สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 316-2 รุมรักเจียวเจียว (2)
บทที่ 316 รุมรักเจียวเจียว (2)
แม่นาง เจ้าก็ช่างไร้เดียงสานัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าทั้งสองคนคือใคร คนหนึ่งเป็นถึงกษัตริย์แห่งแคว้นเจา อีกคนเป็นเจ้าไร้มงกุฎมีอำนาจล้นราชสำนัก ทั้งสองคนจะมาเป่ายิงฉุบให้เจ้ารึ
เฮอะๆ !
ครู่ต่อมาทุกคนต่างถูกตบหน้ากันฉาดใหญ่
เพราะผู้เป็นใหญ่สูงสุดแห่งแคว้นเจาสองคนถลกแขนเสื้อขึ้นเป่ายิงฉุบกันในสวนหลวงขึ้นมาจริงๆ
ผลลัพธ์ไม่ต้องพูดถึง
จวงไทเฮาชนะขาดลอย
ฮ่องเต้กัดฟัน “สะ สะ สามตา ชนะสองในสามตา!”
ฮ่องเต้กัดฟันตรัสอีกหน “หะ หะ ห้าตา ชนะสามในห้า!”
จวงไทเฮาใช้สายตาห่วงใยต่อผู้พิการทางสมองมองพระองค์ “ข้าชนะเจ้าติดต่อกันมาสามตาแล้วนะ”
ฮ่องเต้ที่โดนธนูนับหมื่นดอกปักดวงใจ “…”
เทพพนันอันดับหนึ่งแห่งตรอกปี้สุ่ยไม่ได้มาเล่นๆ เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ อย่างการเป่ายิงฉุบน่ะจวงไทเฮาไม่เคยแพ้เลยสักครา
“เหอะ!” จวงไทเฮาพากู้เจียวกลับตำหนักเหรินโซ่วอย่างองอาจ
มุมปากฮ่องเต้กระตุกยิกๆ อย่างแรง
“แค่ก!” หนิงอ๋องกระแอมในลำคอ ก่อนเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ แม่นางกู้นั่นเป็น…”
“เป็นแขกของเรา” ฮ่องเต้ถอนหายใจบอก ในพระทัยยังคงเสียดายที่แพ้ให้แก่จวงไทเฮาไม่หาย “นางเคยรักษาอาการป่วยให้เรา การลอบสังหารครานี้โชคดีที่ได้นางยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ แล้วก็…”
ฮ่องเต้หยุดเว้นก่อนเอ่ยขึ้น “ปูนและเครื่องสูบลมก็เป็นฝีมือของนาง”
ใบหน้าหล่อเหลาของหนิงอ๋องตกใจ “หา…นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนาง แบบนี้ก็หมายความว่านางเป็นคุณหนูของจวนติ้งอันโหวน่ะสิ”
เรื่องบางเรื่องชาวบ้านไม่รู้ แต่ในวังกลับลือกันให้ทั่ว แม้ว่าหนิงอ๋องจะตั้งคฤหาสน์อยู่นอกวังนานแล้ว แต่เขามักจะเข้าออกวังบ่อยๆ และใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องที่กู้จิ่นอวี๋ทึกทักเอาคุณูปการของคุณหนูกู้ไป
หนิงอ๋องสีหน้ากระจ่างแจ้งทันใด “ลูกเคยเห็นนางในที่เกิดเหตุ นางช่วยชีวิตผู้ประสบเหตุ ซ้ำยังเกือบโดนระเบิดไปด้วยเพราะช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บคนหนึ่ง กู้ตูเว่ยพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ มิน่าเล่านางกับกู้ตูเว่ยจึงมีท่าทีสนิทสนมกัน ที่แท้ก็เป็นพี่น้องกันนี่เอง ลูกได้ยินว่านางโตมาในหมู่ชาวบ้านทั่วไป คิดไม่ถึงว่านางจะมีความสามารถเช่นนี้”
ฮ่องเต้ตรัส “เราก็เคยถามนางว่าอาจารย์อยู่ที่ใด อยากจะเชิญอาจารย์นางออกจากเขา จนใจที่อาจารย์ของนางไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว”
หนิงอ๋องถอนหายใจอย่างเสียดาย
“จริงสิ เรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ถาม
หนิงอ๋องรู้ดีว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ถามคือเรื่องที่รุ่ยอ๋องเฟยโดนลอบสังหาร ที่เขาเข้าวังมาวันนี้ก็เพราะจะทูลผลให้เสด็จพ่อทราบ เขาเอ่ยขึ้น “ลูกตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่เชลยแคว้นเฉินพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เขารึ” ฮ่องเต้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หนิงอ๋องพยักหน้า “เชลยแคว้นเฉินเพิ่งจะเสียแม่ทัพใหญ่ไป ไม่กล้าทำอะไรในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้หรอก หลายวันมานี้เขากับลูกน้องอยู่ในตำหนักอย่างสงบเสงี่ยมดี”
ฮ่องเต้แววตาเป็นประกายเย็นเยียบ “ไม่ใช่เชลยแคว้นเฉินแล้วก็คงเหลือทางเป็นไปได้เดียวแล้วล่ะ”
หนิงอ๋องมองพระองค์ “เสด็จพ่อสงสัยว่า…”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น “ยังต้องสงสัยอีกรึ เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นนาง! เรารู้ว่านางเป็นเสด็จย่าของเจ้า และเป็นป้าของเจ้าด้วย ใจเจ้าเอนเอียงไปหานางเท่าใด แต่เรื่องนี้นอกจากนางแล้วยังจะมีใครทำได้อีก!”
หนิงอ๋องอยู่ตรงกลางระหว่างฮ่องเต้กับจวงไทเฮา อันที่จริงก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อย ในวังมีองค์ชายมากมาย มีแค่เขาที่มีสถานะกระอักกระอ่วน “รุ่ยอ๋องกับลูกมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซ้ำยังได้รับความรักจากเสด็จย่าอยู่ไม่น้อย”
รุ่ยอ๋องเป็นพวกของหนิงอ๋อง จวงไทเฮาไม่มีเหตุผลใดที่จะลงมือทำร้ายพวกเขาเลยสักนิด
ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น “เจ้าลืมแล้วรึว่าเจ้าสามกับชายาสนิทกับจิ้งไท่เฟยเพียงใด นางอิจฉาจิ้งไท่เฟยน่ะสิ! เห็นใครดีกับจิ้งไท่เฟยไม่ได้!”
หนิงอ๋องกลับส่ายหน้า “เสด็จย่าไม่มีทางทำเช่นนี้แน่”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบ “เจ้าลืมเรื่องเมื่อตอนนั้นที่นางวางยาทำร้ายอาเหิงแล้วรึ หากนางกำนัลไม่เห็นทัน อาเหิงคงตายไปแล้ว”
ฮ่องเต้ไม่เคยพูดถึงจวงไทเฮาต่อหน้าไท่จื่อเลย ตรงกันข้ามต่อหน้าหนิงอ๋องกลับว่าให้ไม่น้อย
เหตุใดหนิงอ๋องจะไม่รู้ นี่คือการให้ความสำคัญและเป็นการหยั่งเชิงด้วย
ฮ่องเต้กำลังหยั่งเชิงความรู้สึกของเขา และกำลังหยั่งเชิงความกตัญญูและความจงรักภักดีของเขาด้วย
หนิงอ๋องเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่ใช่เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ ลูกยืนยันได้”
ฮ่องเต้ไม่พอใจขึ้นมา “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หนิงอ๋องประสานมือ “เพราะตอนที่ชายาน้องสามโดนลอบสังหาร คุณหนูจวนติ้งอันโหวก็อยู่ด้วย นางเกือบจะตายใต้ธนูของมือสังหาร เสด็จย่ารักนางเพียงนี้ไม่มีทางให้คนไปทำร้ายนางแน่นอน”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมองหนิงอ๋อง “เหตุใดเมื่อวานเจ้าไม่พูด”
หนิงอ๋องเอ่ยอย่างละอาย “ลูกไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสด็จย่าและเสด็จพ่อ คิดว่านางเป็นเพียงหมอหญิงธรรมดา ไม่สำคัญพอให้เอ่ยถึง”
อคติที่ฮ่องเต้มีต่อจวงไทเฮาต่อให้มีมากกว่านี้ก็จำต้องยอมรับว่าจวงไทเฮารักเอ็นดูหมอเทวดาน้อยอย่างจริงใจ
นางไม่มีทางเลือกลงมือลอบสังหารตอนที่หมอเทวดาน้อยอยู่ด้วยแน่นอน
ทว่าไม่ใช่เชลยแคว้นเฉินและไม่ใช่จวงไทเฮา แล้วจะเป็นใครเล่า
ใครจะเป็นปรปักษ์ต่อรุ่ยอ๋องเฟย
นึกมาถึงตรงนี้หนิงอ๋องก็เอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ ในเมื่อหมอเทวดาน้อยมีสถานะพิเศษเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่มือสังหารเมื่อวานจะไม่ได้ลงมือกับชายาน้องสามแต่เป็นนาง”
มุ่งเป้าไปยังหมอเทวดาน้อยอย่างนั้นรึ
สีหน้าฮ่องเต้พลันเย็นชาขึ้นมา เย็นชาเสียจนน่ากลัว น่ากลัวกว่าตอนที่หนิงอ๋องพูดว่าลอบสังหารรุ่ยอ๋องเฟยอีก
หนิงอ๋องแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าคุณหนูจวนติ้งอันโหวจะสำคัญต่อเสด็จพ่อเพียงนี้ เทียบกับลูกสะใภ้และหลานตัวเองที่ยังไม่เกิดแล้วยังสำคัญกว่าอีกหรือ
กู้เจียวกินมื้อเที่ยงที่ตำหนักเหรินโซ่วก่อนจะออกมา
ก่อนจะกลับกู้เจียวก็ถามจวงไทเฮา “ท่านย่า เคยได้ยินชื่อหอเซียนเล่อมาก่อนหรือไม่”
จวงไทเฮาขมวดคิ้วครุ่นคิด “นึกไม่ออก”
ความทรงจำของจวงไทเฮาฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็แค่ส่วนใหญ่เท่านั้น ยังมีความทรงจำอีกส่วนที่ยังขาดหายไป
ด้วยเหตุนี้จวงไทเฮาจึงไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้ว่าตัวเองไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าลืมไปหลังจากเคยได้ยิน
“เจียวเจียวอยากสืบเรื่องนี้หรือ” จวงไทเฮาถาม
กู้เจียวเอ่ยขึ้น “เปล่าเจ้าค่ะ แค่ถามดู ท่านย่าไม่ต้องไปสืบหรอกนะ” จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น
หอเซียนเล่อรู้เรื่องที่คนแคว้นเฉินลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ได้ ก็หมายความว่าหยวนถังไปมาหาสู่กันกับหอเซียนเล่อ หยวนถังรู้ว่าฮ่องเต้ไปไหนมาไหนเหมือนอยู่บนฝ่ามือ เขาก็ต้องมีหูมีตาในวังหลวงแน่
ทว่าหยวนถังเป็นคนจัดวางหูตาเองหรือผ่านหอเซียนเล่อให้จัดการให้ก็ไม่อาจทราบได้
รอข่าวผ่านไปก่อน นางจะไปหอเซียนเล่ออีกที
กู้เจียวกลับไปที่โรงหมอ
หลิ่วอีเซิงก็อยู่
“เขารออยู่นานแล้ว” เสี่ยวซานจื่อเอ่ยเสียงเบา “มารอท่านโดยเฉพาะเลย”
“ทราบแล้ว” กู้เจียวพยักหน้า เรียกหลิ่วอี้เซิงเข้าไปในห้องตรวจ
หลิ่วอี้เซิงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้มาหาหมอ ข้าจะมาบอกเจ้าว่าเรื่องลอบสังหารเมื่อวานนี้ไม่เกี่ยวกับหยวนถัง”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
หลิ่วอี้เซิงชะงัก “เจ้า…ไม่ถามว่าข้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่เกี่ยวกับเขารึ มีหลักฐานแล้ววรึ หลักฐานชัดเจนหรือไม่”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา “เจ้าบอกเองว่าไม่เกี่ยวกับเขา ข้าเชื่อเจ้า”
แค่นี้เอง ไม่ต้องมีลักฐานและไม่ต้องอธิบายเหตุผลอื่นด้วย
หลิ่วอีเซิงพลันสะอึก
ข้าเชื่อเจ้า
ตั้งแต่ตระกูลหลิ่วล่มสลาย เขาก็ไม่เคยได้ยินประโยคนี้อีกเลย
“เพราะเหตุใด”
เพราะเหตุใดจึงเชื่อเขา เพราะเหตุใดจึงไม่เคยสงสัยเขาเลย
กู้เจียวไม่ได้บอก
เขาลุกขึ้นจากไป ตัวคนเดินออกไปแล้วแต่ก็ชะงักฝีเท้า “เจ้า ระวังตัวด้วย”
กู้เจียวมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของเขา นึกถึงฝันที่กลับไปที่จวนโหว
เพราะเหตุใดจึงเชื่อเจ้าน่ะรึ…
เพราะข้าให้น้ำเจ้าแค่ชามเดียว เจ้ากลับเก็บศพและฝังกระดูก ทดแทนคุณข้าไม่จบไม่สิ้นน่ะสิ