สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 184 เรียกแม่
บทที่ 184 เรียกแม่
“เข้ามาสิ” เจินผิงเหยียดยิ้มพลางเอ่ย ก่อนจะเบี่ยงตัวแล้วนำทางแม่นางเหยาไป
รถม้าของแม่นางเหยาจอดอยู่หน้าตรอก แม้แต่แม่นมฝางนางก็ไม่พามาด้วย
นางก้าวเข้าไปในเรือน
ยามนางไม่มา เจินผิงก็ร้อนใจ แต่พอมาเข้าจริง ๆ เจินผิงกลับร้อนใจยิ่งกว่า
เพราะเขาไม่อยู่ ภายในเรือนช่างทรุดโทรมเหลือเกิน
ทว่าสีหน้าของแม่นางเหยากลับไม่ดูประหลาดใจเลยสักนิด
หากเขารู้ว่า แม่นางเหยาเคยพบเห็นเรือนที่ผุพังยิ่งกว่านี้ ทั้งลูกสาวที่แท้จริง ลูกเขย และลูกชายล้วนแต่เคยอาศัยอยู่ในเรือนเช่นนั้น ก็คงเข้าใจได้ว่าเหตุในแม่นางเหยาถึงได้สงบนิ่งถึงเพียงนี้
เจินผิงพาแม่นางเหยาเข้ามาในห้องโถง ทั้งประหม่าทั้งตื่นเต้นก่อนจะเอ่ยออกไป “ไม่มีชาร้อนแล้ว เจ้ารอก่อน ข้าจะให้เย่ว์ซิ่วต้มกาใหม่ให้”
“นางชื่อว่าเย่ว์ซิ่วอย่างนั้นหรือ” แม่นางเหยาถามเขา
เจินผิงชะงักไป คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะเผลอเรียกชื่อจริงของภรรยาออกไป เขารู้ว่าไม่เหมาะสมนัก เพียงแต่พูดออกไปแล้ว ก็คงเอากลับคืนมาไม่ได้
เขาเอ่ยออกไปตามตรง “ใช่แล้ว เย่ว์ซิ่ว ไม่ใช่คนเมืองหลวง มาจากต่างเมืองเพื่อค้าขายในเมืองหลวงน่ะ”
“เป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว” แม่นางเหยาเอ่ย
คำพูดนั้นเจินผิงไม่รู้จะตอบกลับเช่นไร ยืนประหม่าอย่างนั้นอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ จึงเอ่ยกับแม่นางเหยา “แม่ข้าอยู่ที่ห้องข้างกันนี้ ข้าจะพาเจ้าไป เรือนนี้ทรุดโทรมนัก ขออภัยที่ต้อนรับเจ้าไม่ได้อย่างที่ควร… ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมาจริง ๆ …พอเจ้ามาแล้วข้าดีใจยิ่งนัก”
เจินผิงพูดเสียงกระอึกกระอัก
เจินผิงอยากจะบอกกับเขาว่าไม่ต้องประหม่า กำลังจะพูดออกไปก็คิดได้ว่าหากเป็นตนเองก็คงรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
เจินผิงแหวกม่านผืนหนาให้แม่นางเหยาเดินเข้าไปในห้องก่อน แม่นางเหยาโค้งคำนับให้ ก่อนจะเดินผ่านม่านที่เขาเปิดออกให้
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขนาดนี้หลังจากสิบปีที่ผ่านมา ปลายจมูกของเจินผิงสัมผัสได้ถึงลมหายใจของนาง แต่เจินผิงเองก็ไม่ปล่อยให้ตนเองเสียกิริยา เขาพยายามยกแขนในสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้สัมผัสตัวนาง
หลังจากแม่นางเหยาเข้าไปในห้องแล้ว เข้าถึงได้ตามเข้ามา
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยา
นางเป็นลมชักตั้งแต่ปีก่อนแล้ว นอนป่วยนานเช่นนี้ย่อมมีกลิ่นสาบ ทว่าภายในห้องนี้กลับไม่มีกลิ่นใด เห็นได้ชัดว่าสองสามีภรรยาดูแลคนเฒ่าคนแก่เป็นอย่างดี
เหล่าฮูหยินเจินนอนอยู่บนเตียงคนป่วย เส้นผมหงอกขาว ใบหน้าซีดเซียว เนื้อหนังซูบผอม
ทันใดนั้นความทรงจำเมื่อหลายสิบปีก่อนก็ถูกปลุกขึ้นมา เหล่าฮูหยินเจินเป็นคนนิสัยโผงผางคนหนึ่ง เอาการเอางานยิ่งกว่าบุรุษเสียด้วยซ้ำ ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีวันที่นางนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงคนป่วยเช่นนี้
เสียงครวญครางของนางดังบ้างเบาบ้าง ราวกับกำลังอดทนกับความเจ็บปวดเหลือคณนา
แม่นางเหยาแทบไม่กล้ามองนาน จึงรีบหลุบตาลง จมูกก็รู้สึกแสบขึ้นมา
เจินผิงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเตียง โน้มตัวลงลูบหน้าผากท่านแม่ของตนอย่างเบามือก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านดูสิว่าใครมา”
“ออ…” เหล่าฮูหยินเจินหันมองตามทางที่เจินผิงชี้อย่างสะลึมละลือ เพียงชั่ววินาที ดวงตาฝ้าฟางของนางก็เปล่างประกายความตื่นเต้นดีใจออกมา “เหยาเอ๋อร์…เหยาเอ๋อร์…”
แม่นางเหยาสูดลมหายใจลึก กลั้นน้ำตาเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เหล่าฮูหยิน ข้าเองเจ้าค่ะ”
เหล่าฮูหยินเจินยื่นมือออกไป อยากจะลุกขึ้นนั่งเพื่อมองแม่นางเหยาให้ชัด
แม่นางเหยานั่งลงข้างเตียง พลางขยับเข้าไปใกล้นางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอย่าลุกขึ้นเลยเจ้าค่ะ วันนี้หิมะตก หนาวยิ่งนัก”
“ยังมีเหยาเอ๋อร์ที่เป็นห่วงข้า” เหล่าฮูหยินเจินเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า หลังจากเป็นลมชักนางก็พูดจาไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก แต่ก็ฟังออกว่านางดีใจมากเพียงใด
กาลเวลาช่างลำเอียงกับนางยิ่งนัก ไม่ได้ทิ้งไฝฝ้าไว้บนใบหน้าของนางมากมาย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ไม่ไร้เดียงสาและสดใสเหมือนยามวัยแรกแย้ม แต่สำหรับเหล่าฮูหยินเจินนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
เหล่าฮูหยินเจินจับมือแม่นางเหยาเอาไว้ ดีใจราวกับเด็กน้อย “เจ้ากับผิงเอ๋อร์แต่งงานแล้วหรือ?”
แม่นางเหยาชะงักไป หันไปมองเจินผิงอย่างไม่งุนงง
เจินผิงเอ่ยกระซิบ “ท่านแม่ข้าเป็นโรคความจำเสื่อม หลายเรื่องก็จำเลอะเลือน บางเรื่องก็จำไม่ได้”
แม่นางเหยาเข้าใจ คนเราพออายุจึงช่วงหนึ่งแล้วก็มักจะเป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ
แม่นางเหยามองสายตารอคอยของเหล่าฮูหยินเจิน ก่อนจะพยักหน้า “เจ้าค่ะ พวกเราแต่งงานกันแล้ว”
เจินผิงหัวใจกระตุบวูบ ขอบตาแดงก่ำ
เหล่าฮูหยินยิ้มร่าราวกับเด็กน้อยในทันใด
อันที่จริงเหล่าฮูหยินเจินเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับเย่ว์ซิ่ว หลายปีที่ผ่านมานี้เย่ว์ซิ่วอยู่เคียงข้างสามีเลี้ยงดูลูกเต้า ดูแลหญิงชรา เอาการเอางาน เป็นคนพูดน้อยโดยนิวัย แต่จิตใจงนั้นงดงามอย่างไม่ต้องพูดถึง
เพียงแต่เหล่าฮูหยินเจินรู้จักแม่นางเหยาก่อน นางไม่เคยคิดเลยว่างานแต่งงานของลูกชายและแม่นางเหยาจะพลิกผันเช่นนั้น ในของนางเลือกแม่นางเหยาเป็นสะใภ้มาตั้งแต่ต้น
ผนวกกับอยู่มาวันหนึ่งเหล่าฮูหยินเจินพลัดตกลงมาจากบันไดจนบาดเจ็บสาหัส เผอิญว่าเจินผิงต้องเข้าสองระดับมณฑลพอดี เพื่อไม่ให้เจินผิงพะวง ทุกวันแม่นางเหยาจึงแอบออกมาจากเรือนตระกูลเหยาเพื่อดูแลเหล่าฮูหยินเจิน
ทั้งสองมิใช่แม่ลูกกัน แต่เป็นยิ่งกว่าแม่ลูกเสียด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นตระกูลเหยาก็มาขอถอนหมั้น เหล่าฮูหยินเจินโศกเศร้ายิ่งกว่าลูกชายเสียอีก
เรื่องนั้นจึงกลายเป็นความใฝ่ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของนาง นางอดกลั้นไว้ไม่เอ่ยถึงมันมาตลอด แต่พอความจำเลอะเลือนก็อดทนต่อไปไม่ไหว เรียกร้องหาเหยาเอ๋อร์ทุกวี่ทุกวัน ถามว่าเมื่อไหร่เจ้าจะแต่งเหยาเอ๋อร์เข้าบ้าน
“เจ้าเรียกว่าเหล่าฮูหยินไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนมาเรียกว่าแม่ได้แล้ว!” เหล่าฮูหยินเจินเอ่ยเจื้อยแจ้วราวกับเด็กน้อย ทั้งยังปั้นหน้าเคร่งขรึม
แม่นางเหยาพยักหน้าสะอื้น “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
เจินผิงหันหลัง ยกแขกเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
“ฮ่า!” เหล่าฮูหยินเจินยิ้มอย่างความสุข
แม่นางเหยาจับมือผ่ายผอมของนางสอดเข้าใต้ผ้าห่ม “ประเดี๋ยวจะหนาวเอานะเจ้าคะ”
“ข้าไม่หนาว” เหล่าฮูหยินเจินยิ้มพลางเอ่ย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง นางยกมือขวาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะพลิกหมอนด้านซ้ายมือ
“ท่านจะหยิบอะไรหรือเจ้าคะ ข้าช่วยท่าน” แม่นางเหยาลุกยืนขึ้นเอ่ย
“กล่อง ตรงนั้น…มีกล่องอยู่ข้างใต้” เหล่าฮูหยินเจินพยายามเปล่งเสียงออกมา
เพียงแค่ท่วงท่าแสนธรรมดา กลับสูบเรี่ยวแรงของนางไปจนหมด
แม่นางเหยาโน้มตัวไปแล้วหยิบกล่องใบน้อยที่อยู่ใต้หมอนริมฝั่งซ้ายออกมา
กล่องใบนั้นดูมีอายุพอสมควร ลวดลายแกะสลักเป็นภาพที่นิยมเมื่อสิบกว่าปีก่อน สีเคลือบด้านบนหลุดลอกไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหล่าฮูหยินเจินหยิบออกมาเปิดบ่อยแค่ไหน
เหล่าฮูหยินเจินรับกล่องมา
สองมือของนางสั่นเครือ ถึงกระนั้นนางก็ยังพยายามจะเปิดมันด้วยตัวเอง
ภายในมีกำไลวงหนึ่ง
สีสันยังคงงดงาม
แต่รูปแบบนั้นหมดสมัยไปแล้ว
เหล่าฮูหยินเจินหยิบกำไลขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทาพลางดึงมือของแม่นางเหยาเข้ามาใกล้ แต่เป็นเพราะมือนั้นสั่นจนเกินไป ผ่านไปนานสองนานก็ยังสวมไม่เข้า
แม่นางเหยาเห็นว่าเหงื่อผุดซึมไปทั่วทั้งหน้าผากของนางแล้ว
“ท่านแม่ ข้าทำให้เจ้าค่ะ” นางเอ่ย
“เสร็จแล้ว” ในที่สุดเหล่าฮูหยินกู้ก็สวมกำไลให้แม่นางเหยาจนสำเร็จ “รับปากแล้วว่าจะมอบให้เจ้าตอนแต่งงาน ครอบครัวเรามิได้ร่ำรวยอะไร ลำบากเจ้านัก”
เจินผิงสอบตกระดับมณฑล ตั้งแต่นั้นมาก็อมทุกข์มาโดยตลอด เมื่อสอบไม่ติดหลายปีเข้า จากนั้นเขาก็คิดปล่อยวางได้ และละทิ้งเส้นทางการสอบขุนนาง
เครื่องประดับศีรษะชิ้นนี้เหล่าฮูหยินเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว นางเธอนำสินสอดที่เป็นเครื่องประดับนี้ไปหลอมเป็นกำไลทองที่ร้าน ด้านบนสลักอักษร “เหยา” ชื่อจริงของแม่นางเหยา
กำไรชิ้นนี้นอนอยู่ใต้หมอนของเหล่าฮูหยินเจินมากว่าสิบปีแล้ว ว่างเมื่อไหร่นางก็จะหยิบมาออกมาเชยชม
เจินผิงรู้มาตลอดว่าท่านแม่ของเขามีกล่องที่นางหวงแหนอยู่ใบหนึ่ง แต่ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าภายในนั้นจะเป็นของรับขวัญงานแต่งที่จะมอบให้แม่นางเหยา
แน่นอนว่ายามที่เย่ว์ซิ่วแต่งเข้าเรือน เหล่าฮูหยินเจินเองก็ต้อนรับขับสู้อีกฝ่ายเป็นอย่างดี นางยืมเงินคนอื่นเพื่อซื้อเครื่องประดับศีรษะทองคำให้กับเย่ว์ซิ่วเช่นกัน เพียงแต่ความหมายที่มีต่อนางนั้นไม่อาจเทียบกันได้เลย
แม่นางเหยาอดทนมาตลอดตั้งแต่ก้าวเข้าห้องมา ทว่ายามนี้นางกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป นางกุมมือของเหล่าฮูหยินเจินเอาไว้ น้ำตาไหลพรากลงมา!
เหล่าฮูหยินเจินตกอกตกใจ “เหยาเอ๋อร์เหตุใดถึงร้องไห้เล่า ไม่ชอบกำไลหรือ แม่…แม่จะซื้ออันใหม่ให้เจ้า!”
แม่นางเหยาส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ไม่ใช่เจ้าค่ะ… ข้าชอบมาก… ชอบมากจริงๆ… ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ… ข้าดีใจยิ่งนัก…”
เหล่าฮูหยินเจินโบกมือปัด “โธ่ แค่กำไลอันเดียวมีอะไรน่าดีใจกัน รอเผิงเอ๋อร์สอบได้เป็นจวี่เหริน ให้เจ้าได้เป็นคุณนายจวี่เหริน ให้เขาซื้อเครื่องประดับให้เจ้าเยอะๆ เลย!”
แม่นางเหยาพูดคุยเป็นเพื่อนเหล่าฮูหยินเจินอีกครู่ใหญ่
เหล่าฮูหยินเจินง่วงงุนขึ้นมา กุมมือแม่นางเหยาไว้แล้วผล็อยหลับไป
แม่นางเหยานั่งเฝ้าอยู่ในห้อง จนกระทั่งเหล่าฮูหยินเจินส่งเสียงกรนออกมา นางจึงชักมือออกอย่างแผ่วเบา พร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้เหล่าฮูหยินเจิน
ตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจินผิงที่อยู่ในห้องด้วยเช่นกันนั้นถูกแม่ของตนเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
“ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ” แม่นางเหยาปาดน้ำตาพลางเอ่ยกับเจินผิง
เจินผิงแหวกม่านให้แม่นางเหยาเดินออกไป ก่อนตัวเองจะเดินตามท้าย
ทั้งสองมาถึงห้องโถง
ภายในห้องโถงมีน้ำชาร้อนตั้งอยู่แต่กลับไม่มีคน
ท่าทางเย่ว์ซิ่วคงชงชาเสร็จก็นำมาวางไว้แล้วออกไป
เจินผิงสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยกับแม่นางเหยา “นั่งลงสิ”
แม่นางเหยาส่ายหน้า “ข้าควรกลับได้แล้ว สิ่งนี้คืนให้เจ้า”
นางเอ่ยพลางถอดกำไลบนข้อมือออก
เจินผิงรีบยั้งมือของนางไว้ในทันที เขาตั้งใจจะหยุดนาง แต่พอรู้ตัวว่าการกระทำของตนนั้นไม่ถูกต้อง เขาจึงชักมือกลับ “ขอโทษ… ข้า…”
“ไม่เป็นไร” แม่นางเหยาส่ายหัวเล็กน้อย
นางรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร มิได้ทำไปเพราะฉวยโอกาส
“ข้าไปส่งเจ้าเอง” เจินผิงเข้าใจว่านางต้องการจะกลับ
“ไม่ต้องหรอก” แม่นางเหยาตอบ
เจินผิงยิ้ม “ไม่ใช่เช่นนั้น กลอนประตูบานนั้นเสียน่ะ แม้แต่เย่ว์ซิ่วก็เปิดไม่ออก กำลังอย่างเจ้าคงไม่มีแรงเปิด”
แม่นางเหยาไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองเดินไปตามโถงทางเดินมุ่งหน้าออกไปจากเรือน
ภายในเรือนเงียบสงัด
จู่ ๆ เจินผิงก็โพล่งขึ้นมาว่า “อันที่จริงข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าท่านแม่ยังหวังให้ข้าสอบเคอจวี่มาตลอด ตอนนั้นนางบอกกับข้าว่า ไม่อยากเรียนก็อย่าฝืน พวกเราใช่ว่าต้องเรียนหนังสือถึงจะลืมตาอ้าปากได้ ข้าคิดว่านางพูดจากใจจริงเสียอีก…”
พอได้ยินคำพูดของท่านแม่ในวันนี้ เข้าถึงได้รู้ว่าความผิดหวังที่ฝังลึกอยู่ในใจของนางนั้น นอกจากเรื่องที่ไม่ได้แม่นางเหยามาเป็นสะใภ้แล้ว ยังมีเรื่องก็คือยังไม่ได้เห็นชื่อของลูกชายตัวเองบนประกาศ
เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
แม่นางเหยาถาม “พอไม่เรียนแล้ว เจ้าไปทำอะไรหรือ?”
เจินผิงยิ้ม “ทำมาหมดทุกอย่างแล้ว ไปเป็นอาจารย์เด็กปฐมวัยที่โรงเรียนเอกชน ไปเป็นนายบัญชีที่โรงเตี๊ยม ไปเป็นกุลีแบกหามที่ท่าเรือ… ตอนนี้ก็เปิดร้านขายใบชาเล็ก ๆ”
เขาเอ่ยพลางเกาหัวแก้เก้อ “อันที่จริงชีวิตข้าไม่ได้ลำบากขนาดที่เจ้าเห็นหรอก เพียงแต่สองปีมานี้ค้าขายไม่ค่อยดีนัก เข้าปลูกเรือนหลังหนึ่งอยู่ทางถนนฝั่งตะวันออก เดือนหน้าก็จะย้ายเข้าไปอยู่แล้ว”
“ดียิ่งนัก” แม่นางเหยาตอบ
หลังจากนั้นก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
แม่นางเหยาเปรยขึ้น “ตอนนั้นพี่ใหญ่ข้า…”
เจินผิงโบกมือปัด ส่งยิ้มพลางเอ่ยขัดคำพูดของนาง “ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป”
แม่นางเหยาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษ”
แม่นางเจินมีลูกชายคนเดียวคือเจิฉินผิง ลองจินตนาการดูก็คงรู้ว่ายามที่เจินผิงถูกตระกูลเหยาขอถอนหมั้น แถมเหยาหย่วนยังพาคนมารุมกระทืบเขาจนขาหักนั้น หญิงชราผู้นั้นจะต้องพบเจอกับความเจ็บปวดมากเพียงใด
แต่หลังจากที่นางความจำเสื่อมก็ลืมเรื่องราวทั้งหมด
นางยกโทษให้แล้ว
ลำคอของแม่นางเหยาปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
“ถึงแล้ว” เจินผิงเอ่ย เขามองแม่นางเหยาด้วยขอบตาแดงก่ำ เขารีบก้มหน้าลง “ข้าเปิดประตูให้”
สิ่งที่ควรจะพูด ทั้งสองคนไม่ได้พูดออกไปแม้สักคำ
บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เจอกันในชีวิตนี้
บางสิ่งบางอย่างพลาดไปแล้วก็ไม่อาจหวนคืน
ไม่ทางกลับคืนมาอีกต่อไป
ทว่าขณะที่เจินผิงกำลังจะปลดกลอนประตูนั้น หน้าประตูก็มีเสียงรถม้าดังขึ้นมา
“ที่นี่หรือ”
“ใช่ขอรับ! ที่นี่! ข้าได้ยินชายผู้นั้นพูดเองกับหู!”
ท่านโหวกู้และกู้เฉิงหลิน!
สีหน้าของแม่นางเหยาพลันเปลี่ยน!
แม้เจินผิงจะไม่รู้จักเสียงของสองคนนั้น แต่ก็พอจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร มือของเขาที่กำลังจะปลดกลอนประตูชะงักไป แล้วเหลียวกลับมามองแม่นางเหยา
แม่นางเหยาคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าบทสนทนาของตนกับเจินผิงที่ร้านอาหารจะถูกกู้เฉิงหลินได้ยินเข้า
แถมกู้เฉิงหลินยังพาท่านโหวกู้มาจับ “ชู้” ของตนเองอีก!
จู่ ๆ แม่นางเหยาก็สัมผัสได้ว่าเรื่องราวไม่ชอบมาพากล
แม่นางเหยากระซิบถามเจินผิง “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงได้ไปที่ร้านอาหารแห่งนั้น”
เจินผิงนึกพลางเอ่ย “ลูกค้าคนหนึ่งนัดหมายข้าให้ไปเจรจาธุรุกิจที่นั่น แต่ก็แปลกนัก พอข้าไปที่นั่นแล้วเขากลับไม่มา”
แม่นางเหยาถาม “เป็นลูกค้าที่เพิ่งรู้จักไม่นานมานี้หรือ”
เจินผิงตอบ “ใช่แล้ว ทำไมหรือ หรือว่าลูกค้าคนนั้นจะมีปัญหา”
เรื่องราวมาถึงขนาดนี้ หากแม่นางเหยายังเดาไม่ออกว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของอนุหลิงก็คงโง่เต็มที
“ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาอธิบาย มีประตูหลังหรือไม่” นางถาม
จะให้ท่านโหวกู้เห็นนางอยู่ที่นี่ไม่ได้ ท่านโหวกู้ต้องฆ่าเจินผิงแน่นอน!
เจินผิงเอ่ยอย่างลำบากใจ “มีน่ะมี แต่ที่นั้นมีฝืนกองเต็มไปหมด ต้องขนฝืนออกถึงจะเปิดประตูได้…”
“เฮ้ย! เปิดประตู! ข้างในน่ะ รีบเปิดประตู!” กู้เฉิงหลินเริ่มทุบประตูรัว “หวงจง ถีบประตู!”
แม่นางเหยาหน้าถอดสี จังหวะที่กำลังหาห้องหลบซ่อนตัว ประตูก็ถูกถีบดังโครมจนเปิดออก!