สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 247 ผู้กล้า
บทที่ 247 ผู้กล้า
หมิงเอ๋อร์ที่โดนฝ่ามือหนักของชายคนนั้นตบเข้าจนเกิดอาการมึนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
เสี่ยวจิ้งคงควักกระเป๋ากางเกงแล้วคว้าลูกอมขึ้นมายัดใส่ปากหมิงเอ๋อร์ “กินนี่สิ เจียวเจียวบอกว่ากินน้ำตาลแล้วจะมีแรง”
“ขะ ขอ ขอโทษด้วย…” หมิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างอ่อนแรง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ยินที่หมิงเอ๋อร์พูด เลยพยายามเอาหูเข้าไปใกล้ๆ แต่ในจังหวะนั้นเอง หญิงแปลกหน้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับมีดโกนและเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนให้พวกเขา
และในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงคล้ายกับบทสนทนาของผู้ชายดังขึ้น
พวกคนร้ายไม่ได้มีแค่สามคนสินะ
เสี่ยวจิ้งคงก็เลยต้องล้มเลิกแผนที่จะปลุกหมิงเอ๋อร์ไป
นางเห็นว่าเสี่ยวจิ้งคงดูไม่มีพิษสง ว่านอนสอนง่าย แลดูสะอาดสะอ้าน ก็เลยเลือกที่จะโกนผมเขาก่อนเป็นคนแรก
เสี่ยวจิ้งคงผู้น่าสงสาร
กว่าผมเขาจะงอกขึ้นมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เลย …แล้วนี่เขาต้องกลับมาหัวโล้นอีกแล้วหรือ!
เจียวเจียวบอกว่าผมของเขารอให้ยาวอีกนิดก็สามารถมัดจุกได้แล้ว แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น!
อ๊ากกก!
พอโกนผมเจ้าตัวเล็กเสร็จ ก็เปลี่ยนชุดให้เขาเป็นชุดเด็กยาจก
พอนางเห็นว่าเสี่ยวจิ้งคงไม่ร้องงอแงโวยวายแบบนี้ก็เลยรู้สึกถูกชะตาเข้า
จนถึงขั้นแอบคิดไปว่าจะไม่เรียกค่าไถ่เขาแล้ว แต่จะรับเลี้ยงไว้เผื่อว่าพอเขาโตขึ้นจะได้ช่วยดูแลนางในวันหน้า
แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว เจ้าบ้านจะต้องไม่พอใจแน่ๆ ก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป
ช่างเถอะ เรื่องเงินต้องมาก่อนอยู่แล้ว
หลังจากที่นางโกนผมและเปลี่ยนเสื้อให้เด็กสองคนแล้ว ก็จัดแจงทาแป้งเหลืองๆ บนหน้าให้ดูเหมือนเด็กเหลือขอ
พวกเขาสองคนต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เกรงว่าแม้แต่พ่อแม่ของพวกเขาจะจำพวกเขาไม่ได้ในทันที
“เสร็จรึยัง” ชายวัยกลางคนเอ่ยเร่ง
“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว!” นางเดินออกไป ก่อนจะเอ่ยถามเขา “จะให้เด็กมันกินยาไหม”
ชายวัยกลางคนมองไปทางเด็กสองคนในห้อง ก่อนจะตระหนักได้ว่ามือหนักเกินไปหน่อย ถ้าเกิดให้ยาอีกเกรงว่าเดี๋ยวเด็กจะตายเอาเสียก่อน ส่วนเจ้าตัวเล็กนั่นดูเหมือนจะตกใจจนเป็นใบ้ไปแล้ว คงไม่ต้องใช้ยาแล้วกระมัง
“ไม่ต้อง เจ้ากับเหล่าหลิวรีบพาพวกมันออกนอกเมืองไปก่อน ข้ากับเหล่าหลีมีธุระต้องทำต่ออีก”
ชายวัยกลางคนนึกในใจ ดูเหมือนวันนี้โชคชะตาจะเข้าข้างเขาจริงๆ
“ได้เลย!” หญิงแก่เอ่ยตอบ
พวกเขาอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นรถม้า วางแผนไว้ว่าออกเดินทางก่อนฟ้ามืด อีกทั้งพวกเขาจะไม่วิ่งทางหลักดเพราะอาจถูกตำรวจดักไว้ได้
พวกเขาเลือกเดินทางรองที่คดเคี้ยวเลี้ยวลด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลูกอมในปากของหมิงเอ๋อร์เริ่มละลายจนหมดแล้วไหลลงสู่กระเพาะ และทำให้เขาเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง หมิงเอ๋อร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วะพบว่าเสี่ยวจิ้งคงกำลังกำมือเขาแน่น
ครั้นหมิงเอ๋อร์กำลังจะอ้าปากพูด แต่เสี่ยวจิ้งคงดันชิงโพล่งขึ้นมาก่อน “แม่จ๋า ข้าอยากได้น้ำ”
หญิงแปลกหน้าถึงกับสะดุ้ง “เจ้า เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“แม่จ๋า” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางอ้อนวอน
นางนึกในใจ เจ้าเด็กนี่มันเพี้ยนรึเปล่านะ มาเรียกแม่จ๋งแม่จ๋าอะไรกัน
แต่สุดท้ายนางก็แพ้ให้กับแววตากลมอันไร้เดียงส่าของเสี่ยวจิ้งคง “เจ้า เจ้า เจ้า…”
“ขอน้ำหน่อยนะแม่จ๋า” เสี่ยวจิ้งคงทำเสียงอ้อนต่อ
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ ไหนพูดอีกทีซิ” นางคว้าเข้าไปที่ไหล่ของเสี่ยวจิ้งคง พร้อมกับกระซิบถาม
“แม่จ๋า” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
หญิงแปลกหน้าใจอ่อนจนต้องยื่นถุงน้ำให้เสี่ยวจิ้งคง
น้ำนี่ยังใหม่อยู่เลย นางยังไม่ได้ดื่มเลยสักนิดแอะ!
“ขอบคุณมากเลยแม่จ๋า” เสี่ยวจิ้งคงดื่มน้ำอึกใหญ่ ก่อนจะยื่นถุงน้ำคืน
หญิงแปลกหน้ายิ้มกริ่มด้วยความพอใจ
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก็มีความสุขกับภาพตรงหน้านี้เหลือเกิน
“แม่จ๋า ข้าปวดฉี่!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยพลางทำท่าเอามือปิดก้น
“เจ้าก็ฉี่บนรถสิ” นางเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง พลางเปิดหน้าต่างออกไปข้างนอก แล้วหันกลับมามองเขา
“ข้าฉี่ในรถไม่ได้แม่จ๋า ข้าฉี่ไม่ออก!” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าบู้บี้จนหน้าแดง
คนเราพอได้โอกาสครั้งแรกแล้ว ย่อมมีครั้งต่อมาเสมอ
หญิงแปลกหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้เหล่าหลิวจอดรถม้า
เหล่าหลิว “ถ้าเขาจะฉี่ก็ให้ฉี่บนรถสิ! จะทำเรื่องให้วุ่นวายไปทำไม!”
“ข้าเองก็ปวดฉี่! จะให้ข้าฉี่บนรถอย่างไรกัน” นางเถียงกลับ
สุดท้ายนางก็เถียงชนะเหล่าหลิว จากนั้นเขาก็จอดรถม้าไว้ที่บริเวณตรอกแห่งหนึ่ง “รีบๆ เลย แล้วอย่าให้ใครจับได้ล่ะ!”
นางถลึงตาใส่เหล่าหลิวหนึ่งที ก่อนจะจูงมือเสี่ยวจิ้งคงลงจากรถม้า
แน่นอนว่านางไม่พาเสี่ยวจิ้งคงไปที่ร้านอาหารหรือโรงน้ำชาเพื่อขอใช้ห้องน้ำ อย่างมากก็หามุมลับๆ ให้เขาได้ปล่อยทุกข์
“ตรงนี้แหละ!” นางเอ่ยพลางชี้ไปที่มุมกำแพงที่ดูอับๆ และสกปรก
“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงก้มหน้าลง พยายามปลดกางเกง “ข้าถอดไม่เป็น”
“แค่ถอดกางเกงแค่นี้ก็ทำไม่ได้! เจ้านี่มันโง่จริงๆ !”
ขณะที่นางกำลังโน้มตัวเพื่อถอดกางเกงให้อยู่ เสี่ยวจิ้งคงก็ใช้จังหวะนี้ในการเขวี้ยงทรายเข้าไปที่ดวงตาของนาง!
เสี่ยวจิ้งคงพบว่าในเสื้อของเขามีถุงทรายเล็กๆ อยู่ ก็เลยแบบเปิดถุงทรายนั้นออกตอนระหว่างทาง
“กรี๊ด เจ้าเด็กบ้า! เหล่าหลิว! จับเขาซะ! เขาหนีไปแล้ว!” หญิงแปลกหน้าหรี่ตาพลางตะโกนร้องให้เหล่าหลิวช่วย
เหล่าหลิวที่นั่งรออยู่บนรถม้า พอได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งตามจับเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงที่กำลังวิ่งหนีอยู่ก็เกิดสะดุดแล้วล้มลงพื้นจนร่างของเขากลิ้งม้วนไปหยุดอยู่ตรงเท้าของเหล่าหลิว
เหล่าหลิว “…”
เสี่ยวจิ้งคง “…”
ถ้าข้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าจะเชื่อหรือไม่
“หึ หึ” เหล่าหลิวหิ้วร่างของเสี่ยวจิ้งคงขึ้นมา
เอาล่ะ ตั้งสติ ตั้งสติ ….
เสี่ยวจิ้งคงลูบหัวโล้นๆ กลมๆ ของตัวเอง
อ๋อ นี่ไง!
วิชาหัวทะลุกำแพง!
“ดูข้านี่นะ! ฮั้ยย่ะ!” เสี่ยวจิ้งคงยกหัวขึ้นแล้วทุ่มลงไปที่กลางหัวของเหล่าหลิวเข้าเต็มๆ !
ต่างฝ่ายต่างโดนกระแทกที่หัวเข้าอย่างจังจนหมดสติ
เสี่ยวจิ้งคงฟื้นขึ้นมาก่อน เพราะว่า
เพราะว่ามันเจ็บมากเลยน่ะสิ!
ไหนบอกว่าฝึกวิชาแล้วจะไม่เจ็บกัน
เสี่ยวจิ้งคงยกมือกุมหัวตัวเอง “วิชาหัวทะลุกำแพงของข้า มัน มัน…หายไปแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงเข่าแทบทรุด
“แง แง แง”
เหล่าหลิวตกใจกับเสียงร้องโหยหวนที่คล้ายกับหมูในตลาดโดนเชือดจนพลั้งมือโยนร่างของเสี่ยวจิ้งคงออกไป!
เสี่ยวจิ้งคงกลิ้งลงบนพื้น ก่อนจะลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนีออกไป!
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เสี่ยวจิ้งคงตะโกนร้อง
เดี๋ยวก่อน ตะโกนแบบนี้ไม่ได้สิ
“ไฟไหม้! ไฟไหม้! กองเบ้อเร่อเลย! ไหม้หมดทั้งหลังแล้ว! รีบออกมาเร็ว ไม่งั้นเกรียมกันทั้งบางแน่!”
ตามคาด ชาวบ้านเริ่มทยอยกันออกมาข้างนอกจนถนนทั้งสายพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
หมิงเอ๋อร์ที่ฟื้นแล้วก็รีบกระโดดลงจากรถม้า เด็กทั้งสองวิ่งหนีออกไปด้วยความสิ้นหวัง!
พวกต้มตุ๋นไม่เคยเจอเด็กเจ้าเล่ห์แบบนี้มาก่อน คาดไม่ถึงว่าเด็กนั่นจะตะโกนว่าไฟไหม้เพื่อเรียกความสนใจคน
เหล่าหลิวและหญิงคนนั้นถูกคาอยู่กลางทางเพราะคนเยอะเกินไป
เด็กทั้งสองหนีพ้นเงื้อมมือพวกเขามาได้ก็จริง
แต่พวกเขาไม่รู้ว่ายังมีพวกต้มตุ๋นอีกสองคนที่รอดักพวกเขาอยู่
ชายวัยกลางคนถือแท่งไม้และเดินเข้ามาใกล้ๆ “ตะโกนอีกสิ ทำไมคไม่ตะโกนต่อล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงนึกในใจ ข้าตะโกนจนเสียงหมดแล้วเนี่ย!
“เจ้าเด็กบ้า ที่แท้เจ้าก็เล่นละครตบตานี่เอง บังอาจนัก!” พอเอ่ยจบ ชายวัยกลางคนก็ยกท่อนไม้ขึ้น เล็งไปที่เสี่ยวจิ้งคง แล้วเหวี่ยงมันลงอย่างสุดแรงเกิดด้วยความแค้น
ทันใดนั้น หมิงเอ๋อร์รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วเอาร่างอันอิดโรยของเขาบังร่างเสี่ยวจิ้งคงไว้ เขากอดร่างของเสี่ยวจิ้งคงเอาไว้แน่น
สิ้นเสียงกระแทกของท่อนไม้ หมิงเอ๋อร์ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
ร่างของหมิงเอ๋อร์กองลงไปที่พื้น เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนบอกกับเสี่ยวจิ้งคง “รีบ…หนีไป!”
…
หมิงเอ๋อร์ลืมตาขึ้น แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงประหลาดและห้องที่เต็มไปด้วยคานไม้
ด้วยความที่หมิงเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงที่มีหลังคามาโดยตลอด เขาจึงไม่เคยเห็นคานไม้ในห้องนอนมาก่อน
เขาสลบไปนานเสียจนลืมไปว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่แคว้นเหลี่ยง
“หมิงเอ๋อร์…ฟื้นแล้วใช่ไหมลูก!”
อวี้ชินอ๋องเฟยพุ่งตัวเข้าไปหาเขาทั้งน้ำตา
“ท่านแม่…” หมิงเอ๋อร์เอ่ยเรียกนางอย่างอ่อนแรง
“แม่อยู่นี่ แม่อยู่นี่นะลูก!” อวี้ชินอ๋องเฟยเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วกุมมือของเขา “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นซักที ข้าตกใจแทบแย่!”
หมิงเอ๋อร์รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป และในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้
“น้องล่ะ…เขาเป็นอะไรไหม”
อวี้ชินอ๋องเฟยคาดไม่ถึงว่าเสี่ยวจิ้งคงจะเป็นคำถามแรกที่เขาถามหลังจากที่ฟื้น…
“เสี่ยวจิ้งคงไม่เป็นอะไรลูก…” นางเข้าใจดีว่าทำไมเขาถึงถามแบบนั้น เสี่ยวจิ้งคงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังแล้ว
“ข้าพาน้อง… กลับมาแล้ว… ท่านแม่… ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ…” หมิงเอ๋อร์เอ่ยพลางยื่นมือเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นมารดา