยา!”
พอหลังคาหายไป กู้เจียวจึงพลัดตกลงไปในรถม้า
วันนี้เซวียนผิงโหวได้ลิ้มรสสิ่งที่เรียกว่าโชค (ร้าย) หล่นทับ
เท้านั้นเหยียบบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาพอดิบพอดี จนร่างของเขาก็กลิ้งตกลงจากเบาะนั่ง ซ้ำยังถูกอีกร่างหนึ่งกลิ้งทับราวกับตนเองกลายเป็นเสื่อไปแล้ว
กู้เจียวได้แต่งุนงง
และเอียงหัวไปมา
เอ๋
ไม่รู้สึกเจ็บเลยแฮะ
คนที่เจ็บคือเซวียนผิงโหวต่างหาก!
เอวของเขา เอวที่เขาทะนุถนอมมานานหลายปี
ฉางจิ่ง! ข้าบอกเจ้าตั้งหลายหนแล้วว่าอย่าแยกโครงสร้างรถม้าสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้!
แต่เขากลับพูดไม่ออก เพราะเขาสำลักเม็ดพุทราเข้าเต็มๆ !