สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 272.1 ฟื้นความจำ (1)
บทที่ 272 ฟื้นความจำ (1)
แม้แต่ตัวนางเองก็พลันอ้ำอึ้งราวคนสติหลุด
แม้นางจะพยายามอ้าปากพูดอะไรสักอย่างออกมา กลับไม่มีเสียงออกมาแม้แต่นิด
…เจียวเจียว
จู่ๆ ชื่อนี้ก็โผล่เข้ามาในความคิดของนางอย่างไม่ตั้งใจ หรือว่าเด็กสาวผู้นี้คือเจ้าของชื่อนี้กันนะ
แล้วไฉนถึงต้อง…
“ไทเฮา!”
ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเสียงเรียกของจวงเย่ว์ซี ที่เห็นว่าข้างๆ ไทเฮาเป็นเงาของร่างอันคุ้นเคย พอเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ถึงได้มั่นใจว่าเงาที่คุ้นตานี้คือกู้เจียวจริงๆ
พอจวงเย่ว์ซีเห็นว่ากู้เจียวมาที่นี่ก็ตกใจไม่น้อย
ซ้ำพอเห็นว่าในมือของกู้เจียวมีถุงเงินเล็กๆ อยู่ด้วย สีหน้าของเย่ว์ซีก็เริ่มเปลี่ยน
เย่ว์ซีพยายามซ่อนความรู้สึกไม่ปลอดภัยของตัวเองไว้ พลางโน้มน้าวบอกตัวเองในใจว่าไทเฮาลืมเด็กสาวคนนี้ไปแล้ว คนที่ไทเฮารักและหวงแหนมากที่สุดก็คือตนเท่านั้น
พอคิดได้เช่นนี้ เย่ว์ซีก็เริ่มนิ่งขึ้นมาบ้าง
“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ คิดหรือว่าที่นี่ให้เจ้าเข้าๆ ออกๆ ได้ตามอำเภอใจน่ะ” จวงเย่ว์ซีหันไปเอ่ยถามกู้เจียว
ใช่เสียเมื่อไหร่เล่า แต่ในเมื่อเข้ามาได้แล้วก็ย่อมแปลว่ากู้เจียวไม่ได้เข้ามาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเสียทีเดียว อย่างน้อยกู้เจียวก็เป็นที่รู้จักของฮ่องเต้และไทเฮา และถ้าในเมื่อไทเฮาไม่ได้ให้กู้เจียวเข้ามาได้ แสดงว่าก็มีเพียงแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่อนุญาต
คำถามของเย่ว์ซียิ่งเป็นการตอกย้ำให้ไทเฮารู้ว่ากู้เจียวคือแขกของฮ่องเต้
กลายเป็นว่าสีหน้าของไทเฮาในตอนนี้เริ่มเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทกำลังรักษาร่างกายอยู่ โดยอยู่ในความดูแลของเจ้า ไม่รู้สินะว่าสุขภาพของพระองค์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” จวงเย่ว์ซีโพล่งเอ่ยต่อ
ไม่ว่าใครต่อใครในแคว้นเจาต่างก็รู้ว่าไทเฮาและฮ่องเต้เป็นศัตรูกัน ที่จวงไทเฮาดันฮ่องเต้ให้เป็นใหญ่ได้นั้นก็เพียงเพื่อให้เป็นหุ่นเชิดก็เท่านั้น แต่พอภายหลัง ฮ่องเต้เริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้น ก็มิอาจทนเป็นหุ่นกระบอกให้ไทเฮาได้อีกต่อไป
การแข่งขันแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของพวกเขามีมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
ไทเฮาคิดฉวยโอกาสตอนที่ฮ่องเต้ทรงประชวร แต่การปรากฏกายของกู้เจียวทำให้ฮ่องเต้มีชีวิตรอดได้อีกครั้ง เช่นนี้แล้วไทเฮาจะมองกู้เจียวเช่นไรได้อีก
ในหัวของจวงไทเฮาเอาแต่คิดย้อนไปมาถึงเรื่องนี้ด้วยความเย็นชาและดูดาย ซ้ำยังมองว่าที่กู้เจียวเข้าใกล้ตนนั้นเป็นเพราะฮ่องเต้ ที่ตนยอมให้กู้เจียวเข้ามาในห้วงความคิดเป็นบางครั้งได้ คงเป็นเพราะเรื่องที่ความจำเสื่อมในช่วงก่อนหน้า
ก็แค่หลวมตัวนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แน่นอนว่าคงไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว
“ทิ้งของไว้เสีย และออกไปได้แล้ว” จวงไทเฮาเชิดคางขึ้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางสวนดอกไม้
“อ้อ” กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหันไปทางจวงเย่ว์ซี “อ่าว มิใช่ท่านย่าส่งคนมาคืนของให้ข้าหรอกรึ”
สักพัก ดูเหมือนจวงไทเฮาเริ่มจะนึกขึ้นได้แล้วว่าก่อนหน้านี้แม่สาวคนนี้ก็พูดคำว่า‘คืน’มาตั้งแต่ต้นแล้ว นางขมวดคิ้วเป็นปมก่อนจะหันไปดูที่ถุงเงินที่มีด้ายขาดรุ่ยรอบๆ ที่แม่สาวน้อยกำลังถืออยู่
พลางนึกในใจ เอ๊ะ หรือว่า…แม่สาวน้อยคนนี้จะเย็บถุงเงินนี้ให้ตนจริงๆ
“ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้านั่นแหละที่ขโมยของๆ ไทเฮา ถ่อมาพูดจาแสแสร้งถึงที่นี่!” จวงเย่ว์ซีเอ่ยพลางกำหมัด ก่อนจะหันหน้าไปหาไทเฮา “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันว่านางนี่มันเก็บของๆ ไทเฮามาได้เป็นแน่แท้เพคะ ”
กู้เจียวหันไปทางจวงเย่ว์ซี “ก็เจ้ามิใช่หรือที่เอามาให้ข้าน่ะ”
จวงเย่ว์ซีปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้าเปล่านะ! ” ก่อนจะหันไปหาไทเฮา “ไทเฮาเพคะ อย่าได้ฟังคำโกหกของนางเป็นอันขาดนะเพคะ!”
“พอได้แล้ว!” จวงไทเฮารีบตัดบทจวงเย่ว์ซีที่วันนี้ดูเหมือนจะพูดมากเป็นพิเศษจนไทเฮาเองเริ่มรู้สึกรำคาญ
ที่จริงพอเทียบกันแล้ว คราวนี้กู้เจียวดูจะพูดเยอะกว่าจวงเย่ว์ซีด้วยซ้ำ เพียงแต่ไทเฮามองว่าจวงเย่ว์ซีนั้นออกจะน่ารำคาญไปมาก
กู้เจียวมองไทเฮาด้วยสายตาละห้อย “หากท่านอยากให้ข้าไปจริงๆ ไหนท่านลองบอกข้ามาทีว่า ท่านไม่ต้องการข้าแล้ว”
จวงไทเฮาสูดหายใจลึก แล้วอ้าปาก
แต่ไทเฮากลับพูดอะไรไม่ออก ครั้นจะบอกว่าตนไม่ต้องการเด็กสาวตรงหน้าแล้ว จู่ๆ ที่ลำคอของนางกลับรู้สึกถึงก้อนอะไรบางอย่างที่ทำให้นางพูดไม่ออก
“น่าเบื่อ” จวงไทเฮาได้แต่สบถเบาๆ อย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปที่สวนดอกไม้
กู้เจียวเอามือลูบที่ถุงเงินผ้า
เมื่อไทเฮาเดินออกไปไกลพอสมควรแล้ว จวงเย่ว์ซีก็เริ่มก่นด่าอย่างหน้าตาย “เจ้าไม่ต้องมาเรียกคะแนนสงสารอะไรแล้ว! พวกเจ้าเคยทำอะไรกับท่านย่าของข้าไว้ พวกเจ้าคงจะรู้อยู่แก่ใจ! ท่านย่าของข้าเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ไม่คิดร้ายกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับต้องการเสนอหน้า! คิดหรือว่าท่านย่าของข้าเอ็นดูเจ้ามากมายน่ะ นางก็แค่เห็นเจ้าเป็นข้าก็เท่านั้นแหละ! เพราะข้าน่ะ คือหลานตัวจริงของท่านย่าต่างหาก!”
“อ๋อ” กู้เจียวไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดขอจวงเย่ว์ซีแต่อย่างใด
เพราะนางรู้ว่าคำพูดของจวงเย่ว์ซีล้วนแต่เป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น!
พอจวงเย่ว์ซีเห็นท่าทีเมินเฉยของกู้เจียว ก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังทะเลาะอยู่กับตอไม้อย่างไรอย่างนั้น และเริ่มรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
ที่จริงจวงเย่ว์ซีก็เป็นเด็กสาวที่ฉลาดอีกคนหนึ่ง แต่พอเจอกับกู้เจียวทีไร ก็ทำเอานางหมดความอดทนทุกที “หัดตักน้ำใส่กะโหลกแล้วชะโงกดูเงาเสียบ้างนะ! อย่ามัวแต่ฝันหวานอยู่เลย! ท่านย่าน่ะลืมเจ้าไปตั้งนานแล้ว!”
กู้เจียวพอได้ยินดังนั้นก็เริ่มชะงัก
พลางนึกในใจ ที่แท้หญิงชราก็จำตนไม่ได้แล้วนี่เอง…
ประโยคนี้ กู้เจียวเชื่อหมดใจ
กู้เจียวที่กำลังจะเดินออกไปทางนอกวัง ทันใดนั้นกลับเปลี่ยนใจ และหันหลังกลับไปอีกทาง
“เจ้าจะไปไหน” จวงเย่ว์ซีตะโกนถาม
“ข้าก็ไปตำหนักเหรินโซ่วน่ะสิ” กู้เจียวเอ่ยโดยที่ไม่หันกลับมามองคนถามแม้แต่นิด
จวงเย่ว์ซีพอได้ยินดังนั้นก็กระทืบเท้าอย่างโมโห “นี่เจ้า!”
พอกู้เจียวเดินตามจวงไทเฮาได้ทัน เหล่านางข้าหลวงรีบสังเกตสีหน้าของไทเฮา แต่ดูเหมือนไทเฮาไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
พอมาถึงตำหนักเหรินโซ่ว จวงไทเฮาก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
กู้เจียวเองก็ตามเข้าไปเช่นกัน
ฉินกงกงพอเห็นดังนั้นก็เริ่มกัดฟันกรอดๆ พลางนึก แม่หนูนี่เหตุใดถึงยังไม่ไปไหนสักทีนะ
“เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่ตามข้ามา” จวงไทเฮาหันมาถามกู้เจียวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนตอบ “ข้าอยากอยู่กับท่าน”
จวงไทเฮา “…”
ตามจริงนางควรจะโกรธด้วยซ้ำ แต่ไฉน กลับถึงรู้สึก…ดีใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
จวงไทเฮาเริ่มสงสัยว่าตัวเองคงมิได้โดนแม่นางคนนี้วางยาพิษเข้าแล้วกระมัง หรือว่า ที่ผ่านมา แม่หนูคนนี้จะให้นางกินยาหลอนประสาทมาโดยตลอดกันนะ
จวงไทเฮาทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องบรรทม
แน่นอนว่ากู้เจียวก็เดินตามเข้าไปด้วย พอเข้าไปด้านใน กู้เจียวก็เริ่มสำรวจมองรอบๆ ห้องโปร่งโล่งกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสีทองอร่าม ก่อนจะทำหน้าสงสัย “ท่านย่า ท่านอยู่ที่นี่รึ จะเหงาไหมนั่น”
ดูเผินๆ อาจดูหรูหราโอ่อ่า แต่ทุกมุมของห้องนี้ทั้งว่างเปล่าและให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกชอบกล
จวงไทเฮาได้ยินดังนั้นก็สะดุ้ง
นั่นสินะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครถามเจ้าตัวมาก่อนเลยว่าเหงาหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นบิดาผู้ที่เป็นคนส่งตนเข้าวัง พระสวามีที่ขังตนไว้ในส่วนลึกสุดของวัง หรือแม้แต่คนในตระกูลที่หวังเอาแต่ให้ตนได้ขึ้นไปอยู่ในยศตำแหน่งสูงๆ ไม่เคยมีใครถามเลยสักคำว่าจะเหงาไหม
ขณะที่กำลังนึกสงสัยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีมือซีดเผือดยื่นเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับผลไม้อบแห้งในมือ
ผลไม้อบแห้งแบบนี้ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือชาวบ้าน มิใช่ผลไม้อบแห้งที่ทำขึ้นในวังแต่อย่างใด
“บังอาจนัก! เจ้าให้ไทเฮากินของสกปรกๆ แบบนี้ได้อย่างไร!” จวงเย่ว์ซีเดินเข้ามาพร้อมกับถาดผลไม้ที่ถูกปอกอย่างดี ดูประณีตและมีราคากว่าผลไม้อบแห้งในมือกู้เจียวมากโข
จวงไทเฮาเหลือบมองผลไม้อบแห้งในมือ พลางกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ก่อนจะตอบกลับ “ข้าไม่กิน!”
“อ๋อ” กู้เจียวร้องอ๋อ ก่อนจะเอาผลไม้อบแห้งเข้าปากตัวเอง
ส่วนจวงไทเฮาก็ก้มหน้าก้มตากินผลไม้ที่จวงเย่ว์ซีนำมาให้
จากนั้น กู้เจียวจึงเข้าไปในครัวหลวง และลงมือทำไข่หวานให้จวงไทเฮาหนึ่งถ้วย
จวงเย่ว์ซีมองไข่หวานในถ้วยด้วยสายตารังเกียจ “เจ้าจะให้ไทเฮาเสวยของแบบนี้เนี่ยนะ”
ในวังเองก็มีอาหารที่ทำจากไข่ เช่น ไข่ตุ๋นกุ้ง ไข่ตุ๋นหูฉลาม ไข่นึ่งเป่าฮื้อ ไข่ตุ๋นเก๋ากี้ และอาหารชั้นสูงอื่นๆ อีกมากมาย…ไม่มีใครกินอาหารชั้นต่ำอย่างไข่หวานแบบนี้หรอก
กู้เจียวไม่สนใจคำพูดของเย่ว์ซี ถือถ้วยไข่หวานแล้วเดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะเสวยอาหารของจวงไทเฮา “ข้าใส่น้ำตาลเพิ่มให้อีกครึ่งช้อนด้วยนะ!”
ให้กินหวานขนาดนั้นเลยรึ!
ในใจจวงไทเฮาเอาแต่ปฏิเสธ พลางคิด ตนเป็นถึงระดับไทเฮาเชียวนะ ให้กินของพรรค์นี้ได้อย่างไร
จวงไทเฮาเบือนหน้าหนี เพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าตนกำลังน้ำลายสออยู่…
ได้เวลาพักกลางวันของจวงไทเฮาแล้ว นางข้าหลวงจึงเชิญจวงเย่ว์ซีและกู้เจียวไปยังอีกห้องหนึ่ง
แม้กู้เจียวจะเป็นคนหน้าใหม่สำหรับเหล่านางข้าหลวง แต่ในเมื่อไทเฮาไม่ได้เอ่ยอะไร พวกเขาจึงไม่กล้ายุ่งวุ่นวายกับกู้เจียวมากนัก
“พวกเจ้าเองก็ออกไปด้วย ข้าไม่ชอบให้ใครมาอยู่ข้างๆ เวลาข้าพักผ่อน”
“เพคะ”
นางข้าหลวงคนสนิทสองคนจึงขานรับแล้วเดินออกไป
จวงไทเฮาอยู่ในห้องบรรทมอันโอ่โถงนี้คนเดียว ก่อนจะเอนตัวลงนอนบนแท่นบรรทมอันหรูหราพร้อมกับหันหลังให้โต๊ะเสวยอาหาร
สักพักก็มีสายลมพัดโชยเข้ามา
พัดเอากลิ่นหอมจากถ้วยไข่หวานส่งกลิ่นและอบอวลไปทั่วห้องบรรทม
ทำเอาจวงไทเฮาเป็นอันหลับไม่ลง
จนในที่สุด จวงไทเฮาจึงยอมลุกขึ้นมา นั่งหน้าโต๊ะ ยกถ้วยไข่หวานขึ้นแล้วซดอย่างเอร็ดอร่อย!
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ มีเงาในชุดสีเขียวห้อยตัวโผล่ออกมาจากทางหน้าต่าง พร้อมกับเสียงเรียกอันเจื้อยแจ้ว “ท่านย่า!”
จวงไทเฮาถึงกับสำลักจนไข่เกือบติดคอ!
แอบกินของจนถูกจับได้ จะมีใครที่ไหนอีกเล่า
กู้เจียวที่ห้อยตัวลงจนเลือดไหลไปกองรวมกันที่หน้าจนพวงแก้มเป็นสีแดงสดฉ่ำ ดูๆ แล้วก็น่ารักใช่เล่น
จวงไทเฮามองแล้วมองอีก
กู้เจียวไม่รอช้า เอามือคว้าขอบหน้าต่างแล้วเหวี่ยงร่างตัวเองเข้ามาในห้อง
จวงไทเฮาตีหน้าขรึม “ข้าแค่กลัวเสียของน่ะ”
กู้เจียวพยักหน้ารัวๆ “ใช่ๆ กว่าจะได้ไข่หวานถ้วยนี้มาไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ”
พอไทเฮากินเสร็จ เอาผ้าเช็ดปาก แล้วเอ่ย “รสชาติไม่ได้เรื่อง”
กู้เจียวมองดูถ้วยที่กินจนสะอาดเกลี้ยง “…”
“ท่านย่าจำเรื่องที่ตรอกปี้สุ่ยไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ” กู้เจียวเอ่ยถาม
จวงไทเฮาอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตีสีหน้ากลับเป็นปกติตามเดิม “เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าจำไม่ได้ทั้งนั้น!”
“อ๋อ”
กู้เจียวร้องอ๋อเสร็จ ก็เดินเข้ามาใกล้ๆ ยายเฒ่า ก่อนจะคุกเข่าหนึ่งข้างลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ท่านย่า ให้ข้าพาออกจากที่นี่ไหม”
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงนิ่ง “เจ้าคิดจะทำอะไร”
กู้เจียว “ก็อยู่ที่นี่ท่านย่าดูไม่มีความสุขเลย”