สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 231 ได้เป็นพ่อ
บทที่ 231 ได้เป็นพ่อ
ณ เรือนดอกไม้ของจวนติ้งอันโหว เหล่าฮูหยินกู้กำลังต้อนรับแขกจากตระกูลหลิง
โดยปกติคนในอายุปูนนี้ไม่ควรจะออกมาทำอะไรแบบนี้แล้ว ควรเป็นหน้าที่ของลูกหลานไป และที่เหล่าฮูหยินหลิงมาในวันนี้ ไม่บอกก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
“เจ้าเองก็เป็นย่าของเขา มีเรื่องใดที่เจ้าออกความเห็นให้เขาไม่ได้อีกหรือ ข้ารู้ว่าสิ่งที่อนุหลิงได้ทำไปนั้นไม่ถูกต้อง เป็นความผิดของพวกเราที่ไม่สั่งสอนนางให้ดี แต่เจ้าเองก็เป็นคนของตระกูลหลิงมิใช่หรือ แถมยังได้ดิบได้ดีขนาดนี้…”
เหล่าฮูหยินหลิงเอาแต่พูดอวยเสียจนฮูเหล่าฮูหยินกู้ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร
แต่ว่ากันตามตรง เหล่าฮูหยินกู้ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคู่ครองของกู้ฉังชิงได้เลย อันที่จริง ไม่ว่าเรื่องไหนก็เข้าไปยุ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เหล่าฮูหยินหลิงเองก็เป็นคนใจกว้าง หากนางถูกใจกู้เฉิงเฟิงหรือไม่ก็กู้เฉิงหลิน แน่นอนว่าฮูเหล่าฮูหยินกู้จะจัดแจงให้โดยทันที
เดิมฮูเหล่าฮูหยินกู้อยากจะได้ความเห็นจากลูกชายก่อน แต่ท่านโหวกู้ดันถูกท่านเหล่าโหวลงโทษเสียก่อน นี่ยังรักษาตัวอยู่เลย คงไม่มีกะจิตกะใจมานั่งคุยเรื่องของกู้ฉังชิงอย่างแน่นอน
ท่านโหวกู้เลยวานให้หวงจงไปตามท่านเหล่าโหวกลับมา
และไม่นาน หวงจงก็กลับมาพร้อมกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ฮูเหล่าฮูหยินกู้เอ่ยถาม “นายท่านเล่า”
หวงจงตอบอย่างเจื่อนๆ “นายท่าน…บอกว่ามีเรื่องด่วน ยังกลับมาไม่ได้ขอรับ!”
เหล่าฮูหยินหลิงโกรธจัดจนแทบจะหงายหลัง
ก็ไม่ได้ทำงานแล้วนี่นา ยังจะมีเรื่องด่วนอะไรอีก เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาจงใจจะเมินตระกูลหลิงสินะ!
“เมื่อก่อนตอนที่พี่เขยยังไม่มั่งคั่งขนาดนี้ เจ้าก็ยอมแต่งกับเขา แต่สุดท้ายแล้วอย่างไรเล่า นี่น่ะหรือสิ่งที่ตระกูลกู้ตอบแทนกับตระกูลหลิง!” เหล่าฮูหยินหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินออกไป
ฮูเหล่าฮูหยินกู้ถูกกดดันจนไม่สบายใจ รีบวิ่งตามไปแล้วคว้ามือของเหล่าฮูหยินหลิง “พี่สะใภ้โปรดใจเย็นก่อน หรือไม่ก็…พวกเราไปถามกู้ฉังชิงด้วยตัวเองเลยดีไหม หากเจ้าตัวตบปากรับคำเอง อย่างไรโหวเหย่ก็ต้องยอมอยู่แล้ว!”
เหล่าฮูหยินหลิงมองว่าวิธีนี้มีเหตุผล สองฮูหยินจึงมุ่งหน้าไปยังจวนของกู้ฉังชิง
แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะกู้ฉังชิงไม่ได้อยู่ที่นั่น!
เหล่าฮูหยินกู้เริ่มหน้าเสีย “บ้าจริง! เขายังบาดเจ็บอยู่เลยมิใช่รึ! ออกไปข้างนอกได้อย่างไรกัน!”
เมื่อเดือนก่อน กู้ฉังชิงเคยสัญญากับกู้เหยี่ยนไว้ว่าจะสอนเขาขี่ม้า และวันนี้เอง ก็ถึงวันที่พวกเขาสองคนนัดกันไว้
กู้ฉังชิงเดินทางออกจากตำหนักโดยไม่สนร่างกายของตัวเอง
เขาขี่ม้าคู่ใจมุ่งหน้าไปยังตรอกปี้สุ่ย
กู้เหยี่ยนเคยลองแกล้งถามแม่นางเหยาเรื่องขี่ม้า แต่กลับถูกปฏิเสธ แม่นางเหยากลัวว่ากู้เหยี่ยนจะตกม้าแล้วโรคหัวใจจะกำเริบ กู้เหยี่ยนก็เลยไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร
หลังจากเลิกเรียน กู้เหยี่ยนก็มายืนรอที่หน้าประตูเรือน กู้เหยี่ยนโผล่หัวเล็กๆ ออกมาดูเป็นครั้งคราว มองซ้าย มองขวา ราวกับนกกระทาตัวเล็กๆ ที่ชอบผงกหัว
กู้ฉังชิงที่เดินทางมาถึงตรอกปี้สุ่ย ก็เจอกับเจ้านกกระทาตัวเล็กของเขาจนได้
เขาอารมณ์ดีขึ้นในทันใด
กู้ฉังชิงควบม้าเข้าไปใกล้ๆ
ส่วนกู้เหยี่ยนที่พอได้ยินเสียงเกือกม้า ก็รีบเดินออกไปต้อนรับอย่างร่าเริง
กู้ฉังชิงหยุดม้าตรงหน้ากู้เหยี่ยนพอดี ก่อนจะโน้มตัวลงแล้วยื่นมือให้เขา
กู้เหยี่ยนยื่นมือให้คนตรงหน้า
มือของกู้ฉังชิงมีขนาดใหญ่ หยาบกร้าน เต็มไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำที่เกิดขึ้นจากการฝึกวิทยายุทธ์ ขณะที่มือของกู้เหยี่ยนนั้นทั้งขาวเล็กและเรียว แม้จะทำงานตักมูลไก่ทุกวัน กระนั้นมือของเขาแทบไม่มีรอยอะไรเลยสักนิด
ยังคงเป็นมือที่นุ่มนิ่มน่าสัมผัส
กู้ฉังชิงกลัวว่าจะออกแรงเยอะเกินจนเผลอทำมือของกู้เหยี่ยนหัก
กู้ฉังชิงพยายามผ่อนแรงแล้วดึงเขาขึ้นไปบนหลังม้าและให้เขานั่งข้างหน้า
กู้เหยี่ยนพอขึ้นนั่งแล้วก็สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป พลางก้มหน้าลง “เอ๋ เจ้าเปลี่ยนอานม้าแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว มันจะแข็งไปสำหรับเจ้าไหม” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม
“ข้า…ข้าว่าก็ไม่นะ” กู้เหยี่ยนเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง
แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่อานนั่นทำเอากู้เหยี่ยนนั่งไม่สบาย กู้ฉังชิงก็ไม่ใช่คนโง่ เขาสังเกตได้ในทันที และขอให้คนช่วยเปลี่ยนอานให้ใหม่
“แล้วเจ้าจะชอบไหมนั่น” กู้เหยี่ยนเอ่ยถาม
กู้ฉังชิงตอบ “ชอบสิ”
อะไรที่เจ้าชอบ ข้าชอบหมดแหละ
กู้เหยี่ยนยิ้มเจื่อนให้ ทันใดนั้นเองมีเสียงดังขึ้นจากในเรือน ก็เลยแสดงท่าทีรีบเร่ง “เร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า! อย่าให้แม่ข้าจับได้เชียว! ไม่เช่นนั้นวันนี้คงไม่ได้ไปไหนแน่ๆ !”
แม่นางเหยาที่รู้เรื่องอยู่แล้ว “…”
กู้ฉังชิงกระชับบังเหียนและพยักหน้าให้แม่นางเหยาจากระยะไกล เป็นนัยว่าเขาจะดูแลกู้เหยี่ยนอย่างดีและพาเขากลับมาอย่างปลอดภัย
แม่นางเหยาที่เห็นว่าลูกชายตัวเองตัวติดกู้ฉังชิงขนาดนี้ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดี
กู้เหยี่ยนอยากมีพี่ชายมาโดยตลอด แม้ในวันนี้เขาจะสมหวังแล้ว แต่หากเขารู้ว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเขาในตอนเด็ก ไม่รู้ว่ากู้เหยี่ยนจะรับได้หรือไม่
“ไป ไป ไป!”
กู้เหยี่ยนเอามือจับบังเหียนแล้วเอ่นตะโกนอย่างสุดแรงเกิด
ที่จริงแล้วคนที่บังคับม้าอยู่ตลอดก็คือกู้ฉังชิง
กู้เหยี่ยนคิดไปเองว่าตัวเองขี่ม้าได้ดีเหลือเกิน
พอเห็นท่าทีได้ใจของคนข้างหน้า กู้ฉังชิงก็พ่นเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้
เสียงหัวเราะของเขาทุ้มต่ำแต่ขณะเดียวกันก็เปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดราวกับแม่เหล็ก
กู้เหยี่ยนหันไปหาเขาอย่างอดไม่ได้
“มีอะไรหรือ” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม
เขาเอ่ยถามขณะที่ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนยิ้มจากความน่าเอ็นดูของคนตรงหน้า
กู้เหยี่ยนรู้สึกสะดุดตากับรอยยิ้มนั้นของเขา พลางเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “เจ้ายิ้มแล้วดูดีมากเลยนะ”
กู้ฉังชิงไม่ใช่คนยิ้มแย้ม คงได้รับอิทธิพลมาจากท่านเหล่าโหวอีกที ไม่มีใครรู้เลยว่าเวลาเขายิ้มออกมานั้นมันดีและอบอุ่นขนาดไหน
กู้ฉังชิงเคยถูกชมทั้งด้านฝีมือวิทยายุทธ์ และความสามารถอันเพียบพร้อมของเขา แต่ไม่เคยได้รับคำชมเรื่องรอยยิ้มเลยสักครั้ง
ทำให้เขาถึงกับไปไม่เป็นอยู่พักหนึ่ง
ยังดีที่ความสนใจของกู้เหยี่ยนไปอยู่กับเจ้าม้าแทน “ไป ไป ไป! เร็วหน่อย เร็วหน่อย! ไอ้หยา ข้างหน้ามีคน ช้าหน่อย ช้าหน่อย!”
กู้ฉังชิงใช้ขายาวทั้งสองข้างของเขาหนีบเข้าไปที่บริเวณท้องของเจ้าม้าเพื่อควบคุมความเร็วและช้า
ม้าตัวนี้อยู่ด้วยกันกับกู้ฉังชิงมาตั้งแต่ทั้งคู่ยังเด็กๆ เวลาผ่านไปทั้งคู่ก็กลายเป็นคู่หูรู้ใจที่แทบจะแยกจากกันไม่ได้
เจ้าม้าตัวนี้เป็นม้าที่ใช้ออกสงครามโดยเฉพาะ เท้าของมันมีไว้ใช้ดีดกะโหลกศัตรูให้หลุดออกจากบ่า แต่ตอนนี้ หน้าที่ของเจ้าม้านั้นคือการเล่นกับเด็กน้อย…
เจ้าม้ารู้สึกอย่างไร แน่นอนว่ามันพูดไม่ได้
กู้เหยี่ยนขี่ม้าอย่างเมามันส์จนเหงื่อเริ่มท่วมตัว
กู้ฉังชิงไม่อยากให้เขาเหนื่อยเกินไป จึงบอกไปว่า “เจ้าพักก่อนไหม”
“เจ้าเหนื่อยแล้วรึ” กู้เหยี่ยนหันไปถามคนร่างใหญ่ด้วยสีหน้าไม่อยากหยุด
กู้ฉังชิงจำยอมพยักหน้าให้เขา “อืม ข้าเหนื่อยแล้ว”
“อ่าว เช่นนั้นพักก็ได้!” กู้เหยี่ยนดึงบังเหียนม้าขึ้น พลางเอ่ย “ลา…”
เจ้าม้า: ข้าเป็นม้าต่างหาก!
ม้าของกู้ฉังชิงไม่เคยต้องใช้สัญญาณหรือคำเรียกอะไรทั้งนั้น
เจ้าม้าไม่ยอมหยุด มันไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นลา
กู้เหยี่ยนเริ่มตกใจ “เอ๋ ต้องเรียกยังไงนะ ลา…ลา…” กู้เหยี่ยนเอ่ยร้องอีกครั้ง “ทำไมไม่ได้ผลเลยล่ะ”
กู้ฉังชิงเหยียบเข้าไปที่โกลนม้าเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าเพื่อนยาก
เจ้าม้าจึงหยุดเดินอย่างไม่ยินยอม
บริเวณใกล้ๆ มีร้านอาหารชื่อดังในเมืองหลวง ชื่อว่าหอนกกระสา
มีเรื่องเล่าว่าที่แห่งนี้เคยมีนกกระสาบินมาหลบที่บริเวณหอคอยของร้าน พวกมันมักจะมาพักอยู่เงียบๆ ก่อนจะบินออกไป ผู้คนมีความเชื่อว่าหากมาทานอาหารที่นี่ ชีวิตจะเปี่ยมไปด้วยความโชคดี ทำอะไรก็ราบรื่น!
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวที่กุขึ้นเพื่อกิจการของพวกเขา แต่กระนั้นก็มีคนมาอุดหนุนที่หอนกกระสาแห่งนี้เป็นจำนวนมากทุกวัน
พวกเขาทั้งสองโชคดีที่มีคนเพิ่งถอนจองห้องไปพอดี
“แต่ว่า…ค่าห้องนั้นมันออกจะ…” เด็กในร้านทำมือเพื่อบอกให้รู้ว่าห้องที่นี่ราคาสูง
ถ้าเป็นกู้เฉิงเฟิงละก็ ป่านนี้คงโดนกู้ฉังชิงตะลุมบอนแน่นอน แต่ในเมื่อกู้เหยี่ยนอากกิน กู้ฉังชิงเลยไม่พูดพร่ำทำเพลง และควักเงินออกมาอย่างง่ายดาย
ความสองมาตรฐานของคนตระกูลกู้นั้นไม่เป็นรองใครจริงๆ !
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ
ด้วยความที่กู้เหยี่ยนยังไม่ได้กินข้าว พออาหารมาถึงก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว
ส่วนกู้เฉิงเฟิงที่ยังบาดเจ็บอยู่ แถมยังรับลมเย็นมาทั้งวัน เขาจึงกินอะไรไม่ค่อยลง
กู้เหยี่ยนคีบอาหารให้กู้ฉังชิง “เจ้าก็กินด้วยสิ!”
กู้ฉังชิงคว้าตะเกียบขึ้น “อืม”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังกินข้าว จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นจากห้องข้างๆ
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว
เสียงหัวเราะนี้มัน…ช่างคุ้นหูยิ่ง
ตัดภาพไปที่ห้องข้างๆ ท่านเหล่าโหวกับกู้เจียวกำลังยกถ้วยเหล้าดื่มอย่างสนุกสนาน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่กู้เจียวเรียนร้องเพลงกับจิ้งคง เลยรู้ว่าตัวเองกินเหล้าไม่เก่ง เลยต้องดื่มน้ำชาแทนเหล้า
ส่วนท่านเหล่าโหวไม่ได้ดื่มน้ำชา แต่เขาดื่มเหล้าเลยจริงๆ แถมยังดื่มจนเมาไม่รู้เรื่องแล้วด้วย
เป็นเพราะวันนี้เขาดีใจที่ได้ผูกมิตรกับคนเก่งๆ อย่างพ่อหนุ่มคนนี้!
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตัวเขากู้เฉาผู้นี้ก็มีคู่หูพี่น้องกับเขาบ้างแล้วสินะ!
ท่านเหล่าโหวนอนแผ่บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียวว่า “น้องรัก…เจ้า…วางใจเถิด…ลูกของข้า…ก็คือ…ลูกของเจ้า…ข้า…ข้า…จะ…ให้มัน เคารพ…เจ้า…เจ้า…บอกให้…มัน…ไปซ้าย…มัน…ก็จะต้อง…ไปซ้าย…ไม่ไปขวา! ถ้า…มัน…ไม่เรียกเจ้าว่า…พ่อ…ข้า…จะ…จัดการมันเอง!”