สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 240 สามรุมหนึ่ง (2)
บทที่ 240 สามรุมหนึ่ง (2)
เมื่อพ้นเขตวัง
ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับพระตำหนัก
ไท่จื่อเฟยกลับมาอยู่ในสภาพสำรวมอีกครั้ง
ไท่จื่อถอนหายใจ
“ฝ่าบาท ทรงคิดเรื่องอันใดหรือเพคะ” ไท่จื่อเฟยเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากถาม
“ข้ากำลังคิดว่า…เมื่อก่อน เจ้าก็เคยเล่นสนุกแบบนี้กับอาเหิงหรือไม่นะ” ไท่จื่อเอ่ยตอบตามที่ใจคิด
ไท่จื่อเฟยทำหน้าตะลึง
“เมื่อก่อน อาเหิงเป็นเด็กขี้แย ข้าไม่รู้จะรับมืออย่างไร แต่ข้าเคยได้ยินมาว่า เขาเชื่อฟังเจ้ามาก พอเจ้าปลอบนิดหน่อย เขาก็หยุดร้องไปเอง” ไท่จื่อเล่าต่อ
ไท่จื่อเฟยหัวเราะ พลางเอ่ยต่อ “เรื่องมันก็นานมาแล้วเพคะ หม่อมฉันเกือบลืมไปแล้ว ฝ่าบาททรงยังจำได้อีกหรือเพคะ ในภายภาคหน้า ฝ่าบาทกำลังจะได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว หม่อมฉันว่าไม่ควรมีเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่ในความคิดของฝ่าบาทแล้วนะเพคะ”
“หลินหลังพูดถูก วันหลังข้าจะไม่ทำแบบนี้แล้ว วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก อวี้ชินอ๋องและพระชายาหวงลูกชายของพวกเขายิ่งกว่าอะไร น่าจะพอทำให้ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อวังบูรพาเปลี่ยนไปบ้าง”
แล้วก็เป็นไปอย่างที่ไท่จื่อคาดไว้ เพราะวันถัดๆ มา คณะทูตจากแคว้นเหลียงได้มาเยือนที่แคว้นเจาเพื่อเปิดเจรจาด้านการค้า และท่าทีของอวี้ชินอ๋องที่มีต่อไท่จื่อก็เริ่มไปในทิศทางแบบที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยมากขึ้น
อวี้ชิอ๋องเฟยไม่วางใจที่จะให้หมิงเอ๋อร์เข้าวังคนเดียว ก็เลยขอพามาเอง
ในหัวของนางนึกถึงแต่เด็กคนนั้นที่พบในโรงหมอ ทั้งยังเคยแอบคิดอยู่ตลอดว่า หรือลูกของนางจะยังไม่ตาย พวกเขาอาจจะเข้าใจผิด หลังจากที่ลูกถูกฝัง ที่น่าแปลกก็คือ พอหลังจากพิธีศพ ก็มีคนมาขุดร่างของเขาออกไป
เรื่องแบบนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บางครั้งก็มีเหตุการณ์ที่พอฝังเด็กไปแล้ว ก็มีเสียงร้องให้ดังขึ้นมาจากหลุมศพ
จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเดินผ่านไปมาแถวนั้น พอได้ยินเสียงร้อง ก็ขุดหลุมแล้วเอาตัวเขาไป
เณรน้อยคนนั้น บางทีอาจจะเป็น…
อวี้ชินอ๋องเฟยรอไม่ไหวที่จะพบหน้าเณรน้อยอีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่!”
หมิงเอ๋อร์เขย่าที่หัวไหล่ของนาง
อวี้ชินอ๋องเฟยพอได้สติ ก็รีบเอ่ยถามบุตรชาย “มีอะไรรึ”
“ข้าเรียกท่านตั้งนาน แต่ท่านไม่ได้ยินเลย” หมิงเอ๋อร์ทำหน้าบึ้งตึง
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ดีเอง แล้วเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าล่ะ” อวี้ชินอ๋องเฟยยื่นมือลูบใบหน้าองค์ชายน้อยพลางเอ่ยขอโทษ
หมิงเอ๋อร์ตอบ “ข้าอยากไปตกปลากับท่านพี่เวิน ท่านแม่เองก็ไปด้วยกันกับข้าสิ!”
อวี้ชินอ๋องเฟยหน้าถอดสี ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น
“หมิงเอ๋อร์ ให้พระชายาทรงได้พักบ้างก็ดีนะเพคะ พระองค์ดูแลองค์ชายมาทั้งวันแบบนี้คงเหนื่อยแย่ หม่อมฉันจะไปตกปลาเป็นเพื่อนองค์ชายเอง ให้พระชายาทรงพักผ่อนอยู่ที่นี่จะดีกว่านะเพคะ เดี๋ยวเราไปตกปลาตัวใหญ่ๆ มาซักตัวสองตัวแล้วถวายให้พระชายาดีไหมเพคะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยขึ้น
หมิงเอ๋อร์ทำท่าเห็นชอบ “ก็ได้ ท่านแม่รอข้าอยู่ที่นี่นะ!”
อวี้ชินอ๋องเฟยไม่เอ่ยอะไร
ไท่จื่อเฟยอธิบายต่อ “หม่อมฉันจะพาองค์ชายน้อยไปตกปลาที่บึงข้างหน้านี้ ไม่ไกลจากศาลา อยู่ในระยะสายตาของพระองค์แน่นอนเพคะ”
พอเอ่ยเช่นนี้ อวี้ชินอ๋องเฟยก็สบายใจ
เห็นหมิงเอ๋อร์เป็นเด็กเรียบร้อยเช่นนี้ แท้จริงแล้ว…เขาไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป
อวี้ชินอ๋องเฟยเดินขึ้นไปบนศาลา
โดยมีเหล่านางกำนัลของวังบูรพาดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งคอยดูแลและถวายเครื่องดื่มกับขนมให้อย่างไม่ขาดสาย
อวี้ชินอ๋องเฟยเอนกายลงบนเก้าอี้หวายพลางมองทิวทัศน์รอบๆ
ด้วยความที่วันนี้แดดจัด จึงเหมาะแก่การมานั่งหลบร้อน
อวี้ชินอ๋องเฟยมองดูหมิงเอ๋อร์ที่กำลังให้อาหารและตกปลาริมสระน้ำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่สักพัก ในหัวของนางก็มีความคิดเรื่องเด็กคนนั้นวนเข้ามาอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็พลันเลือนหายไป
วันนี้ชั้นเรียนของเสี่ยวจิ้งคงเลิกเร็วกว่าปกติ หลังจากที่ขออนุญาตกู้เจียวแล้ว ก็ได้เวลาที่เสี่ยวจิ้งคงจะได้ไปเล่นที่เรือนของสวีโจวโจว
ฉินฉู่อวี้เองก็ไปด้วยเช่นกัน
กลายเป็นว่าช่วงนี้เด็กน้อยสามคนนี้กลายเป็นหัวโจกของชั้นเรียนไปโดยปริยาย ใครเจอใครก็ต้องเดินหลบให้พวกเขา
ที่เรือนของสวี่โจวโจวกำลังต่อเติมซ่อมแซม จึงเกิดเสียงดังอยู่เป็นระยะ ฉินฉู่อวี้ทนไม่ไหว จึงพาพวกเขาไปเล่นกันที่วังแทน
เสี่ยวจิ้งคงและโจวโจวเคยไปที่วังหนึ่งครั้ง พอกลับมาจากวัง สวี่โจวโจวก็เอาแต่พูดโอ้อวดเสียจนพ่อและปู่ของเขาอิจฉาอยู่พักหนึ่ง
และครั้งนี้ โจวโจวก็ได้รับอนุญาตให้ไปที่วังอีกครั้ง
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้บอกกับกู้เจียวว่าเปลี่ยนแผน ก็เลยว่าจะเอาไว้บอกทีหลัง เพราะอย่างไรเสียก็ไปเล่นสนุกเหมือนกัน จะที่ไหนๆ ก็เหมือนกันหมด
เด็กน้อยทั้งสามจึงมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักหลวง
คราวนี้เหล่าขันทีประจำตัวของฉินฉู่อวี้รู้แล้วว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงพานายน้อยกับพระสหายของเขาเข้าวังอย่างปลอดภัย
การที่มีคณะทูตจากแคว้นเหลียงมานั้นไม่ได้กระทบพวกเขาเท่าใดนัก อย่างมากก็แค่ไม่ให้พวกเขาเล่นซนอย่างคราวที่แล้วก็พอ
จู่ๆ ฉินฉู่อวี้ก็นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นได้ จึงเอ่ยชวนผองเพื่อน “ไปให้อาหารปลากันเถอะ! วันก่อนที่วังซื้อปลามาปล่อยเพียบเลย ตัวใหญ่ๆ อวบๆ ทั้งนั้น!”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสี่ยวจิ้งคงก็พลันทำหน้าเศร้า
เพราะว่าปลากินคนที่โจวโจวซื้อให้เป็นของขวัญ กลายเป็นลาภปากของเจ้าเสี่ยวจิ่วจนได้…
นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
แม้สวีโจวโจวจะมองว่าไม่เป็นอะไร แถมยังพูดปลอบใจเขาว่า “โห นี่เจ้าเลี้ยงมันมาตั้งนาน เพิ่งจะมาโดนงับไปงั้นรึ ของข้านะ แค่วันที่สองก็โดนเจ้าแมวที่เรือนเล่นงานแล้ว!”
เสี่ยวจิ้งคง “…”
เอาล่ะ พอคิดได้ว่าปลากินคนของตัวเองมีชีวิตอยู่นานกว่าใครเพื่อน ก็พอทำให้เสี่ยวจิ้งคงหายเศร้าได้บ้าง
ทั้งสามคนไปที่บึงของวังบูรพา
ไท่จื่อเฟยและหมิงเอ๋อร์เองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน โดยมีคนเฝ้าอยู่แค่สองคน คือนางกำนัลของไท่จื่อเฟย และขันทีของอวี้ชินอ๋องเฟย
ด้วยความที่หมิงเอ๋อร์หมดสนุกกับการตกปลาแล้ว ไท่จื่อเฟยจึงเล่านิทานให้เขาฟัง
นางกำนัลเห็นว่าฉินฉู่อวี้เดินมาทางนี้ ก็เข้าไปกระซิบบอกกับไท่จื่อเฟย “องค์ชายเจ็ดมาเจ้าค่ะ”
ขันทีไม่รู้จักฉินฉู่อวี้ แต่พอรู้มาว่าที่แคว้นเจามีองค์ชายน้อยอายุแปดขวบ
สายตาของขันทีมองสลับทั้งฉินฉู่อวี้และสวีโจวโจว เพราะเด็กสองคนนี้ดูอายุไล่เลี่ยกัน แถมยังใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ไท่จื่อเฟยหันหน้าไปทางฉินฉู่อวี้และผองเพื่อนของเขา ก่อนจะหัวเราะทักทาย “มาแล้วรึเจ้าเจ็ด”
“เอ๋ เจ้าก็คือเจ้าเจ็ดเหมือนกันรึ” เสี่ยวจิ้งคงเอียงคอสงสัย
ฉินฉู่อวี้หันไปอธิบาย “ข้าเป็นบุตรชายคนที่เจ็ดน่ะ”
เสี่ยวจิ่วทำตาโต “เหมือนกับไก่ที่ข้าเลี้ยงเลย!”
ฉินฉู่อวี้ได้แต่รู้สึกเหมือนกำลังถูกล่วงเกิน
“นี่น่ะหรือ สหายของเจ้าที่เคยเล่าไว้” ไท่จื่อเฟยเอ่ยพลางมองไปที่สวี่โจวโจวและเสี่ยวจิ้งคงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
สวีโจวโจวไม่เคยพบเจอสตรีเลอโฉมเช่นนี้มาก่อน เลยเผลออ้าปากค้างด้วยความตะลึง
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงนั้นไม่แสดงท่าทีอะไร
ไม่เห็นจะสวยกว่าเจียวเจียวตรงไหน
เจียวเจียวของเขาสวยที่สุดแล้ว
ไท่จื่อเฟยมองเสี่ยวจิ้งคงนานกว่าใครเพื่อน
ฉินฉู่อวี้แนะนำเหล่าผองเพื่อนให้ไท่จื่อเฟย และแนะนำไท่จื่อเฟยแก่ผองเพื่อน “พี่สะใภ้ข้าเอง”
เขาไม่ได้ใช้คำว่าไท่จื่อเฟย
ด้วยสติปัญญาของเด็กน้อยทั้งสอง ไม่มีใครคิดสงสัยว่าเหตุใดพี่สะใภ้ของฉินฉู่อวี้ถึงได้มาโผล่ในวัง
และในตอนนั้นเอง ฉินฉู่อวี้ก็ชี้ไปทางหมิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่สะใภ้ของตน พลางเอ่ยถาม “นี่ใครรึ”
“เขาเป็นแขกตัวน้อยจากแคว้นเหลียง พวกเจ้าต้องเรียกเขาว่าท่านพี่หมิงเอ๋อร์นะ” ไท่จื่อเฟยอธิบาย
เด็กๆ ทั้งสามได้เรียนภาษาของทั้งหกแคว้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีภาษาของแคว้นเหลียงด้วย
และนี่ก็คือจุดแข็งของสำนักบัณฑิตของเมืองหลวงที่สำนักบัณฑิตในชนบทเทียบไม่ติด
หมิงเอ๋อร์เป็นคนทะนงตน ตอนแรกเขาไม่ยินยอมที่จะเล่นกับเด็กสามคนนั้น แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นเด็กที่ไม่เหมือนใคร สุดท้ายหมิงเอ๋อร์ก็เลยยอมเล่นกับพวกเขาด้วย
ทั้งสี่คนให้อาหารปลา จับปลา เล่นลูกข่าง และเล่นปิดตาไล่จับกันด้วย
เด็กสามคนเล่นกันสนุกสนาน องค์ชายหมิงเอ๋อร์ก็เช่นกัน
ไท่จื่อเฟยคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“องค์ชายเจ็ดว่านอนสอนง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะเพคะ แปลว่าการอบรมของท่านได้ผลดีจริงนะเพคะ” นางกำนัลเอ่ยกับไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยหัวเราะ ไม่เอ่ยอะไรต่อ
“ข้าขอตัวไปห้องน้ำก่อน เจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่นะ” ไท่จื่อเฟยกำลังเป็นประจำเดือนอยู่ ร่างกายของนางจึงไม่ค่อยเต็มร้อยเท่าใดนัก
“เพคะ” นางกำลนัลขานรับ
แต่พอไท่จื่อเฟยกลับมาอีกที ก็พบว่า เด็กๆ ทั้งสี่คนกำลังทะเลาะกันอยู่
พูดให้ชัดก็คือ สามกำลังรุมหนึ่งอยู่นั่นเอง!