สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 32 โอบกอด
กู้เจียวในชาติก่อนไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับใคร แม้แต่เพื่อนร่วมหอพักผู้หญิงก็ไม่เคยเหมือนกัน เดิมทีคิดว่าจะนอนไม่หลับ แต่เพียงไม่นานก็หลับไปพร้อมกับบรรยากาศอันแสนสงบ
นางหลับไปแล้ว แต่เซียวลิ่วหลังกลับยังหลับไม่ลง
เขามองกู้เจียวที่นอนอยู่ข้างกายตนเอง ละอองหิมะจากนอกหน้าต่างปลิวเข้ามาตกลงบนใบหน้าของนาง นางนอนตะแคงอยู่ ใบหน้าฝั่งที่มีปานแดงถูกกดทับอยู่ด้านล่าง
นางคงจะขี้หนาวจริงๆ ใบหน้าดวงน้อยแข็งจนแดงไม่หมด ขนตางอนยาว เครื่องหน้าชัดเจน หากไม่มีปานนั้น ก็นับว่าเป็นสาวน้อยรูปงามคนหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวใจของเซียวลิ่วหลังถึงได้รู้สึกผิดเข้ามา
แต่เพียงไม่นาน เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะสะบัดความรู้สึกนั้นออกจากใจ
เซียวลิ่วหลังหลับสนิทมาก ตลอดทั้งคืนแทบจะไม่สะดุ้งตื่นเลย
กู้เจียวเองก็ไม่ได้เรียบร้อยสักเท่าไหร่ นอกจากจะขยับเข้ามาใกล้เซียวลิ่วหลังเรื่อยๆ แล้ว แขนขาก็กอดเซียวลิ่วหลังไว้ แถมศีรษะก็ยังอยู่บนไหล่ของเซียวลิ่วหลังอีก นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรจริงๆ
กู้เจียวหลับสนิทจนถึงเช้า พอตื่นขึ้นมาเซียวลิ่วหลังก็ตื่นก่อนแล้ว กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง
แสงอาทิตย์สองผ่านม่านกระดาษ สะท้อนใบหน้างดงามดุจหยกนั้น ไม่รู้ว่ากู้เจียวเห็นภาพ
ลวงตาไปเองหรือเปล่า เหมือนจะเห็นว่าเขาหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เซียวลิ่วหลังหันมาทักทายกู้เจียว ทว่าสายตากลับไม่ได้มองกู้เจียวที่อยู่บนเตียง
“อืม ตื่นแล้ว อรุณสวัสดิ์” กู้เจียวขยี้ตา ก่อนจะหาวหวอด นางเพิ่งตื่นยังคงสะลึมสะลืออยู่
ไม่รู้ตัวว่าพูดเสียงหงุงหงิง
ยามเช้าตรู่เช่นนี้ ชายทั่วไปที่ไหนจะทนไหว
เซียวลิ่วหลังรู้สึกแน่นอกไปหมด ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมา “ข้าจะไปซื้ออาหารเช้า!”
พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไป ทิ้งกู้เจียวให้นั่งเกาหัวอย่างงุนงง
หิมะหยุดตกตั้งแต่กลางดึกแล้ว วันนี้ท้องฟ้าจึงแจ่มใสเป็นพิเศษ
เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของสำนักบัณฑิต หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ทั้งสองก็เช่าเกวียนเทียมวัวคันหนึ่งกลับหมู่บ้าน
เมื่อเคลื่อนผ่านปากทางหมู่บ้าน ก็ได้ยินชาวบ้านถกเถียงกันอยู่ริมบ่อน้ำ เมื่อคืนจู่ๆ ก็หิมะตก กลางดึกนั้นชาวบ้านที่เดินทางกลับต่างลื่นไถลบาดเจ็บ หมู่บ้านข้างกันยังมีเกวียนคว่ำลงคลองอีก ได้ยินว่าแต่ละคนต่างเจ็บปางตาย
เซียวลิ่วหลังนึกถึงเรื่องที่ตนจะเช่ารถกลับหมู่บ้าน หากไม่ใช่เพราะนางเสนอให้ค้างโรงเตี๊ยม
สักคืน พวกเขาคงประสบอุบัติเหตุเหมือนกัน
เซียวลิ่วหลังนิ่งชะงักพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
อันที่จริง…นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาแคล้วคลาดเพราะนาง
ทั้งสองกลับมาถึงบ้าน
หญิงชราก็ตื่นนอนแล้ว นั่งหน้าปั้นปึ่งอยู่ที่โถงใหญ่
เมื่อวานกู้เจียวนึกว่าจะเสร็จภารกิจเร็ว นางและเซียวลิ่วหลังคงกลับมาถึงก่อนหิมะตก เพราะอย่างนั้นถึงเหลืออาหารไว้ในหม้อเพียงหนึ่งมื้อ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเหล่าอาจารย์ในสำนักบัณฑิตจะเรื่องมากขนาดนั้น ถามซักไซ้เซียวลิ่วหลังจนถึงยามหิมะตก
เพื่อหลบเลี่ยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝัน นางจึงต้องรั้งเซียวลิ่วหลังให้ค้างแรมที่ในตัวอำเภอ
หญิงชราก่อไฟไม่เป็น เมื่อคืนวานจึงต้องกินหมั่นโถวเย็นชืด จนเช้าวันนี้ก็ยังต้องกินหมั่นโถวเย็นๆ นั่นอีก ฟันแทบจะหักอยู่แล้ว!
กู้เจียวเองก็หงุดหงิดไม่น้อย ท่านบอกว่าตัวท่านเองเป็นหญิงชรายากจนคนหนึ่ง เหตุใดถึงก่อไฟไม่เป็น ท่านเป็นเหล่าฮูหยินของบ้านไม่ใช่หรือ หรือว่าจะเป็นไทเฮาอยู่ในวังกันแน่
กู้เจียวหยิบผลไม้แช่อิ่มและขนมดอกกุ้ยฮวากล่องหนึ่งออกมา “วันนี้ให้ท่านกินเพิ่มอีกสองผล”
หญิงชรา “ไม่ได้! ต้องห้าผล!”
กู้เจียว “สามผล”
หญิงชรา “ตามนั้น!”
หญิงชรากอดผลไม้เชื่อมและขนมดอกกุ้ยฮวาไว้แน่น สะบัดหันหลังใจ ก่อนจะเริ่มสวาปาม
ข่าวเรื่องที่กู้ต้าซุ่นพร้อมกับแม่นางโจวและแม่นางหลิวโดนจับแพร่ไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แม้แต่หมู่บ้านข้างกันก็มายังดูความคึกคัก พวกเขายังไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย จึงพากันวิ่งโร่ไปสืบข่าวที่บ้านตระกูลกู้
ยามเที่ยงตรง ตำรวจสองคนก็มาหาถึงบ้าน พวกเขามาตามตัวกู้เจียว
เดิมทีหลังจากที่แม่นางโจวและแม่นางหลิวถูกจับตัวไปยังศาลาว่าการ ภายใต้การสอบสวนอันเข้มงวดทั้งสองจึงบอกที่มาไปที่ไปตามตรงว่า เป็นของที่หล่นมาจากตัวของคนที่ทะเลาะกับคนบ้า ตอนนั้นความโลภเข้าครองงำพวกนาง จึงได้แอบนำเงินกลับมาที่หมู้บ้านก่อนที่คนบ้าจะกลับมา
“อ๋อ เช่นนี้นี่เอง ข้าถึงว่าตอนกลับมาเหตุใดถึงไม่เจอท่านป้าทั้งสองแล้ว” กู้เจียวเอ่ยขึ้น
อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง ตำรวจหันไปมองนาง “เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ทะเลาะกัน”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเย็นชา “เขาชนข้า! กลั่นแกล้งข้า! แถมยังด่าข้า!”
ถูกคนชน ถูกคนด่า ก็เลยถือเคียววิ่งไล่ฟันคนผู้นั้นไปตามถนน แม่นางคนนี้คือวีรสตรีนี่นา
หากเป็นคนอื่นทำเช่นนี้ เหล่าตำรวจคงรู้สึกว่าน่าสงสัย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้รู้จากปาก
แม่นางโจวและแม่นางหลิวว่ากู้เจียวเป็นบ้า คนบ้าทำอะไรจะใช้เหตุผลมาตัดสินไม่ได้
เพราะอย่างนั้นเรื่องจึงจบลงเพียงเท่านี้ ไม่มีผู้ใดสงสัยว่ากู้เจียวจะคิดวางกับดัก หรือตั้งใจไล่หัวขโมยไปเพื่อให้แม่นางโจวและแม่นางหลิวเกิดความโลภแล้วเก็บเงินไป แม้แต่แม่นางโจวและแม่นางหลิวเองก็ยังไม่คิดว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝัน
“คนผู้นั้นอาจจะเป็นหัวขโมย แล้วสุดท้ายเขาเป็นอย่างไร” ตำรวจเอ่ยถาม
“เขาหนีไปแล้ว” กู้เจียวทำท่าโบกมือสะบัด
“ท่านจำหน้าค่าตาเขาได้หรือไม่” ตำรวจถามอีกครั้ง
“เขาหน้าตา…อืม…” กู้เจียวนึกย้อนไปพลาง วางแผนไปพลาง ตำรวจอีกคนหนึ่งเป็น
ช่างวาดภาพของศาลาว่าการ เขาวาดภาพเหมือนของหัวขโมย “แบบนี้ใช่หรือไม่”
“แบบนี้หรือเปล่านะ…” กู้เจียวขมวดคิ้ว
ตอนนั้นเซียวลิ่วหลังเดินถือภาพวาดหนึ่งออกมา
กู้เจียวตาเป็นประกายในทันใด “ใช่! คนนี้แหละ!”
ตำรวจและช่างวาดสบตากันอย่างลังเล ช่างวาดของศาลาว่าการยังสู้บัณฑิตไม่ได้เชียวหรือ
นี่มันทุบหม้อข้าวหม้อแกงกันชัดๆ
หลังจากได้ภาพเหมือนมา ไม่นานศาลาว่าการก็ไขคดีได้
ทว่าแม่นางโจวและแม่นางหลิวกลับไม่ถูกปล่อยตัวออกมาจากศาลาว่าการในทันที เพราะตอนที่ตำรวจจากศาลาว่าการถามพวกนางว่าเอาเงินพวกนั้นมาจากไหน พวกนางกัดฟันสาบานว่าตัวเองได้มาจากขายของป่า
เงินจำนวนมากบวกกับให้การเท็จ จึงต้องข้อหายักยอกทรัพย์ แต่ละคนถูกปรับเป็นเงินคนละยี่สิบ และถูกโบยอีกสามสิบครั้ง
ส่วนกู้ต้าซุ่นนั้น เพราะแม่บังเกิดเกล้าและท่านป้ารองทำเรื่องอดสู ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง เขาจึงตกเป็นเป้านินทา