สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 200 สัญญา
บทที่ 200 สัญญา
“ท่านอา!”
ระหว่างทางกลับตำหนักหย่งโซ่ว จวงเย่ว์ซีก็ทนไม่ไหวเรียกจวงกุ้ยเฟยไว้
จวงกุ้ยเฟยชำเลืองมามองนาง “มีอะไรรึ”
จวงเย่ว์ซีเป็นสตรีชั้นสูงตระกูลจวง สง่างามและเป็นคนเรียบร้อย คำว่า ‘ท่านอา’ เมื่อครู่เป็นการเสียกิริยาจริงๆ
จวงเย่ว์ซีรู้ตัวว่าไม่เหมาะสม นางยื่นตะกร้าดอกไม้ในมือให้นางกำนัลข้างๆ แล้วยกชายกระโปรงเดินตามจวงกุ้ยเฟย ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “เย่ว์เอ๋อร์เสียกิริยาไป ขอท่านอาโปรดอภัยด้วย”
จวงกุ้ยเฟยไม่โกรธแต่เอ่ยอย่างน่าเกรงขามว่า “ตั้งแต่พบท่านหญิงฮุ่ยเมื่อครู่นี้เจ้าก็แปลกๆไป ว่ามาสิ เจ้าเคียดแค้นอะไรคนเขารึ”
“ไม่ได้เคียดแค้นอะไรเพคะ” จวงเย่ว์ซีเอ่ยเสียงเบา
จวงกุ้ยเฟยมีหรือจะไม่รู้จักหลานสาวของตัวเอง ตั้งแต่เล็กก็เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่สุดของเมืองหลวง ฉลาดเฉลียวกว่าคนอื่น ความสามารถและหน้าตาเพียบพร้อม ไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมาก่อน
ในอดีตกู้จิ่นอวี้มีชื่อเสียงไม่โด่งดังเท่าจวงเย่ว์ซี แต่ดันได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิงก่อน แถมต่อมาก็โดดเด่นเปล่งประกายในสำนักศึกษาสตรี ค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นมาเทียบเคียงจวงเย่ว์ซี
กู้จิ่นอวี้ยามนี้ยังไม่ถือว่าเก่งเกินจวงเย่ว์ซี ทว่าจากความสูงศักดิ์ของจวงเย่ว์ซีแล้ว ถูกเปรียบเทียบให้เท่าเทียมกับคนอื่นนับเป็นความล้มเหลวอย่างหนึ่ง
จวงกุ้ยเฟยเดินไปข้างหน้าต่อ เดินไปพลางเอ่ยไปพลางว่า “เพราะเรื่องพวกนี้เจ้าเลยเห็นท่านหญิงขวางหูขวางตาอย่างนั้นรึ อาเคยบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลจวง ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล อย่าได้ใจแคบ”
จวงเย่ว์ซีไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้
จวงเย่ว์ซีหลุบตาลงพลางเอ่ยว่า “ท่านอากตัญญูมากนัก” แล้วหยุดเว้นก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่เหตุใดจู่ๆ ท่านอาจึงได้สนใจเรื่องการแต่งงานของท่านหญิงฮุ่ยขึ้นมาละ หรือว่าท่านอาอยากเป็นแม่สื่อให้นาง”
จวงกุ้ยเฟยยิ้มจางๆ “ข้าก็อยากอยู่หรอก แต่ก็ต้องให้นางเห็นด้วยก่อนจึงจะสำเร็จ”
เดิมทีจวงเย่ว์ซีแค่ลองหยั่งเชิงท่านอาเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะได้คำตอบนี้ “ท่านอา…อยากจะให้นางแต่งกับใครรึ พี่ใหญ่รึ หรือว่า…”
จวงกุ้ยเฟยเอาแต่ยิ้มไม่ตอบคำใด
จวงเย่ว์ซีใจกระตุก “ท่านอา ท่านคงไม่ได้คิดจะให้นางแต่งกับท่านพี่ ให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ข้าหรอกกระมัง”
ตระกูลจวงมีลูกหลานเพศชายมากมาย แต่ที่ยังไม่แต่งงานมีแค่อันจวิ้นอ๋องคนเดียว
จวงกุ้ยเฟยไม่ได้ขานรับ และไม่ได้ปฏิเสธ
จวงเย่ว์ซีดวงตาร้อนรน “ท่านอา นางไม่คู่ควรกับท่านพี่หรอก! ซ้ำนางก็ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของท่านโหวด้วย เป็นแค่เด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ฝ่าบาทแต่งตั้งให้นางเป็นท่านหญิง นั่นมันก็แค่ตั้งชื่อให้ดูดีหน่อยเท่านั้น แม้แต่ภาษีศักดินานางยังไม่มีเลย จะถือว่าเป็นท่านหญิงอะไรได้!”
จวงกุ้ยเฟยหยุดฝีเท้าลง บรรดานางกำนัลก็หยุดตาม จวงกุ้ยเฟยลูบดอกกุ้ยสี่ฤดูในตะกร้าไปมา “ท่านหญิงอำเภอไม่คู่ควรจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าหาก…นางกลายเป็นท่านหญิงเจ้าเมืองละ”
จวงเย่ว์ซีชะงัก
ทางด้านท่านโหวกู้ถูกเจ้ากรมจ้าวเรียกตัวให้ไปห้องโถงหลักที่ใช้จัดการงานราชการอีกครั้ง
หมู่นี้ท่านโหวกู้โดนด่าเละเทะนัก คิดในใจว่าจะโดนด่าอีกหนอย่างหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้ท่านโหวกู้คาดไม่ถึงก็คือ แววตาเจ้ากรมจ้าวกลับอ่อนโยนขึ้น ท่าทางไม่เหมือนเตรียมจะด่าเขาเลยสักนิด
ท่านโหวกู้ หืม
พอเจ้ากรมจ้าวเห็นท่านโหวกู้ก็แย้มยิ้มหวานยิ้มแรกในรอบหลายเดือนออกมา “รองเจ้ากรมกู้ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างละ”
ท่านโหวกู้ถูกท่าทางและน้ำเสียงของเจ้านายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเหมือนกำลังบอกว่า ‘กินดีอยู่ดีหรือไม่ สวมใส่อบอุ่นหรือยัง เดินทางนอกสถานที่สะดวกหรือไม่ ลูกๆ เรียนหนังสือเจอปัญหาใดบ้างหรือไม่’ ทำเอาเขามึนงงไปหมด
เขาไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เจ้ากรมจ้าวดึงแขนท่านโหวกู้ให้มานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยตัวเอง
ท่านโหวกู้มองมือของตัวเองที่ถูกจับอยู่แล้วอยากบอกเขามากว่า ‘ชายชายไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน!’
เจ้ากรมจ้าวยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้านี่ก็จริงๆ เลยนะ มีลูกสาวที่เก่งกาจโดดเด่นเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่บอกกันแต่แรก”
ท่านโหวกู้เป็นคนนอกสถานการณ์โดยสมบูรณ์
เจ้ากรมจ้าวหุบยิ้มลง แล้วถอนใจเอ่ยว่า “เจ้าลำบากปิดบังข้าเปล่าๆ น่า! เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้มีอะไรต้องปิดบังกัน”
“ขะ…ข้าปิดบังอะไรรึ” ท่านโหวกู้มึนงงไปหมด
เจ้ากรมจ้าวเอ่ยว่า “เมื่อครู่คนของกรมกลาโหมมาหา พวกเขาถามข้าว่าลูกสาวเจ้าเป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลมใช่หรือไม่”
ท่านโหวกู้ชี้หน้าตัวเอง “ลูกสาวข้าน่ะรึ”
เจ้ากรมจ้าวขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่รู้รึ”
ท่านโหวส่ายหน้าพรืดอย่างกับกลองป๋องแป๋ง
เจ้ากรมจ้าวเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ามีลูกสาวด้วยใช่หรือไม่”
ท่านโหวกู้พยักหน้า “ใช่”
เจ้ากรมจ้าวเอ่ยต่อว่า “ฤดูร้อนปีที่แล้ว เจ้ากับลูกสาวเจ้าอยู่ที่หมู่บ้านชิงเฉวียนเมืองโยวโจวใช่หรือไม่”
ท่านโหวกู้พยักหน้าอีกหน “ใช่”
เจ้ากรมจ้าวเอ่ยขึ้นอีกว่า “ลูกสาวเจ้าฉลาดหลักแหลมใช่หรือไม่”
ท่านโหวกู้พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่!”
จิ่นอวี้ของเขาฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว! ฉลาดมาตั้งแต่เด็กด้วย! นี่ถ้าหากว่าจิ่นอวี้ของเขาสอบขุนนางด้วยได้ อย่างน้อยๆ จิ่นอวี้ของเขาคงสอบได้จิ้นซื่อระดับสูงแน่!
เจ้ากรมจ้าวเอามือขวาไพล่หลังมือซ้ายตบอก “ก็จบแล้วนี่ไง ปีที่แล้วคนที่เคยปรากฏตัวที่หมู่บ้านนั้น นอกจากลูกสาวเจ้าแล้วยังมีคุณหนูจวนโหวคนไหนแซ่กู้อีก”
ท่านโหวกู้พลันกระจ่างแจ้งทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าราชสำนักจะสืบหาเบาะแสของเด็กสาวคนนั้นเจอแล้ว
แต่…ไม่เคยได้ยินจิ่นอวี้พูดให้ฟังเลย!
ท่านโหวก็ไม่รีบร้อนที่จะพยายามทวงความดีความชอบใส่ตน เขาตัดสินใจจะกลับจวนไปถามเรื่องราวกับจิ่นอวี้ก่อน
เรื่องนี้บ่มเพาะอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่กู้จิ่นอวี้คาดการณ์ไว้ นางเอาแต่ตั้งอกตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ ไม่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาข่าวลือต่างๆ จากภายนอก ย่อมไม่รู้เลยสักนิดว่าการประดิษฐ์เครื่องสูบลมนั้นมีความหมายเช่นไรต่อแคว้นเจา
ดูเหมือนฝ่าบาทจะนิ่งสงบ แต่ความจริงแล้วทรงปรีดาแทบบ้าแล้ว
ไอ้สิ่งประดิษฐ์กระจอกของแคว้นเหลียงเหล่านั้น เดิมทีใช้แค่ทักษะการระบายน้ำคุณภาพต่ำก็เอามาแลกเหมืองของแคว้นเจาเราไปได้แล้ว แม้ว่าทั้งสองแคว้นจะไม่เคยสู้รบทำศึกกัน แต่เรื่องนี้ทำเอาน่าเดือดดาลเสียยิ่งกว่าแพ้สงครามเสียอีก
ยามนี้ดีนัก จะได้ระบายโทสะออกไปเสียที!
ทักษะนี้ได้รับความนิยมจากกรมทั้งหกแล้วเรียบร้อย มันสามารถใช้ตีเหล็กได้ไม่พอ ยังสามารถเพิ่มคุณภาพของการโลหะได้อีกด้วย แคว้นเจามีอะไรเยอะที่สุดอย่างนั้น เหมืองทองอย่างไรเล่า!
ทว่าในทางกลับกันแล้ว ในบรรดาหกแคว้น แคว้นเจามีกำลังการผลิตที่น้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ต่อให้แร่จะมากก็ยังคงเป็นประเทศยากจนอยู่
เห็นชีวิตของประชาชนเหมือนจะอยู่ดีกินดี นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้สองพระองค์ก่อนทรงเมตตา ไม่ได้กดขี่ปวงประชามากเกินไป ซ้ำยังลดภาษีให้ไม่น้อย แต่ความจริงแล้วในพระคลังหลวงร่อยหรออย่างยาจก มิฉะนั้นจะสามารถขายตำแหน่งของกั๋วจื่อเจียนให้หลินเฉิงเย่ได้หรือ
อาคารที่ตระกูลหลินบริจาคให้กั๋วจื่อเจียนครึ่งหนึ่งถูกฝ่าบาทเอาเข้าพระคลังหลวง
ทว่าถึงแม้กู้จิ่นอวี้จะไม่รู้ทิศทางของราชสำนักและกรมทั้งหก แต่ก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของคนรอบข้างที่มีต่อนาง
นางกลับมาจากวังหลวง สาวใช้คนสนิทก็บอกนางว่าเจ้าหน้าที่ของสำนักศึกษาสตรีมาหา ถามถึงนางว่าร่างกายฟื้นฟูเป็นอย่างไรแล้ว ไปเข้าเรียนกี่รอบ
กู้จิ่นอวี้พักฟื้นตัวอยู่ที่บ้านนานถึงเพียงนี้ เจ้าหน้าที่ไม่มาหาตั้งแต่แรกหรือจะมาช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ดันมาหาในเวลานี้พอดี ใครจะไปบอกได้ว่าไม่ได้รับคำแนะนำจากไท่จื่อเฟย
หรือว่าไท่จื่อเฟยก็ได้ยินเรื่องเครื่องสูบลมมาเช่นกัน
นึกดูแล้วก็ไม่แปลก ซูเฟยกับจวงกุ้ยเฟยยังได้ข่าวกันแล้ว ไท่จื่อเฟยจะไม่รู้ได้อย่างไร
จากนั้นพวกนางก็สร้างสัมพันธ์อันดีกับนาง และเพราะฐานันดรของนาง พวกคุณหนูที่ตีตัวออกห่างจากนางก็พากันกลับมาอีก พวกนางมาเยี่ยมนางถึงจวน หัวเราะพูดคุยกันราวกับความบาดหมางก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นี่มันเป็นเพราะเหตุใดกัน
คงเป็นเพราะบิดาที่เป็นขุนนางในราชสำนักของพวกนางให้พวกนางมาสืบหาความจริงจากนางแน่
หากนางเป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลมจริง เช่นนั้นก็จะไม่มีใครมาดูถูกชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของนางอีก นางทำเรื่องที่เป็นคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน แม้แต่ฝ่าบาทยังให้เกียรตินาง
ทว่า กิดคนประดิษฐ์ที่แท้จริงวิ่งออกมาแสดงตัวขึ้นสักวันละจะทำอย่างไร
กู้จิ่นอวี้ลังเลอย่างหนัก
เมื่อท่านโหวกู้กลับมาถึงจวน กู้จิ่นอวี้ก็กำลังจัดหีบใหญ่ของตัวเองอยู่
หีบใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่นางวาดเองและทำเอง แม่นางเหยาไม่ได้ทิ้ง แต่เก็บไว้ให้นางทั้งหมด
นางย้ายกลับมาที่เรือนตัวเอง หยิบฉบับร่างทั้งหมดออกมา นางอยากเห็นว่าตัวเองเคยมีแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์เครื่องสูบลมหรือไม่
“จิ่นอวี้ เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ” ท่านโหวกู้เดินเข้าห้อง มองฉบับร่างเกลื่อนพื้น ก่อนถามอย่างฉงน
กู้จิ่นอวี้เงยหน้าที่ค่อนข้างจนตรอกของตัวเองขึ้นเอ่ยว่า “ข้ากำลังหาของอยู่”
“หาอะไรรึ” ท่านโหวเดินเข้ามา “พ่อจะช่วยเจ้าหา”
“แบบร่าง” กู้จิ่นอวี้บอก “แบบร่างที่เหมือนเครื่องสูบลม”
“เจ้าหมายถึงอันนี้รึ” ท่านโหวกู้ก้มตัวลงหยิบรูปวาดที่สอดในหนังสือขึ้นมาใบหนึ่ง บนกระดาษใช้ลายเส้นอ่อนหัดเหมือนเด็กอนุบาลขีดๆ เขียนๆ เป็นกล่อง มีบางอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นที่จับหรือว่าเชือกผูก ด้านล่างสองสามชั้นมองแบบผ่านๆ พอจะเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของเครื่องสูบลมอยู่บ้าง
กู้จิ่นอวี้เองไม่รู้ว่าตัวเองวาดอะไรเลยสักนิด
แต่มันไม่ใช่เครื่องสูบลมแน่นอน
ทว่า…มันพอจะถูไถไปได้อยู่ เหมือนต้นแบบของเครื่องสูบลมอยู่จริงๆ
“จิ่นอวี้ เจ้าเป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลมจริงๆ รึ” ท่านโหวกู้ถาม
กู้จิ่นอวี้ไม่ได้รีบร้อนตอบคำบิดา นางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ คนของทั้งหกกรรมบอกว่าอย่างไรบ้าง พวกเขาหาเบาะแสอะไรเจอบ้างแล้วรึ”
ท่านโหวกู้เอ่ยว่า “บอกว่าเป็นแม่นางที่มีแซ่กู้คนหนึ่ง ต้องเกี่ยวข้องกับจวนติ้งอันโหวแน่ น่าจะเป็นคุณหนูของจวนโหว เอ๊ะ จริงสิ อายุสิบสี่สิบห้าปีด้วย”
ถูกต้อง กรมกลาโหมไปสืบความมา ได้ความถึงเบาะแสหนึ่งอันมีประโยชน์อย่างยิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างอายุ
นี่ประจวบเหมาะกับกู้จิ่นอวี้พอดี
ใจกู้จิ่นอวี้พอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว แต่นางไม่กล้าเอ่ยออกมา นางไปเรือนแม่นางเหยา แม่นางเหยากำลังทำเสื้อผ้าให้กู้เจียวอยู่
“ท่านแม่” กู้จิ่นอวี้เดินไปหา ความตื่นเต้นในใจทำให้นางมองข้ามเสื้อผ้าในมือแม่นางเหยาไป นางนั่งยองๆ ข้างกาย พลางจับมือแม่นางเหยาอย่างเอาใจแล้วถามว่า “หมู่นี้พี่สาวได้มาบ้างหรือไม่”
“ทำไมรึ เจ้ามีธุระอะไรกับนาง” แม่นางเหยาถาม
กู้จิ่นอวี้ส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ไปสำนักศึกษาตั้งหลายวันแล้ว ไม่ได้พบพี่สาวเลย อยากจะถามนางว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
สำนักศึกษาสตรีอยู่ข้างๆ โรงหมอ กู้จิ่นอวี้ไปเรียนก็จะได้เจอกู้เจียวเป็นครั้งคราว แต่ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ในโรงหมอนอกจากสองพี่น้องตระกูลจวงแล้ว ก็ยังไม่มีใครรู้ว่านางเป็นพี่น้องกันกับเด็กจัดยาของโรงหมอ
พอพูดถึงลูกสาว ใบหน้าแม่นางเหยาก็เต็มไปด้วยความรักใคร่ “พี่สาวเจ้าสบายดี แต่หมู่นี้พี่เขยเจ้าเพิ่งสอบชุนเหว่ยประจำฤดูใบไม้ผลิเสร็จ นางค่อนข้างยุ่งน่ะ”
กู้จิ่นอวี้ไม่เอามาใส่ใจ เด็กหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งจะไปสอบได้ที่ดีๆ อะไรได้ ไม่เหมือนกับอันจวิ้นอ๋องหรอก นั่นน่ะคงจะที่สอบได้ที่หนึ่งได้อยู่แล้ว
พออันจวิ้นอ๋องสอบได้ที่หนึ่งแล้วก็จะส่งปิ่นมาให้นาง
“ร่างกายเจ้าดีขึ้นหรือยัง ข้าได้ยินว่าวันนี้เจ้าเข้าวังด้วย” แม่นางเหยาเอ่ย
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว เดิมทีก็ควรมาคำนับท่านแม่ แต่แม่นมฉีเร่งข้า ข้าจึงจำต้องไปพบท่านอาก่อน ท่านแม่อย่าได้โกรธข้าเลยนะเจ้าคะ”
“ไม่มีทางหรอก” แม่นางเหยาเอ่ย
“จริงสิ ท่านแม่ ท่านไม่ได้ทิ้งแบบร่างสมัยก่อนของข้ากระมัง” กู้จิ่นอวี้หยิบเอากระดาษที่วาดๆ เขียนๆ สมัยเด็กสองสามแผ่นออกมาจากกระเป๋า “ที่เหมือนกับพวกนี้น่ะ”
แม่นางเหยาถาม “เจ้าเอาไปหมดแล้วมิใช่หรือ”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยว่า “ข้าหมายถึงพวกที่อยู่ในหมู่บ้าน”
แม่นางเหยาอธิบายว่า “พวกนี้ก็เอามาจากที่หมู่บ้านทั้งนั้นนี่นา”
กู้จิ่นอวี้หลุบตาลง “แล้ว…พี่สาวเคยเห็นของพวกนี้หรือไม่”
แม่นางเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ให้นางดู”
กู้จิ่นอวี้เงยหน้ามองแม่นางเหยา “แล้วนางเคยมาเปิดดูเองบ้างหรือไม่”
แม่นางเหยาถามอย่างแปลกใจ “นางจะไปรื้อดูของของเจ้าทำไม”
ไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อย
ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็ไม่มีทางทำเช่นนี้เหมือนกัน ตอนกู้เหยี่ยนเด็กๆ ก็ไม่เคยมารื้อเปิดดูของของกู้จิ่นอวี้
กู้จิ่นอวี้แย้มยิ้ม “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น นางเป็นพี่สาวข้ามิใช่หรือ พี่สาวสีหน้าเย็นชาแต่ใจดี ข้ารู้ว่าความจริงแล้วนางก็เป็นใส่ใจข้า”
แม่นางเหยาเอ่ยว่า “ถึงจะใส่ใจเจ้าแต่นางก็ไม่มารื้อเปิดดูของของเจ้าหรอก” เจียวเจียวเป็นเด็กดีมีมารยาท
กู้จิ่นอวี้ไม่เถียงมารดาต่อ นางเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น เพียงไม่นานแม่นางเหยาก็ง่วงขึ้นมา
หมู่นี้แม่นางเหยาชอบง่วงเหงาหาวนอนอยู่บ่อยๆ
กู้จิ่นอวี้ปล่อยให้มารดาได้พักผ่อน
พอกู้จิ่นอวี้เดินออกจากเรือนมาจู่ๆ ก็พึมพำขึ้นว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องได้มาดูรูปวาดของข้าแล้วจึงเกิดแรงบันดาลใจเป็นแน่!”
สาวใช้ “คุณหนู ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ”
กู้จิ่นอวี้ไม่สนใจนาง นางเชื่อมั่นในข้อสรุปของตัวเองอย่างมาก ไม่ต้องกังวลว่าจะความลับจะแตกอีกต่อไป
ถูกต้อง นางเป็นเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์ของแคว้นเจา คนอื่นก็แค่ขโมยแรงบันดาลใจของนางไปเท่านั้น!
นางต่างหากที่เป็นคนครอบครองที่แท้จริง!
วันรุ่งขึ้น กู้จิ่นอวี้ก็ไปสำนักศึกษา
เป็นไปดังคาด พวกคุณหนูที่ทำตัวห่างเหินเหล่านั้นต่างพากันมาประจบเอาใจนางอีกครา
“แม่นางกู้ ได้ยินว่าเครื่องสูบลมของราชสำนักเจ้าเป็นคนประดิษฐ์เองหรือ จริงหรือไม่”
“นั่นสิ นั่นสิ จริงหรือไม่”
“เจ้ารีบบอกมาสิ!”
กู้จิ่นอวี้ที่อยู่หน้าประตูสำนักศึกษาถูกพวกคุณหนูมาขวางไว้ แม้น้ำเสียงของทุกคนจะเป็นการไถ่ถาม แต่แววตากลับมั่นใจไปแล้วเจ็ดแปดส่วน
มิฉะนั้นละก็ กู้จิ่นอวี้ที่แกล้งป่วยอยู่ที่บ้านมาตั้งหลายวัน จู่ๆ ก็มาเรียน จะไม่ใช่เพราะสถานการณ์มันพลิกแล้วจึงมาได้อย่างไร
กู้จิ่นอวี้แย้มยิ้มอย่างถ่อมตน เอ่ยว่า “ฝ่าบาทยังไม่ได้ประกาศให้ภายนอกรับรู้เลย ทุกคนอย่าได้กระโตกกระตากไป”