สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 321 ยามสอง
บทที่ 321 ยามสอง
ขันทีรีบทำตามคำสั่งของฉินกงกง พาตัวหัวหน้าข้าหลวงจางมายังตำหนักเหรินโซ่ว
เซียวลิ่วหลังยืนรอนางที่ด้านหน้าตำหนัก
นางข้าหลวงจางหรือหัวหน้าจางเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานในวังหลังมานาน ที่จริงในวังมีกฎอยู่ว่าหากนางข้าหลวงทำงานครบยี่สิบห้าปีแล้วสามารถออกนอกวังได้ หากไม่ต้องการ ก็สามารถอยู่ทำงานต่อได้
หัวหน้าจางเลือกที่จะทำงานในวังต่อ
จากนางข้าหลวงมาเป็นแม่นม จนได้มาเป็นหัวหน้าข้าหลวง เรียกได้ว่าทั้งชีวิตของนางถวายให้แก่วัง
ขันทีไม่ได้ระบุรายละเอียดที่ชัดเจน หัวหน้าจางจึงคิดว่าไทเฮาเรียกตัวนางเข้าเฝ้า เมื่อหัวหน้าจางมาถึงที่หน้าตำหนัก และได้เจอกับเซียวลิ่วหลัง ก็ถึงกับผงะถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ!
เซียวลิ่วหลังรู้ตัวอยู่แล้วว่าใบหน้าของมักสร้างความตกใจให้ใครต่อมิใครๆ อีกทั้งหัวหน้าจางเองก็อายุมากแล้ว จึงไม่แปลกที่จะแสดงปฏิกิริยาเช่นนั้น
เซียวลิ่วหลังไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเอง “ข้ามีนามว่าลิ่วหลัง มาจากตระกูลเซียว ดำรงตำแหน่งเป็นซิวจ้วนของสำนักฮั่นหลิน”
“เซียว ลิ่วหลัง ไม่ใช่เซียว…” ขณะที่หัวหน้าจางกำลังจะเอ่ยชื่อ แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะเอ่ยชื่อของเจาตูเสี่ยวโหวเหย่โดยพละการ
หัวหน้าจางพยายามคุมสติ ก่อนจะปาดเหงื่อ พลางเอ่ย “ขออภัยที่ข้าน้อยจำผิดคนเจ้าค่ะ”
เซียวลิ่วหลังไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าของที่จี้จิ่วอาวุโสฝากไว้ให้เขาออกมา มันคือแท่นฝนหมึกที่รูปร่างไม่สมบูรณ์
พอหัวหน้าจางได้เห็นแท่นฝนหมึกสีหน้าก็พลันเปลี่ยนทันควัน “ท่าน…” นางนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านฮั่วจี้จิ่วให้ท่านมาหาข้าหรือ”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า ก่อนจะยื่นของให้นาง
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะคิดถึงข้าน้อย เขาเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ข้าน้อยได้ยินมาว่าเขากลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง และกลับไปดำรงตำแหน่งที่กั๋วจื่อเจียนอีกครั้ง…”
“ท่านจี้จิ่วสบายดี โปรดท่านอย่าได้กังวลไป” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ
หัวหน้าจางยิ้มเจื่อนๆ ให้ ก่อนโต้กลับ “อย่างข้าน้อยหรือจะต้องกังวลสิ่งใด ต่อให้เขาผู้นั้นต้องถูกเนรเทศและจองจำในที่อันหนาวเหน็บแค่ไหนก็ไม่สะทกสะท้านหรอก เขาต้องดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว…”
กะแล้วเชียวว่าสองคนนี้จะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ เพียงแต่ เซียวลิ่วหลังก็ไม่กล้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
หัวหน้าจางก้มลงมองที่จานฝนหมึกด้วยสายตาทั้งขำทั้งเคือง “หลายปีมาแล้วสินะ เขายังคงเก็บของพรรค์นี้ไว้อีก ข้าน้อยคิดว่าเขาโยนมันทิ้งไปนานแล้ว ท้ายที่สุด มันไม่ใช่ของมีค่าจะเก็บไปทำไม ในเมื่อเขาส่งท่านมาหาข้าแบบนี้แสดงว่าเขาต้องไว้ใจท่านมาก โปรดบอกข้าน้อยทีว่ามีเรื่องอันใดถึงต้องมาหาข้าน้อยอย่างนั้นรึ”
เซียวหลิวหลางถอนหายใจอย่างไม่รู้จบกับอารมณ์อันแปรปรวนของหัวหน้าจาง เขาเองก็ปลอบใจใครไม่เป็นเสียด้วย
หัวหน้าจางพอเห็นปฏิกิริยาของเซียวลิ่วหลังก็เริ่มเปลี่ยนท่าที พลางยิ้มให้ “ต้องขออภัยท่านด้วย ท่านว่ามาเถิดว่ามีเรื่องอันใด”
เซียวลิ่วหลังพูดออกไปไม่อ้อมค้อม “ข้าอยากสืบเรื่องของใครคนหนึ่ง”
“ใครรึท่าน”
“คนที่มีไฝที่ข้อมือซ้าย อยู่ในวังมากว่าสิบปีแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเป็นนางในวังหรือนางสนมในวัง” เขามั่นใจว่าไม่ใช่เซียวฮองเฮาแน่นอน พระองค์เป็นอาของเขาเองและนางจะไม่ทำร้ายเขา นอกจากนี้ เซียวฮองเฮามักจะกอดเขา เขารู้ว่าข้อมือของนางเป็นอย่างไร
“ข้าน้อยจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก…แต่ข้าน้อยสามารถช่วยตามหาได้ ตราบใดที่คนนั้นยังไม่ถูกปล่อยออกจากวังตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าน้อยสามารถช่วยท่านตามหาคนๆ นั้นได้ เพียงแต่… ”
เซียวลิ่วหลังเข้าใจว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีนางในถูกปลดออกจากวังทุกปี และถ้าคนคนนั้นที่ตามหาเป็นหนึ่งในนั้น ก็จะไม่มีเบาะแสอะไรเหลือเลย
แต่ในไม่ช้า เซียวลิ่วหลังก็ส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่ ข้ามั่นใจว่าคนคนนั้นยังอยู่ที่วัง”
การลอบทำร้ายบุตรของเซวียนผิงโหวด้วยยาพิษเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรง หากถูกจับได้ต้องโทษประหารชีวิตสถานเดียว หากเป็นฝีมือของนางสนม แน่นอนว่านางสนมออกจากวังไม่ได้ แต่หากเป็นฝีมือของนางข้าหลวง จะต้องมีผู้บงการแน่นอน
การถูกสั่งให้กระทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าผู้สั่งไม่มีทางปล่อยให้ออกไปลอยนวลอย่างแน่นอน จะต้องเก็บไว้ข้างตัวและคอยรับใช้ไม่ห่างไปไหนอย่างแน่นอน
แต่ตอนนั้น หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่ได้มีข่าวนางข้าหลวงถูกทำโทษแต่อย่างใดเลย
แสดงว่าคนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่
อยู่ในวังแห่งนี้
หัวหน้าจางเอ่ยถาม “สิบปีที่ว่าคือกี่สิบปีก่อนหรือเจ้าคะ”
“สิบสี่ปีก่อน”
“อ่า…” หัวหน้าจางดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง มองเซียวลิ่วหลังอย่างลึกซึ้ง พยักหน้าแล้วเอ่ย “นั่นคือการตามหาคนที่เข้ามาในวังเมื่อสิบสี่ปีที่แล้ว เอาละ ฝากเรื่องนี้ไว้กับข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
หัวหน้าจางพอรับจานฝนหมึกเสร็จก็เดินออกไป
เซียวลิ่วหลังมองตามหัวหน้าจางที่กำลังเดินออกไปจนลับสายตา ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงสัมผัสได้ถึงความว้าเหว่และเดียวดายจากตัวนางกันนะ
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ประตูวังหลวงถูกปิดลง
จิ้งคงเอ่ยลาจวงไทเฮา
“ท่านย่า อย่าแอบกินของหวานๆ นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะฟ้องเจียวเจียว” จิ้งคงเอ่ยทิ้งท้ายกับจวงไทเฮา
“รู้แล้วน่า พูดเยอะจริง ยังไม่รีบไปอีก!” จวงไทเฮามองเจ้าตัวเล็กอย่างหน่ายๆ
จิ้งคงเอามือไพล่หลัง เอียงศีรษะและเลิกคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าคิดถึงข้ามากเกินไปล่ะ”
“ให้ตายข้าก็ไม่คิดถึงเจ้าหรอกน่า!”
เจ้าเด็กน้อยนี่ พูดมากจริงเชียว!
เซียวลิวหลังเดินไปอย่างไม่เร่งรีบ จับมือจิ้งคง และกล่าวลาไทเฮา
ทั้งสองไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรมากนัก นางมองเขาแค่ปราดเดียว ก็จะเบนสายตาไปที่อื่น
เห็นได้ชัดว่านางรังเกียจเขามากแค่ไหน
“อย่าลืมของล่ะ” จวงไทเฮาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“โอ้ เกือบลืมเลย!” จิงคงผละจากมือพี่เขยตัวร้าย วิ่งไปหยิบกล่องผ้าบนโต๊ะแล้ววิ่งไปอีกครั้ง “ไปกันเถอะ!”
เซียวลิวหลังมองไปที่กล่องผ้าในอ้อมแขนของเขา จากนั้นมองไปที่ตัวเขาที่มือเปล่าไร้ซึ่งของฝากติดมือ ตอนนี้ความรู้สึกขอวเขาราวกับมีลูกศรพันดอกปักเข้าที่กลางอกเต็มๆ !
เขาปรายตามองไทเฮาอีกครั้ง
แต่จวงไทเฮาพยายามละสายตาจากเขา
เขามองอีกครั้งที่โต๊ะที่วางกล่องผ้าตอนนี้ และเห็นว่ามีกล่องจำนวนมากอยู่บนโต๊ะ แต่ไม่มีกล่องใดที่เป็นของเขาเลย
เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเดินออกไปด้วยใบหน้าที่มืดมน
จวงไทเฮามองเงาร่างเล็กร่างใหญ่ที่เดินออกไปพลางถอนหายใจ
ระหว่างทางกลับบ้าน จิ้งหลับในอ้อมแขนของเซียวลิ่วหลังจนเผลอปล่อยกล่องผ้าหลุดจากมือ เขาจึงช่วยคว้ากล่องนั้นขึ้นมา
พอเห็นกล่องเจ้าปัญหา เขาก็ชักอยากรู้ว่าจวงไทเฮาให้อะไรกับพวกเขาไว้
อะไรกัน ทำไมพวกนั้นได้ แต่ตัวเขากลับไม่ได้ของ เพราะอะไรกัน
“นี่ข้าคิดอะไรอยู่เนี่ย”
ตัวเขาเริ่มรู้สึกละอายใจในความแง่งอนเป็นเด็กของตัวเอง เขาส่ายหัวและระงับความอยากที่จะสอดแนมกล่องผ้า
แต่เขาลืมไปว่าเขาอายุเพียงสิบแปดปีและเขายังเป็นเด็กอยู่
เขาไม่จำเป็นต้องรีบเป็นผู้ใหญ่ และไม่ต้องใจเย็นขนาดนั้น
พอกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ยก็ดึกมากแล้ว
เวลานี้ ทั้งแม่นางเหยาและกู้เหยี่ยนเริ่มเข้านอนแล้ว แม่นมฝางและอวี้หย่าร์เองก็เช่นกัน ส่วนกู้เจียวกำลังง่วนอยู่กับการประดิษฐ์ดินปืน
อัตราส่วนของผงยาเกือบจะได้แล้ว แต่ผงยาที่มีนั้นไม่เพียงพอที่จะทำเป็นอาวุธที่ทรงพลัง
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ประตู กู้เจียวจึงรีบวางทุกอย่างในมือลง “กลับมาแล้วหรือ”
“อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า
กู้เจียวเดินเข้ามาแบกร่างของจิ้งคงและพาไปวางไว้ที่เตียงนอน
“นี่อะไรรึ” เซียวลิ่วหลังมองดูบางอย่างสีดำๆ หน้าตาประหลาดๆ ที่อยู่บนโต๊ะ
กู้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร อืม… ประทัดดำกระมัง”
เซียวลิ่วหลัง “…”
มีของพรรค์นี้ด้วยรึ
กู้เจียวทำดินปืนสีดำให้มีขนาดเท่ากระสุนปืนและใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ดัดแปลงแล้ว ผงฟอสฟอรัสถูกเติมลงในอุปกรณ์ของกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็ก ฟอสฟอรัสมีจุดติดไฟต่ำ และจะติดไฟเองหลังจากการเสียดสี และความร้อน ผงสีดำในกระบอกไม้ไผ่ถูกจุดระเบิดเป็นระเบิดขนาดเล็ก
พลังของการระเบิดไม่มากเกินไป เอาไว้ใช้ข่มขวัญเป็นสิ่งสำคัญ
เพียงแต่ว่ามีอันตรายแอบแฝงอยู่ นั่นคืออากาศร้อนเกินไป แล้วถ้าเกิดมันติดไฟได้เองล่ะ
ดังนั้น กู้เจียวจึงต้องปรับสูตรอีกครั้ง
“ข้าต้มน้ำแล้ว เจ้าไปล้างตัวสิ จะได้สบายตัว” กู้เจียวเอ่ย
เซียวลิ่วหลังคิดว่ากู้เจียวน่าจะกำลังผสมยาอยู่ เลยไม่พูดอะไรต่อ
กู้เจียวยังคงปั้นดินปืนสีดำต่อไป ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเซียวลิ่วหลังทำท่าดูเหมือนมีเรื่องจะพูด จึงถามออกไป “มีอะไรอีกไหม”
“…ไม่มี” เซียวลิ่วหลังตอบ
ช่างเถอะ ไว้หาคนให้เจอก่อนค่อยว่ากัน
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เซียวลิ่วหลังต้องเข้าไปในวังเพื่อบรรยายให้ไท่จื่อ ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องเรียน เขาได้ยินว่ามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวังหลัง กลายเป็นว่า หัวหน้าจางเสียชีวิตในห้องพักส่วนตัว ฮ่องเต้ทรงกริ้วและทั้งวังกำลังมุ่งหน้าไปยังวังหลัง
“ใครเสียชีวิตรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามขันทีที่อยู่ประจำในห้องศึกษา
“หัวหน้าข้าหลวงจางน่ะขอรับ ฉลองพระองค์ของฝ่าบาทล้วนแต่มาจากฝีมือนางทั้งหมดเลย วันก่อนยังทรงเอ่ยถึงนางอยู่เลยขอรับ…”
เซียวลิ่วหลังไม่รู้มาก่อนว่าหัวหน้าจางเป็นข้าหลวงคนสำคัญของฮ่องเต้ เพราะจี้จิ่วอาวุโสเองก็ไม่ได้พูดอะไรเลย แน่นอนว่าเขาเองก็อาจไม่รู้เรื่องนี้
แต่ที่แปลกก็คือ เมื่อวานเขาเพิ่งไปเจอหัวหน้าจางมาอยู่เลย จู่ๆ วันนี้ก็ดันเกิดเรื่องขึ้นกับนางเสียอย่างนั้น