สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 263 รู้จัก
บทที่ 263 รู้จัก
หญิงชรารู้สึกว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตนเองควรจะพูดว่าคุกเข่าอย่างไรอย่างนั้น แม้นางจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากออกไป องค์รักษ์ผู้นั้นก็คุกเข่าลงไปแล้ว
หญิงชรา “…”
ราชครูจวงเดินเข้ามาด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะยกมือขึ้นประสานแล้วคำนับ
“เจ้าเป็นใคร” หญิงชราถาม
“กระหม่อม…” คำพูดของราชครูจวงค้างอยู่ที่ริมผีปาก นึกขึ้นได้ว่านางจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้อีกต่อไป จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ข้าคือพี่ชายของเจ้า! เจ้าคือจวงจิ่นเซ่ส่อ ข้าคือจวงป๋อยง เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
“พี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ” หญิงชรามองเขาด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว!” ราชครูจวงตอบน้ำเสียงตื่นเต้น “เจ้าจำได้แล้วใช่หรือไม่”
หญิงชราไม่ตอบเขา แต่กลับมองไม่ไปจี้จิ่วอาวุโสที่อยู่ข้างกายแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนสั่งให้ผลักเขาหรือ”
“บ่าวผู้นี้เอาแต่เอะอะโวยวายไม่ฟังคำอธิบาย ไม่ยอมให้ข้าเข้ามา…” ราชครูจวงมองตาเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างหญิงชราหัวจรดเท้าด้วยความรังเกียจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงได้เกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายเหลือเกิน ยิ่งเห็นเขายืนด้วยกันกับน้องสาวตัวเองแบบนี้ ก็พลันอยากจะพุ่งเข้าไปชกเขาเสียอย่างนั้น
หญิงชราหันไปมองเขา น้ำเสียงฟังดูเหลืออด “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
น้ำเสียงไม่เป็นมิตรนั้นทำเอาราชครูจวงชะงักไป “ข้าบอกว่า…เขาไม่ยอมให้ข้าเข้ามา”
หญิงชรา “ประโยคก่อนหน้านั้น”
ราชครูจวงนึกย้อนอยู่ครู่หนึ่ง “บ่าวผู้นี้เอาแต่เอะอะโวยวายไม่ฟังคำอธิบาย”
หญิงชราพยักหน้า เดินไปทางประตูแล้วกระดิกนิ้วเรียกราชครูจวง
ราชครูจวงเดินเข้าไปหา “น้องพี่”
หญิงชราตบบ่าเขาเบาๆ “หันหลัง แล้วหันหน้าไปข้างนอก”
ราชครูจวงไม่เข้าใจสักเท่าใด แต่ก็ยังหมุนตัวหันหลังตามคำบอก
วินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บั้นท้าย นั่นเป็นฝ่าเท้าของหญิงชราที่ถีบเขาออกมา เขาล้มหน้าคะมำจนเกาะขอบประตูไว้ไม่ทัน ร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้น
ไม่รอให้เขาได้สติว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงชราก็ปิดประตูเรือนดังโครมในทันที!
บ่าวอย่างนั้นรึ
บ่าวบ้านเจ้าสิ!
ข้าไม่ยอมให้เจ้ามารังแกผู้ชายของข้าหรอก!
วันนี้ราชครูจวงคว้าน้ำเหลว รู้ดีว่าวันนี้คงไม่อาจได้พบจวงไทเฮาอีกแล้ว เขากัดฟันกรอด ก่อนจะกลับจวนไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ระหว่างทาง เขาหงุดหงิดเป็นที่สุด เหตุใดจวงไทเฮาถึงทำกับเขาเช่นนี้ ไม่รู้จักเขาแล้วเห็นเขาเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนั้นหรือ หรือว่าตั้งใจจะปกป้องศักดิ์ศรีของตาเฒ่านั่น
น่าขันนัก จวงไทเฮาเป็นห่วงเป็นใยข้าทาสถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด นางเห็นคนเหมือนดั่งใบไม้ใบหญ้า แม้แต่องค์หญิงในราชสำนักยังส่งออกไปแต่งงานได้โดยไม่ยี่หระ แต่กลับเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับบ่าวเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ
อันที่จริงแล้วไม่ได้มีเพียงแค่ราชครูจวงที่สงสัย จี้จิ่วอาวุโสเองก็มึนงงไปหมดเช่นกัน
ให้จวงจิ่นเซ่ส่อถือมีดมาฟันเขายังจะน่าเชื่อเสียกว่า แต่พอจวงจิ่นเซ่ส่อพูดออกหน้าแทนเขาเช่นนี้ เขากลับแทบไม่เชื่อสายตา
แม้จะไม่เชื่อก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
เขาไม่ใช่คนโง่ แล้วก็ไม่มีทางเอาเรื่องพิสดารเช่นนี้เก็บมาใส่ใจ เหอะ นางไม่ได้ทำเพื่อเขาเสียหน่อย อาจจะเป็นเพราะตื่นตกใจกับคนแปลกหน้าก็ได้
แก่จนแทบแง้มฝาโลงแล้ว รู้จักอายบ้างไม่ได้หรือไร
จี้จิ่วอาวุโสขยี้สันจมูกไปมา ก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มว่า “เมื่อครู่…”
จบกัน อยากจะขอบคุณเสียหน่อย แต่ดันพูดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทั้งศิษย์และอาจารย์สองคนนี้นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด ยามตะล่อมคนนั้นกลับพูดจาไหลลื่นไม่มีสะดุด แต่พอถึงคราวจำเป็นที่ต้องขอบคุณคนเช่นนี้ กลับพูดไม่ออกราวกับลิ้นพันกันเป็นปมเสียอย่างนั้น
จี้จิ่วอาวุโสไม่เคยรู้สึกประดักประเดินเช่นนี้มาก่อน นางแค่ทำเรื่องที่ปกติไม่เคยทำก็เท่านั้นเอง หญิงชราเดินเข้าไปในครัวอย่างไม่แยแส ยังกินขนมฉือปาไม่หมดเลย ขืนทิ้งไว้คงเย็นชืดกันพอดี
จี้จิ่วอาวุโสมองดูแผ่นหลังของนางที่เดินฉิวออกไป เดาว่านางคงไปหาของกินแล้ว จอมเขมือบผู้นี้คือไทเฮาปีศาจล่มแคว้นเจ้าอารมณ์ผู้นั้นจริงๆ หรือนี่
นี่เป็นครั้งแรกที่จี้จิ่วอาวุโสสงสัยในความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
หรือว่าความจริงแล้วจวงจิ่นเซ่ส่อจะไม่ได้นิสัยแย่อย่างที่ตนเองคิด หรือว่าเรื่องราวพวกนั้นเป็นเพราะตัวเขาเองที่เข้าใจผิดจวงจิ่นเซ่ส่อมาตั้งแต่แรก
เรื่องอื่นยังพอให้อภัยได้ แต่เรื่องที่นางใช้ร่างกายฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นข้อแลกเปลี่ยนนั้นให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!
ฮองเฮาพระนางอื่นล้วนแต่หาสารพัดวิธีเพื่อจะได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แต่นางกลับตรงกันข้าม นางยืดป้ายแถบเขียว ไว้เป็นของตนที่ตำหนักคุณหนิงทั้งหมด หากอยากให้พลิกแผ่นป้ายก็ต้องเอาอัฐเงินมาแลก ผู้ใดให้ราคาสูงสุดก็จะได้หลับนอนกับฮ่องเต้!
แถมนางยังแจกรางวัลให้อีกด้วย หากตั้งท้องก็จะให้รางวัลเป็นอัฐเงินหนึ่งพันตำลึง หากคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย จะให้รางวัลเป็นอัฐเงินสองพันตำลึง
และหากผู้ใดให้กำเนิดพระโอสรก็จะได้ร่วมหอหนึ่งครั้งโดยไม่เสียเงิน
นางหาเงินได้มากมายเท่าใดน่ะหรือ คงนับไม่หวาดไม่ไหว
ทว่าสิ่งที่น่าโมโหกว่านั้นก็คือ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกลับถูกปิดบังมาโดยตลอด แถมยังภูมิอกภูมิใจว่าตนเองมีฮองเฮาที่แสนใจกว้าง ให้ตนได้เชยชมสาวงาม จึงเป็นที่มาของสมยานามของจวงจิ่นเซ่ส่อฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรม
กว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะรู้ความจริงก็สายไปเสียแล้ว อำนาจทางการเมืองเบ็ดเสร็จในราชสำนักได้ตกอยู่ในมือของจวงจิ่นเซ่ส่อและคนตระกูลจวงเป็นที่เรียบร้อย
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจากไปด้วยความเคียดแค้น จวงจิ่นเซ่ส่อปลดองค์ราชทายาท และสถาปนาฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันให้ขึ้นครองราชย์ ทั้งยังเริ่มว่าราชการหลังม่านยาวนานถึงสิบสองปี จวงจิ่นเซ่ส่อเอ๋ยจวงจิ่นเซ่ส่อ เจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่
หากอยู่มาวันหนึ่งเจ้าจำได้ว่าตัวเองเป็นใครขึ้นมา เจ้าจะกลับมาเป็นจวงจิ่นเซ่ส่อคนเดิม หรือว่าเป็นท่านย่าของลิ่วหลังและเจียวเจียวต่อไป
เซียวลิ่วหลังไปยังสวนผลไม้เพื่อรับกู้เจียวและเสี่ยวจิ้งคงที่กำลังจะเดินทางกลับ
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ท่าทางดูสนุกสนานเหลือเกิน ราวกับลงมือทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดโลดเต้น อารมณ์ดีเป็นที่สุด!
อารมณ์ดีเพราะหลอกรีดไถเงินคนมาได้!
อารมณ์ดีเพราะได้เจอเจียวเจียว!
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เทพเซียนมาโปรดและให้พรกับเขา!
ผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่งกลับมาถึงเรือน กู้เจียวไปตักน้ำมาให้เสี่ยวจิ้งคงล้างมือ จากนั้นจี้จิ่วอาวุโสก็เรียกกินข้าว ก่อนจะเริ่มตั้งโต๊ะกัน
กู้เสี่ยวซุ่นเขย่าตัวปลุกกู้เหยี่ยน “กินข้าวกัน”
กู้เหยี่ยนขยี้ตาด้วยความงัวเงีย ก่อนจะพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน “ไม่กิน ข้าจะนอน”
กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย “กินก่อนแล้วค่อยมานอน”
“ไม่เอา” กู้เหยี่ยนมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม
ทว่าทันใดนั้นสองมือเล็กๆ อันเย็นเฉียบก็ล้วงเข้ามา ลูบไล้กอบกุมใบหน้าของกู้เหยี่ยนเอาไว้
กู้เหยี่ยนสะดุ้งตื่นเพราะความเย็นเฉียบนั้น สะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง “เจ้าเณรน้อย! อยากจะลองดีใช่หรือไม่!”
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งไปหนีไปที่หน้าประตู ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา “แบร่ แบร่ แบร่!”
“เจ้าหนีไม่รอดแน่!” กู้เหยียนพรวดลงจากเตียงในทันใด
เสี่ยวจิ้วคงยกแขนป้อมโบกไปมาเพื่อฟ้อง “เจียวเจียว เจียวเจียว! พี่เหยี่ยนจะตีข้า!”
กู้เหยี่ยนคว้าไม้ขนไก่ขึ้นมา “เจ้าอย่ามาฟ้องมั่วซั่วนะ! เจ้าเอามือมาแอบจับข้าก่อนชัดๆ”
เจ้านายทั้งสองผลักกันไปผลักกันมา ทั้งไก่และสุนัขในลานบ้านก็เริ่มยั่วยุกัน ไก่กระพือปีกพั่บๆ เจ้าหมาก็กระโดดไปมา เป็นเช่นนี้อยู่ทุกยามเย็น
จี้จิ่วอาวุโสคิดในใจ หากแต่ก่อนมีคนกล้าส่งเสียงเอะอะโวยวายเช่นนี้ต่อหน้าจวงไทเฮา ป่านนี้คงถูกลากตัวออกไปโบยจนอาบเลือดแล้ว แตกต่างจากยามนี้ลิบลับที่นางแทะเมล็ดทานตะวันด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ จี้จิ่วอาวุโสเห็นว่าไม่มีใครอยู่จึงเอ่ยถามคำถามหนึ่งกับหญิงชรา “เอ่อ…คือว่าเจ้าไม่กลัวว่าคนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของเจ้าจริงๆ หรือ”
หญิงชราส่งสายตารำคาญใจใส่เขา “จะเป็นไปได้อย่างไร บ้านแม่ข้าก็เหลือแค่ลิ่วหลังคนเดียวไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ…นั่นสินะ นั่นสินะ!” จี้จิ่วอาวุโสไม่กล้าโต้แย้ง กลัวว่าจะเผลอพลั้งปากออกไป ยิ่งเห็นท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย ก็พลันรู้สึกอดทนไม่ไหว
เขาถาม “สมมติว่า…ข้าสมมติเฉยๆ หากเจ้ายังมีครอบครัวเหลืออยู่ ทั้งยังมีอำนาจมียศตำแหน่งอะไรทำนองนั้น จะอยากจะกลับไปหรือไม่”
“เจ้านี่มีพิรุธ…” หญิงชรามองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะวางเมล็ดทานตะวันไว้บนแท่นเตาไฟ แล้วหยิบมีดอีโต้ขึ้นมา “บอกความจริงมา! เจ้าแอบซ่อนเงินไว้อีกใช่หรือไม่!”
จี้จิ่วอาวุโส “…”
เรื่องเกี่ยวกับราชครูจวง จี้จิ่วอาวุโสคิดว่าต้องบอกกับเซียวลิ่วหลังสักหน่อย
ค่ำคืนนั้นหลังจากที่ทุกคนเข้านอน เซียวลิ่วหลังก็ถูกจี้จิ่วอาวุโสเรียกตัวไปที่เรือนข้างๆ
เมื่อเล่าเรื่องราชครูจวงจบ เซียวลิ่วหลังไม่มีท่าทีประหลาดใจเลยสักนิด จี้จิ่วอาวุโสจึงหงุดหงิดขึ้นมา “เจ้ารู้เรื่องตระกูลจวงมาตั้งแต่แรกแล้วหรือ”
เซียวลิ่วหลังไม่ได้ปิดบัง “ตอนอยู่ที่หมู่บ้าน อันจวิ้นอ๋องเคยมาที่เรือน”
“ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ…” จี้จิ่วงงงัน
เรื่องที่อันจวิ้นอ๋องเดินทางไปยังชนบทนั้นเขารู้อยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่ก่อนการสอบระดับมณฑล จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้ว
จี้จิ่วอาวุโสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ดูท่าทางแล้ว การเปิดกั๋วจือเจียนอีกครั้งนั้นน่าจะข้องเกี่ยวกับตระกูลจวง แม้เจ้าจะสอบเป็นเจี่ยหยวนได้หรือไม่ ตระกูลจวงก็คงให้เจ้ามาเรียนที่กั๋วจื่อเจียนอยู่ดี พวกเขารู้เรื่องราวของเจ้าเป็นอย่างดี รู้ว่าเจ้าต้องพาคนทั้งบ้านมาด้วย จวงจิ่นเซ่ส่อก็จะกลับเข้าเมืองหลวงมาได้อย่างเต็มภาคภูมิ”
จู่ๆ จี้จิ่วอาวุโสก็เรียกชื่อจริงของหญิงชราออกมา เซียวลิ่วหลังชะงักไปพลางเหลือบตามองจี้จิ่วอาวุโส ทว่าจี้จิ่วอาวุโสกลับไม่รู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติ เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่พูดอะไร
จี้จิ่วอาวุโสจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้เจ้าสอบเป็นจอหงวนได้แล้ว เซวียนผิงโหวก็ไปมาหาสู่กับเจ้าอย่างเปิดเผย ตระกูลจวงย่อมคิดว่าเจ้าต้องเอนเอียงไปทางฝ่าบาทและจวนเซวียนผิงโหว และตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขา เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่อาจปล่อยในจวงจิ่นเซ่ส่อไว้ในมือเจ้าได้ เจ้าดูสิ แม้วันนี้ราชครูจวงจะไม่ทำไม่สำเร็จ แต่เขาไม่ทางหยุดเพียงเท่านี้แน่นอน”
จี้จิ่วอาวุโสคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ราชครูจวงไม่มีทางล้มเลิกความคิดที่จะพาตัวไทเฮากลับวังแน่นอน ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ก็ต้องใช้ไม้แข็ง!
จะใช้กำลังกับไทเฮาคงไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ยังต้องพูดถึงว่าโดนโทษประหารหรือไม่ จวงไทเฮาล้ำค่าถึงเพียงนั้น หากเกิดผิดพลาดอันใดขึ้นมา พวกเขาคงรับไม่ไหว
ราชครูจวงจึงเบนเป้าหมายไปที่คนรอบกายของจวงไทเฮาแทน
เซียวลิ่วหลังระวังตัวเป็นอย่างมาก ส่วนแม่หนูนั่นได้ยินมาว่าพอมีวิชา จึงไม่อาจชะล่าใจได้
เท่าที่รู้มาแม่ของแม่หนู่นั่นก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เสียดายที่นางไม่ออกจากเรือนเลย ก็ไม่มีช่องให้ลงมือเช่นกัน
เช่นนั้นแล้วก็เหลือเพียงเด็กน้อยที่เรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียนและสำนักชิงเหออีกสามคน
คนเล็กสุดก็มักจะอยู่กับลูกชายของเจ้ากรมกลาโหมและองค์ชายเจ็ดตลอด คงแหวกหญ้าให้งูตื่นเอาได้ง่ายๆ
ท้ายที่สุดราชครูจวงก็ครุ่นคิดพิจารณาและตัดสินใจเล็งเป้าไปที่อีกคนหนึ่งแทน ซึ่งก็คือกู้เสี่ยวซุ่น!