สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 182 แม่ผู้เมตตา
บทที่ 182 แม่ผู้เมตตา
เซียวลิ่วหลังแทบอยากจะมุดตัวหนี
กู้เจียวเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี แม้แต่ตอนที่ล้างจานก็ฮัมเพลงออกมา
วันถัดมา
เซียวลิ่วหลังและเสี่ยวจิ้งคงเดินทางไปยังกั๋วจื่อเจียน
กู้เสี่ยวซุ่นกินข้าวเสร็จอย่างรวดเร็ว ขณะที่กู้เหยี่ยนกินข้าวแค่นิดเดียว ทั้งสองสะพายกระเป๋าหนังสือแล้วเดินออกไป
เซียวลิ่วหลังไม่ได้เอาเรื่องที่รองเจิ้งเขียนจดหมายไล่เขาออกมาใส่ใจ เขาคุ้นเคยกับกฎของกั๋วจื่อเจียนดีอยู่แล้ว กลลวงพรรค์นั้นอาจได้ผลกับคนอื่น แต่ไม่มีทางหลอกเขาได้แน่นอน เขารู้ว่าหากจะให้จดหมายนั้นมีผลต้องให้จี้จิ่วลงนามด้วย
และเรื่องที่ควรถูกพูดถึงก็คือ ฝ่าบาทได้ทรงทราบเรื่องที่รองเจิ้งกลั่นแกล้งเด็กบัณฑิตกับยักยอกบัญชี เขาจึงถูกยึดตราตำแหน่งจี้จิ่วไป
แผนของรองเจิ้งคือแค่ขู่ให้เซียวลิ่วหลังกลัวและออกจากกั๋วจื่อเจียนไปพร้อมๆ กับเสี่ยวจิ้งคง แต่ตอนแจ้งเรื่องดันบอกว่าเด็กทั้งสองยอมสละสิทธิ์เอง
เซียวลิ่วหลังเดินมาส่งเสี่ยวจิ้งคงที่หน้าประตู “วันนี้ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่องนะ”
เสี่ยวจิ้งคงกลอกตาไปมา ก่อนเอ่ยถาม “แล้ว พรุ่งนี้ได้ไหม”
เซียวลิ่วหลัง “…”
นับวันยิ่งแสบนะเรา
“ไปเรียนหนังสือ!” เซียวลิ่วหลังเอ็ดเขา
“ออ” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งอุ้มกระเป๋าหนังสือเข้าไปในห้องเรียน
“ช้าก่อน” เซียวลิ่วหลังเรียกเขาให้หยุด “หินที่อยู่ในกระเป๋า ส่งมาให้ข้า”
เสี่ยวจิ้งคงหันด้วยท่าทีขึงขัง “วันนี้ก้อนหินน้อยของข้าบอกว่าอยากจะเข้าเรียนด้วย”
เซียวลิ่วหลังยังคงหน้านิ่ง “แล้วไม้ยิงหนังล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าอึ้ง ชะงักพลางนึก รู้ได้ไงว่าเอาไม้ยิงหนังมาด้วย อุตส่าห์ซ่อนไว้อย่างดีเชียว!
เซียวลิ่วหลังคิดในใจ เหอะ ข้าโดนเจ้าหลอกมาแล้วครั้งนึง จะให้มีครั้งที่สองอีกเหรอ
สุดท้ายก็โดนเซียวลิ่วหลังริบเก็บ
เสี่ยวจิ้งคงกอดกระเป๋าแล้วเดินออกไปพลางถอนหายใจ
เฮ้อ
…ไม่ง่ายเลย
เซียวลิ่วหลังก้มมองไม้ยิงหนังในมือ ยกมุมปาก หึ เจ้าเด็กนี่นับวันชักจะเอาเรื่องใหญ่ล่ะนะ
ส่วนรองเจิ้งที่โดนทั้งฮ่องเต้และเซวียนผิงโหวเล่นงานจนย่ำยี ก็เป็นอันล้มป่วยไปจริงๆ อย่างน้อยก็ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ที่เขาจะไม่ออกมาก่อความวุ่นวายอีก
ช่วงต้นปี หิมะตกเบาบางกว่าช่วงสิ้นปี แต่กระนั้น ยังไม่มีท่าทีว่าอากาศจะอุ่นขึ้นแต่อย่างใด
แม่นางเหยานั่งเย็บเสื้อให้กู้เจียวอยู่ในเรือนอุ่น พร้อมกับความคิดที่ว่า บุตรสาวของตนเริ่มตัวโตแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะเมื่อก่อนไม่ได้กินดีอยู่ดีหรือเปล่า ถึงเพิ่งมาขยับขยายร่างเอาตอนนี้
แม่นางเหยาไม่ชอบให้บุตรสาวใส่เสื้อหลวมๆ แต่จะชอบให้ใส่พอดีตัว ใช้ไปเดือนสองเดือนก็ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว
“ด้ายทองที่ฮูหยินให้มาไปไหนแล้วล่ะ” แม่นางเหยาเอ่ยถามแม่นมฝาง
ช่วงนี้แม่นางเหยาคอยดูแลเหล่าฮูหยินกู้จนกลายเป็นคนโปรดไปโดยปริยาย เหล่าฮูหยินเลยยกข้าวของให้นางจำนวนไม่น้อย
ที่เหล่าฮูหยินทำเช่นนี้แน่นนอนว่าไม่ใช่เพราะความพิศวาส แต่เป็นเพราะชอบเห็นท่าทีที่แม่นางเหยาปรนนิบัติอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะเวลาที่แม่นางเหยานวดให้ แถมยังเป็นคนมีเสน่ห์ปลายจวัก ทำกับข้าวทำขนมรสมือดีใช้ได้
“เอ๋ ข้าจำได้ว่าอยู่ในตะกร้านี้นะ” แม่นมฝางเอ่ยพลางควานหา
“หาไม่เจอก็ใช้ด้านเงินไปก่อนแล้วกัน ข้าจะปักลายก้อนเมฆลงไปก่อน”
คนเราพออายุมากขึ้น ความจำก็เริ่มเสื่อม ช่วงนี้แม่นมฝางมักจะลืมของไม่ก็ทำของหายบ่อยๆ
แม่นมฝางยื่นด้านเงินให้แม่นางเหยา
ขณะที่แม่นางเหยาเตรียมร้อยด้ายอยู่นั้น เสียงเรียกของสาวใช้ที่อยู่นอกห้องอุ่นก็ดังขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ เหล่าฮูหยินรียกไปที่ตำหนักซงเฮ่อเจ้าค่ะ”
แม่นางเหยาวางทุกอย่างในมือลง “รู้แล้วล่ะ เจ้าไปบอกทีว่าข้ากำลังไป”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ขานรับแล้วเดินออกไป
แม่นางฝางรู้สึกเหนื่อยแทน “เมื่อครู่ก็เพิ่งออกมาเองมิใช่หรือ ลำบากแย่เลยฮูหยิน”
แม่นางเหยายิ้มอ่อนให้ ก่อนเอ่ย “ไม่เห็นมีอะไรน่าลำบาก ข้าแค่อยากเป็นสะใภ้ที่ดีกับนางก็เท่านั้น สะใภ้เรือนอื่นเขาก็ทำกันแบบนี้แหละ ถ้าพูดถึงเรื่องลำบาก อย่างข้าน่ะ เทียบกับเจียวเจียวไม่ได้เลยสักนิด”
แม่นมฝางไม่เอ่ยแย้งต่อ
คุณหนูใหญ่ผ่านความยากลำบากมาเยอะจริงๆ ตอนเด็กเป็นโรคทางจิต ถูกพวกตระกูลกู้ชั้นต่ำรังแกเอาเปรียบสารพัด ต่อมาพอรักษาหายแล้ว ต้องส่งสามีเรียนหนังสือ ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าส่งเด็กผู้ชายสี่คนเรียนหนังสือ นางไม่เคยขอเงินจากจวนโหวเลยสักแดง ใช้น้ำพักน้ำแรงของตัวเองล้วนๆ
“เอาล่ะ ไปตำหนักซงเฮ่อกันเถอะ อย่าปล่อยให้เหล่าฮูหยินรอนาน” แม่นางเหยาเก็บข้าวของเสร็จ สวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป
พอมาถึง ก็พบว่าอนุหลิงอยู่ที่นั่นด้วย
สีหน้าของนางดูซีดเซียวลงไปเยอะ
“ท่านแม่” แม่นางเหยาเอ่ยทักทายพร้อมกับทำความเคารพเหล่าฮูหยิน
อนุหลิงยิ้มให้พลางลุกขึ้นยืน โค้งตัวให้แม่นางเหยา “ฮูหยิน”
แม่นางเหยาตอบรับ
พอเหล่าฮูหยินเห็นว่าแม่นางเหยาต้อนรับขับสูอนุหลิงเป็นอย่างดี ก็รู้สึกสบายใจ จากนั้นวานให้คนไปยกน้ำชามาให้แม่นางเหยา
แม่นางเหยานั่งลง โดยมีสาวใช้ยกถ้วยน้ำให้
แม่นางเหยาจิบชา จากนั้นเอ่ยถาม “ท่านแม่เรียกข้ามาที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือ”
เหล่าฮูหยินกู้หันไปทางอนุหลิง
อนุหลิงหัวเราะร่า ก่อนเอ่ย “เป็นข้าเองที่เรียกท่านมา ข้ามีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน”
“เรื่องอันใดรึ” แม่นางเหยามองอนุหลิงด้วยสายตาจับผิด
อนุหลิงเอาผ้าเช็ดหน้ามาบังจมูกกับปาก ก่อนจะกระแอมแห้งออกมา จากนั้นสูดหายใจลึกแล้วเอ่ย “ช่วงนี้ก็ขึ้นปีใหม่แล้ว มะรืนนี้ก็ครบรอบวันตายของฮูหยินคนก่อน เดิมเรื่องนี้ข้าเป็นคนเตรียมการทุกอย่าง แต่ช่วงนี้ข้าไม่สบาย อาการก็ยังไม่ดีขึ้น เกรงว่าจะจัดงานออกมาได้ไม่ดีเนี่ยสิ”
“ดังนั้น เจ้าเลยจะให้ข้าทำแทนรึ” แม่นางเหยาเอ่ยถาม
อนุหลิงไอโขลกก่อนเอ่ยต่อ “ก่อนฮูหยินจะมาเป็นสะใภ้ของที่นี่ ก็เคยเป็นเพื่อนรักของท่านพี่มาก่อน ข้าเลยมองว่า หากให้ฮูหยินเป็นคนจัดการ วิญญาณของท่านพี่คงไม่ถือโทษโกรธเคืองอันใด”
แม่นางเหยาเกือบหลุดหัวเราะ
นี่นางไม่รู้เลยหรือว่าที่ผ่านมาตนต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง เกรงว่าแม้แต่ฮูหยินคนก่อนที่ตายไปอาจเกิดระแคะระคายใจว่าตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้
แล้วอย่างไร จะให้ตนไปไหว้ฮูหยินคนก่อน ไม่กลัวโลงสั่นหรือยังไง
แถมเหล่าฮูหยินยังเห็นชอบอีกด้วย ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่
อนุหลิงทำหน้าตกใจ “หรือว่าฮูหยินไม่ยินยอม”
แม่นางเหยาเอ่ย “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่กลัวว่าฮูหยินเขาจะไม่ยอมพบข้า ท่านชายทั้งสามเอาแต่ร้องไห้ต่อหน้าหลุมศพฮูหยินคนก่อน ทั้งยังก่นด่าข้า ว่าข้าเป็นคนใจดำอำมหิต นางคงเกลียดข้าเอามากๆ หากข้าไป เกรงว่าวิญญาณของนางจะไม่สงบสุขเอาน่ะสิ”
เหล่าฮูหยินกู้ย่นคิ้ว
อนุหลิงหันหน้าไปทางเหล่าฮูหยิน ก่อนจะหันมายิ้มแห้งๆ กับแม่นางเหยา “ก็เพราะเช่นนี้ไง ฮูหยินจึงต้องเป็นคนไปอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อหน้าหลุมศพของท่านพี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
พูดราวกับฮูหยินคนก่อนจะมาได้ยินจริงๆ
จนแล้วจนเล่า ก็ไม่ยักเห็นว่าเหล่าฮูหยินจะเอ่ยอะไรออกมา ดูเหมือนว่าอนุหลิงจะเข้าหาเหล่าฮูหยินก่อนหน้าแล้ว คงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรออกมาอีก
แม่นางเหยาหันไปทางเหล่าฮูหยิน “หากท่านแม่ไม่คัดค้านอะไร ลูกสะใภ้ก็ยินดีน้อมรับ เพียงแต่ นี่เป็นครั้งแรกของข้า ซ้ำยังมีเวลาให้ข้าเตรียมตัวเพียงแค่หนึ่งวันครึ่งเท่านั้น เกรงว่าคงจะต้องมีอะไรขาดตกบกพร่องเป็นแน่ เลยอยากจะให้ท่านแม่ขอให้อนุหลิงช่วยข้าตระเตรียมด้วย”
พอเห็นว่าแม่นางเหยาพูดจามีเหตุผล เหล่าฮูหยินเริ่มคล้อยตาม
เหลือเวลาไม่มากแล้วจริงๆ ตามที่นางว่า
เหล่าฮูหยินกู้หันไปทางอนุหลิง “เจ้าเองก็ป่วยมาตั้งนานแล้ว มัวแต่ไปทำอะไรอยู่! ไม่รีบช่วยฮูหยินเขาเตรียมการตั้งแต่แรก!”
อนุหลิงคาดไม่ถึงว่าแค่ประโยคถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ ของแม่นางเหยา กลับมีอำนาจโน้มนาวเหล่าฮูหยินจนถึงขั้นแสดงความไม่พอใจแก่ตน
หากปล่อยไว้แบบนี้ คงให้แม่นางเหยาเป็นหมาหัวเน่าคนเดียวไม่ได้แล้วสิ
แต่โชคยังเข้าข้าง
ที่นางนั้น…
อนุหลิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ ก่อนเอ่ย “ฮูหยินมาที่ห้องพักของข้าสิ แล้วข้าจะอธิบายเรื่องงานให้ฟัง”
แม่นางเหยาลุกขึ้น
“ฮูหยิน จะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ” แม่นมฝางกระซิบเอ่ยเตือน
แม่นางเหยากระซิบตอบ “ข้าเป็นคนรับใช้ของเหล่าฮูหยิน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า อนุหลิงต้องรับผิดชอบ”
แม่นมฝางเห็นด้วย
แม่นางเหยาจึงเดินตามอนุหลิงไปที่ห้อง
เหล่าฮูหยินกู้เองก็ไม่ไว้ใจเช่นกัน กลัวว่าอนุหลิงจะก่อเรื่องอีก เลยให้แม่นมคนสนิทตามไปดูด้วย
แม้เหล่าฮูหยินจะไม่ชอบขี้หน้าแม่นางเหยา แต่นางไม่ใช่คนที่คิดจะเล่นสกปรก พอมีแม่นมของเหล่าฮูหยินคอยประกบด้วย ทำให้แม่นางเหยาคลายความกังวลไปได้บ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม แม่นางเหยายังคงไม่ไว้ใจอนุหลิงอยู่ดี
อนุหลิงหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา “ในนี้เป็นกุญแจห้องเก็บของที่ต้องใช้ในวันงาน ข้าเตรียมรถม้ากับคนงานไว้ให้แล้ว ที่เหลือก็แค่ให้แม่นางเหยาออกหน้าตอนช่วงเช้าของวันงานก็พอ”
“แล้วท่านชายทั้งสามเล่า พวกเขาเห็นชอบไหม” แม่นางเหยาเอ่ยถาม
อนุหลิงยิ้มให้พลางพยักหน้า “เห็นชอบสิ ข้าน่ะบอกพวกเขาแล้ว”
ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
พวกเขาคิดมาตลอดว่าแม่นางเหยาเป็นคนฆ่ามารดาของพวกเขา แถมจงเกลียดจงชังจนแทบจะลากไปตายด้วย แล้วพวกเขาจะยอมให้แม่นางเหยากราบไหว้มารดาของพวกเขาได้อย่างไร
ตกกลางคืน แม่นางเหยาวานให้แม่นมฝางพาคนไปตรวจสอบข้าวของที่อนุหลิงเตรียมไว้ให้ พบว่า สำรับที่ไว้บูชาไม่มียาพิษ กระดาษเงินก็ไร้ร่องรอยน่าสงสัย ล้อรถม้าก็ยังอยู่ในสภาพดี ส่วนสารถีก็เป็นคนคุ้นเคยของที่จวน
ทุกอย่างดูปกติจนน่าตกใจ
หรือว่า นางจะคิดมากไปเอง อนุหลิงกลายเป็นแม่นางแสนดีไปแล้วจริงๆ รึ