สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 183 ยืมมือ
บทที่ 183 ยืมมือ
สุสานของตระกูลกู้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมือง ว่ากันว่าบรรพบุรุษคนเก่าคนแก่ของตระกูลเคยก่อร่างสร้างตัวอยู่ที่บริเวณแห่งนี้ จากนั้นก็กว้านซื้อพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อสร้างสุสานให้ตระกูล
คนแรกของตระกูลที่ได้ขึ้นเป็นโหวก็คือนายใหญ่กู้ พอถัดมาสามรุ่น ก็ยิ่งลดระดับลงมาเรื่อยๆ หรือก็คือ กู้ฉังชิงจะได้เป็นโหวคนสุดท้ายของตระกูล หากเขาไม่รีบทำผลงาน เช่นนั้นบุตรชายของเขาก็จะได้ยศปั๋ว หลานของเขาจะได้ยศจื่อ และเหลนของเขาจะได้ยศหนาน พอถึงรุ่นลื่อก็จะกลายเป็นแค่สามัญชน
ในแคว้นเจาเองก็มีตระกูลเช่นจวนติ้งกั๋วกงกับตระกูลจวงที่คนทุกรุ่นได้เป็นขุนนางยศใหญ่ๆ ทั้งมีความสามารถและตำแหน่งที่มั่นคง
แม่นางเหยาตื่นแต่เช้าตรู่ สวมชุดสีขาวเรียบง่ายพร้อมกับเสื้อคลุมสีเนื้ออ่อน ไม่มีทั้งเครื่องประดับทองและเงิน เครื่องหัวมีเพียงแค่ปิ่นผมที่ทำขึ้นจากหยกขาว
สาวใช้ยื่นกล่องเครื่องแป้งให้
แม่นางเหยาโบกมือปัด “วันนี้ไม่ต้องแต่งหน้าหรอก”
นางไปไหว้หลุมศพนะ ไม่ได้ไปงานรื่นเริง
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเก็บกล่องเครื่องแป้งออกไป
“ท้องฟ้าขมุกขมัวยิ่ง เกรงว่าหิมะจะตกเอานี่สิ” แม่นมฝางสังเกตสภาพอากาศข้างนอก พลางเอามือถูไปมา “ฮูหยิน เกรงว่าเสื้อคลุมตัวนี้จะบางเกินไป ฮูหยินใส่เสื้อคลุมขนสัตว์จะดีกว่า”
“อืม” แม่นางเหยาพยักหน้า ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมขนสีขาวหนาฟูขึ้นมาใส่
เสื้อผ้าก็สวมเรียบร้อยแล้ว
แม่นมฝางวานให้คนช่วยเตรียมตะเกียงอุ่นรวมถึงผ้าอุ่นมือไว้ให้
ขณะที่แม่นางเหยาเดินออกมาที่ประตูใหญ่พร้อมกับผ้าอุ่นมือขนกระต่าย สามพี่น้องท่านชายตระกูลกู้เองก็เดินออกมาจากตำหนักของตัวเองเช่นกัน
สีหน้าของกู้ฉังชิงเรียบเฉยเหมือนปกติ
แต่สีหน้าของกู้เฉิงเฟิงกับกู้เฉิงหลินกลับไม่สู้ดีนัก
กู้เฉิงหลินชำเลืองแม่นางเหยาหัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดต “อนุหลิงนี่ก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงให้นางไปด้วย แค่พวกเราสามคนไปก็น่าจะพอแล้วนี่นา”
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้” กู้ฉังชิงเอ่ยเตือน
“ข้าไม่ได้พูดผิดอะไรผิดเลย! นางเป็นคนทำร้ายท่านแม่นะ! ยังจะมีหน้าไปกราบไหว้หลุมศพของท่านแม่อีก!”
กู้เฉิงเฟิงเองก็คิดไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่ากู้ฉังชิงอยู่ด้วย เขาไม่อยากให้น้องชายต้องมาโดนทำโทษอีก
จึงรีบเข้าไปดึงแขนเสื้อเขา “พอแล้วน่า ขึ้นรถก่อน ไปช้าเดี๋ยวก็ได้เจอหิมะหรอก”
“หึ!” กู้เฉิงหลินจ้องเขม็งไปที่แม่นางเหยา ก่อนสะบัดสะบิ้งขึ้นรถม้า
กู้เฉิงเฟิงนั่งรถม้าคันเดียวกับกู้เฉิงหลิน
ส่วนกู้ฉังชิงขี่ม้าไป
แม่นางเหยากับแม่นมฝางนั่งรถม้าคันเดียวกัน ส่วนรถม้าอีกสองคันเอาไว้ขนของที่จะใช้ในงาน
“เฮ้อ เหตุใดต้องทนระทมทุกข์เช่นนี้ด้วยเล่า” แม่นมฝางเอ่ยด้วยความรู้สึกปวดใจ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” แม่นางเหยาเอ่ย
ประโยคพวกนี้นางได้ยินมาจนชินแล้ว แรกๆ ก็รู้สึกแย่อยู่หรอก แต่พอไปๆ มาๆ ก็เริ่มจะชินชาเสียแล้ว
เพราะนางไม่ได้เป็นคนทำร้ายฮูหยินคนก่อน
นางรู้อยู่แก่ใจ
ผ่านไปชั่วยามกว่า ขบวนรถก็มาถึงที่หมูบ้านตงเยว่ สุสานตั้งอยู่ตรงเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้าน
พวกเขาลงจากรถม้า
แม่นางเหยาวานให้คนเอาข้าวของที่จะบูชาแม่นางเสี่ยวหลิงลงมาจากรถม้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหน้าหลุมศพเพื่อทำการจุดธูป
ทันใดนั้นเอง กู้เฉิงหลินเดินเข้าไปขวางทางแม่นางเหยา พลางเอ่ย “ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปกราบไหว้หลุมศพของท่านแม่หรอก! เจ้ามันไม่คู่ควร!”
แม่นางเหยาเข้าใจแล้วว่าอนุหลิงวางแผนยืมมือหลานชายมาดูถูกเหยียดหยามตนนี่เอง
“ข้าสัญญากับเหล่าฮูหยินแล้วว่าต้องมาจุดธูปให้ฮูหยินคนก่อน” แม่นางเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าออกไปซะ!”
สิ้นเสียงตะโกน กู้เฉิงหลินยื่นมือเตรียมจะผลักร่างแม่นางเหยา ทันใดนั้น กู้ฉังชิงรีบเข้ามาห้ามและคว้าไปที่ข้อมือของน้องชาย “เจ้าอยากมีเรื่องหน้าหลุมศพท่านแม่รึ”
กู้เฉิงหลินได้ยินดังนั้นจึงรีบชักมือกลับ
แม่นางเหยายื่นกำธูปและกระดาษเผาให้กู้ฉังชิง “เช่นนั้น ข้าขอถอนตัวดีกว่า ฝากเจ้าทำหน้าที่แทนข้าที”
กู้ฉังชิงยื่นมือรับ แล้วเอ่ย “ฮูหยินเข้าไปรอในรถเถิด ข้างนอกลมแรง”
แม่นางเหยามองเขาด้วยความประหลาดใจ ไฉนท่านชายใหญ่ถึงได้เปลี่ยนท่าทีเช่นนี้เล่า ที่เขาเปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยนขึ้นเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าหลุมศพมารดาของเขาอย่างนั้นรึ
แม่นางเหยาไม่เอ่ยอะไร แล้วขึ้นรถม้าไป
“ไม่น่าให้นางมาแต่แรกเลย!” กู้เฉิงหลินบ่นอุบอิบ
“เจ้าเงียบไปเลยนะ!” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเตือน
จวนโหวได้จ้างวานให้คนมาช่วยดูแลทำความสะอาดหลุมศพให้ ป้ายหลุมศพทุกอันจึงดูไม่รกรุงรัง
หลังจากที่พวกเขากราบไหว้หลุมศพของแม่นางเสี่ยวหลิงแล้ว ก็ไปที่หลุมศพของท่านปู่ทวดกับท่านย่าทวด จากนั้นพวกเขาว่าจะไปเดินเล่นในหมู่บ้าน
แม้พวกเขาจะไม่ได้จ้างวานคนจากหมู่บ้านตงเยว่ แต่พวกเขาก็ได้รับความไว้วางใจจากคนในหมู่บ้าน สุสานของตระกูลกู้จึงได้รับความช่วยเหลือและเฝ้าระวังจากคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี
แม่นางเหยานำของขวัญที่เตรียมไว้มอบให้ชาวบ้าน
แต่ก่อนอนุหลิงเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ จนชาวบ้านเข้าใจว่าอนุหลิงเป็นสะใภ้เอกของตระกูลกู้ พอพวกเขาเจอกับแม่นางเหยาเป็นครั้งแรก ก็โดนชาวบ้านถามว่าเป็นอนุของตระกูลกู้หรือไม่ ถามจนแม่นมฝางมีน้ำโห
นี่คงเป็นแผนที่สองของอนุหลิงสินะ
ยืมมือของชาวบ้านตาดำๆ เนี่ยนะ
แม่นางเหยาอยากจะหัวเราะงอหาย
อนุหลิงไม่เคยเป็นแม่มาก่อน คงไม่มีวันได้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เลี้ยงดูลูกที่ร่างกายอ่อนแอมาจนถึงอายุสิบห้าปี ซ้ำยังตามหาลูกที่หายไปจนเจอ พอผ่านเรื่องพวกนี้มาได้ ชีวิตนี้แม่นางเหยาก็ไม่ขออะไรอีก
หลังจากพบปะชาวบ้านเสร็จ ฟ้าก็เริ่มมืด ได้เวลากลับจวน
หลังจากขึ้นรถม้าได้ไม่นาน หิมะก็เริ่มโปรยลงจากฟ้า
กลางวันไม่ได้กินข้าว ทุกคนเริ่มหิวและหนาว แม่นางเหยาวานให้สาวใช้เอากล่องของว่างไปให้ท่านชายทั้งสาม
กู้เฉิงหลินเบ้ปาก “ข้าไม่กินของที่นางทำหรอก!”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว
“ท่านพี่ใหญ่ เข้ามานั่งในรถเถิด ข้างนอกหิมะตกอยู่นะ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเรียกพี่ชาย
“ไม่ต้องหรอก” กู้ฉังชิงตอบ
ชายชาติทหารอย่างเขาไม่สะทกสะท้านกับหิมะแค่นี้หรอก
“ฮูหยินเจ้าคะ พวกเขาไม่รับเจ้าค่ะ” สาวใช้กลับมารายงานพร้อมกับกล่องของว่าง
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” แม่นางเหยาคว้ากล่องกลับมา
ที่จริงของว่างกล่องนี้นางไม่ได้เป็นคนทำ นางไม่มีกะใจมานั่งทำของว่างให้พวกเขาแต่อย่างใด
นางเปิดกล่องหยิบขนมขึ้นมาทานสองชิ้น ช่วงนี้ท้องไส้ไม่ค่อยดี เลยทานได้ในปริมาณน้อย ก่อนจะแบ่งส่วนที่เหลือให้แม่นมฝางกับสาวใช้
หิมะตกทำให้การเดินทางล่าช้า แถมร้านรวงต่างๆ ในบริเวณนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเจริญหูเจริญตานัก ของกินอะไรที่มีขายแถวนั้นก็ไม่ถูกปากกู้เฉิงหลินอีก พวกเขาจึงทนหิวตลอดทางจนกระทั่งเดินทางมาถึงเขตเมือง
ทางกลับจวนจะต้องผ่านร้านที่ขายเนื้อเป็ดทอด ซึ่งเป็นร้านโปรดของกู้เฉิงหลิน วันนี้ปล่อยให้ท้องหิวอยู่นาน พอรู้ว่าจะผ่านร้านนี้เลยอดไม่ได้ที่จะต้องซื้อ เขาจึงเอ่ยกับกู้ฉังชิง “พี่ใหญ่ ข้าหิวจนจะเป็นลมแล้ว! ไปหาอะไรกินกันเถอะ!”
กู้ฉังชิงเห็นว่าน้องชายทั้งสองดูอิดโรย เขาเลยพยักหน้าให้ ก่อนจะควบม้าขนาบข้างรถม้าของแม่นางเหยา “เดี๋ยวแวะกินอะไรกันก่อนแล้วค่อยกลับจวน”
แม่นางเหยาไม่หิวก็จริง แต่นั่งรถม้ามาทั้งวันก็เลยมีอาการล้าอยู่บ้าง
ทุกคนลงจากรถม้า เดินเข้าไปในร้านและขอเปิดห้องสองห้อง สามพี่น้องหนึ่งห้อง แม่นางเหยาอีกหนึ่งห้อง
แม่นางเหยาไม่ได้กินอะไร แต่สั่งอาหารมาให้พวกแม่นมฝางและคนอื่นๆ ได้กินกัน
ด้วยความที่ในห้องไม่มีอากาศถ่ายเท บวกกับอยากเข้าห้องน้ำ เลยเดินลงไปที่ชั้นหนึ่ง
ขณะที่เดินผ่านบริเวณโถงใหญ่ของร้าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงบุรุษเอ่ยเรียกชื่อ “เหยาเอ๋อร์”
แม้จะเป็นเสียงที่แม่นางเหยาไม่ได้ยินมานานนับหลายปี แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงคือใคร
แม่นางเหยาทำท่าผงะ หันไปทางต้นเสียง
“เหยาเอ๋อร์ ใช่เจ้าจริงๆ ด้วย!”
บุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มก้าวเท้าเข้ามาทางแม่นางเหยา อายุเขาราวๆ สามสิบปี เครื่องหน้าคมเข้ม แม้จะดูไม่กำยำเท่ากู้โหวเหย่ แต่โครงร่างของเขาก็สูงโปร่ง
แม่นางเหยาที่เพิ่งได้สติ พอเห็นว่าเขาเดินเข้ามาหา ก็รีบถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจตามสัญชาติญาณ
บุรุษคนนั้นเหมือนจะรู้ตัว จึงเอ่ยอย่างเกรงๆ “ข้าวู่วามไปหน่อย ไม่ได้เจอกันนานเลยพลันตื่นเต้นจนลืมสำรวมกาย โปรดเจ้าให้อภัยข้าด้วย!”
เขาเอ่ยพลางยื่นมือคำนับให้นาง
แม่นางเหยาเห็นดังนั้นก็รีบหันหลบข้าง “เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ”
บุรุษทำหน้าสับสน พลางเอ่ยถาม “เหยาเอ๋อร์ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแต่งเข้าตระกูลของติ้งอันโหวแล้ว เขาดีกับเจ้าหรือไม่”
“ข้าสบายดี” แม่นางเหยาก้มหน้าตอบ
“เจ้าสบายดีข้าก็สบายใจ” บุรุษเอ่ยพลางหัวเราะตามมารยาท
สักพักบทสนทนาก็พลันนิ่งไป บรรยากาศชวนน่าอึดอัด
แม่นางเหยากำผ้าเช็ดหน้าแน่น พลางเอ่ย “ข้าขอตัวก่อน”
“อ๋า…” ชายผู้นั้นทำหน้าผิดหวัง ก่อนเอ่ย “แม่ข้าถามถึงเจ้าอยู่เรื่อยๆ เลย”
แม่นางเหยาหยุดฝีเท้าลง
“ที่จริงข้าเองก็มีครอบครัวแล้วเช่นกัน ขอโทษด้วยนะ” ชายผู้นั้นเอ่ยพลางยิ้มให้อย่างขมขื่น
แม่นางเหยาหลับตาลง ก่อนเอ่ยออกไป “ตอนนั้นตระกูลข้าเป็นฝ่ายถอนหมั้นก่อน คนที่ต้องเอ่ยขอโทษควรเป็นข้าต่างหาก เจ้าอย่ารู้สึกผิดเลย”
“มารดาของข้าล้มป่วยเมื่อปีก่อน อาการไม่ดีขึ้นเลย มองเห็นภาพหลอนอยู่ตลอดเวลา แถมยังเอ่ยเรียกชื่อเจ้าไม่หยุดเลย”
ตระกูลของพวกเขาเคยไปมาหาสู่กัน ซ้ำยังหมั้นหมายกันไว้แล้ว มารดาของฝ่ายชายปลื้มชื่นชอบแม่นางเหยามาก ตั้งตารอวันที่แม่นางเหยาจะได้แต่งเข้าเรือน โดยบอกว่าจะดูแลแม่นางเหยาเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ
น่าเสียดาย ดันถูกถอนหมั้นกลางคัน
จะบอกว่าเป็นอุบายของกู้โหวเหย่ก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว น่าจะเป็นความประจบสอพลอของตระกูลเหยาเสียมากกว่า
ความรู้สึกโกรธ เกลียด ทรมาน นางผ่านมาหมดแล้ว บัดนี้ เหลือเพียงแค่ความสงบนิ่ง
“เจ้า…” เขาเกาหัวอย่างรู้สึกผิด “เจ้าก็พูดเกินไป ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะได้บังเอิญมาเจอเจ้าที่นี่ แต่ในเมื่อเจอกันแล้ว ข้ามีอะไรอยากจะถาม…เจ้าไปเยี่ยมแม่ข้าเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่”
มารดาของเขาใกล้ถึงฝั่งแล้ว หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว
แต่นางไม่ยอมหลับตาลงเสียที
เห็นแม่นอนทรมานเช่นนั้น เขาเองก็ปวดหัวใจ
เขามองแม่นางเหยา ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ลูกอย่างข้าก็ไม่เคยทำอะไรให้นางภูมิใจเลยสักวัน แม้แต่ตอนที่นางกำลังจะลาโลกนี้ไป ข้ายังไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้นางเลยแม้แต่นิด…”
แม่นางเหยาเคยหมั้นหมายกับเขา ตามหลักแล้ว ไม่ควรไปโผล่หน้าที่บ้านฝ่ายชายอีก
แต่ด้วยความที่นางเคยได้รับความเอ็นดูและห่วงใยจากมารดาของเขา แค่นึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เคยรับรู้ได้ในตอนนั้น
หากวันนั้น นางแต่งงานกับเขา ชีวิตคงไม่เป็นเหมือนตอนนี้สินะ
“เรือนเจ้าอยู่ที่ใด” แม่นางเหยาเอ่ยถาม
“เจ้าตกลงแล้วรึ” เขาเบิกตากว้าง
แม่นางเหยานิ่งไปครู่นึง ก่อนเอ่ย “ข้าขอคิดดูก่อน อาจจะไม่ไปก็ได้”
“อ๋อ ไม่ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไร! เรือนของข้าอยู่ที่ชิงเยว่ ถนนชิงเฟิง…” ชายผู้นั้นบอกที่อยู่ของเขา
แม่นางเหยาคาดไม่ถึงว่าเขาจะพักอยู่บริเวณชุมชนแออัด
“ข้าไปก่อนล่ะ” แม่นางเหยาเอ่ย
“เดินทางปลอดภัย!” เขาเอ่ยลาด้วยความปีติ
แม่นางเหยาเดินขึ้นไปที่ห้อง
ท่านชายทั้งสามทานข้าวเสร็จแล้ว ทุกคนกลับขึ้นรถม้า
พอกลับถึงจวน แม่นางเหยาไปรายงานให้เหล่าฮูหยินได้ทราบก่อน พอรู้ว่าทุกอย่างราบรื่น เหล่าฮูหยินก็สบายใจ
ท่านโหวกู้ให้หวงจงส่งข่าวให้แม่นางเหยาว่าที่ทำงานเกิดเรื่องขึ้น ท่านโหวกู้ต้องอยู่สะสางงานที่กรมโยธา คืนนี้คงกลับดึก แม่นางเหยาไม่ต้องรอเขา
แม่นางเหยาครุ่นคิดแต่เรื่องนั้น
แค่หลับตา ก็นึกถึงแม่นางเจิน ผู้ที่เกือบจะได้เป็นแม่สามีของนาง
“แม่นมฝาง”
“มีอะไรหรือฮูหยิน” แม่นมฝางเปิดผ้าม่านออก
“เตรียมรถม้าให้ที ข้าจะออกไปข้างนอก” แม่นางเหยาหยิบเสื้อคลุม เตรียมออกไปข้างนอก
“ดึกแล้วนะฮูหยิน จะออกไปที่ไหนรึ เวลานี้คุณหนูใหญ่กับท่านชายน่าจะพักผ่อนแล้วนะ” แม่นมฝางนึกว่านางจะไปที่ตรอกปี้สุ่ย
“ไม่ต้องถามให้มากความ ขอรถม้าที่มิดชิดหน่อยนะ” แม่นางเหยาสั่ง
“เอ่อ…” แม่นมฝางอ้าปากค้าง
รถม้าของแม่นางเหยามาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนตระกูลเจิน
นางเคาะประตู
“ใครหรือ”
เป็นเสียงของฮูหยินดังขึ้น
แม่นางเหยาไม่เอ่ยอะไร
ประตูเรือนถูกเปิดออก ปรากฏร่างสตรีนางหนึ่งอายุไล่เลี่ยกันกับแม่นางเหยา แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย แม้จะดูอายุพอๆ กัน แต่หากดูเผินๆ แล้วนางดูอิดโรยกว่าแม่นางเหยาพอสมควร
แม่นางเหยาครั้นกำลังจะเอ่ยแนะนำตัว จู่ๆ หญิงผู้นั้นก็ตะโกนเข้าไปในเรือน “นี่ เจ้าเรือน มีแขกมาหาล่ะ!”
เจินผิงรีบเดินออกมา
พอเห็นว่าเป็นแม่นางเหยา ปฏิกิริยาแรกของเขาคือตกใจ ก่อนจะยิ้มทักทาย “ข้างนอกลมเย็น รีบเข้ามาในเรือนเถิด!” ก่อนจะเอ่ยกับฮูหยิน “นี่โหวฮูหยินอย่างไรเล่า”
ฮูหยินจึงโน้มตัวทักทายแม่นางเหยา
แม่นางเหยาตอบรับ
เห็นได้ชัดว่านางเคยได้ยินเรื่องของแม่นางเหยามาก่อนแล้ว พอทักทายกันเสร็จ ก็รีบหยิบตะกร้าผ้าซักเข้าไปที่หลังเรือนก่อนจะหายไป