สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 339 หนูน้อยกู้ (1)
บทที่ 339 หนูน้อยกู้ (1)
ไท่จื่อเฟยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
เซียวลิ่วหลังจ่ายเงินเสร็จก็พากู้เจียวกลับไป
แม้ตอนนี้สีหน้าท่าทางจะไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด แต่เซียวลิ่วหลังกลับดูออกว่านางเมาแล้วจริงๆ
แค่…แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม
เซียวลิ่วหลังจูงมือน้อยๆ ที่อ่อนนุ่มแต่ก็มีตุ่มด้านของนาง ก่อนสาวเท้าออกจากร้านอาหาร
ไท่จื่อเฟยเห็นทั้งสองเดินคู่กันกระหนุงกระหนิงไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง พลันรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
แม้ว่าสตินางจะบอกว่านี่ไม่ใช่อาเหิง เป็นเพียงลูกชายนอกสมรสต่ำต้อยคนหนึ่ง แต่นางก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าหากอาเหิงยังมีชีวิตอยู่จะเติบโตมาเป็นบุรุษน่าหลงใหลเช่นนี้หรือไม่
ไม่ได้หมายความว่าอาเหิงคนก่อนรูปงามไม่พอ แต่เซียวเหิงในเวลานั้นมีกลิ่นอายของความเยาว์วัย เป็นเด็กรูปงาม แม้จะสดใสเปล่งประกายได้แต่ก็ไม่ได้ชวนให้คิดไปทางชู้สาว
ไม่เหมือนเซียวลิ่วหลังในยามนี้ที่มีกลิ่นอายเฉพาะระหว่างเด็กหนุ่มกับบุรุษ หน้าตาของเขา รังสีที่แผ่ซ่านออกมาของเขา หรือแม้แต่ความเย็นชาที่ผลักไสทุกคนออกไปไกลนับพันลี้ ล้วนทำให้สตรีหลงใหลทั้งสิ้น
รูปร่างเขาคล้ายจะสูงกว่าไท่จื่อนิดหน่อย ก่อนที่เซียวเหิงจะตายยังสูงไม่ถึงคางไท่จื่อเลย
“หลินหลัง” ไท่จื่อเรียกนาง
ไท่จื่อเฟยกะพริบตาปริบๆ “ผ้าเช็ดหน้าข้าสกปรกแล้ว ข้าจะไปเปลี่ยนผืนใหม่ที่รถนะเพคะ”
นางบอกพลางลุกขึ้นเดินออกไป
นางไม่ได้ขึ้นรถม้า แต่เดินตามไปทางที่เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวจากไป
ทั้งคู่เลี้ยวไปยังตรอกเล็กๆ กู้เจียวก็ไม่เดินต่อ นางนั่งย่อตัวแล้ววาดเขียนบนพื้น
เซียวลิ่วหลังมองนางอย่างขำขัน “เหตุใดจึงไม่เดินเล่า”
กู้สามขวบ “เดินไม่ไหวแล้ว”
เซียวลิ่วหลัง “แล้วจะทำเช่นไรดี”
กู้สามขวบ “ต้องจุ๊บๆ ก่อนถึงจะเดินต่อได้”
เซียวลิ่วหลังนั่งลงตาม ดวงตามองนางอย่างลุ่มลึก “เจ้าแน่ใจรึ”
กู้สามขวบพยักหน้า
เซียวลิ่วหลังจุมพิตตรงหน้าผากนาง
กู้สามขวบลุกขึ้นแต่ก็ยังไม่ยอมเดินต่อ
จุ๊บๆ เดียวไม่พอ
เมื่อไท่จื่อเฟยเดินตามมาถึงตรอกก็เห็นทั้งคู่กำลังกระหนุงกระหนิงกันอยู่
ในตรอกมืดสลัว เงาร่างของสองคนคลอเคลียกัน เซียวลิ่วหลังดันนางชิดกำแพง มือหนึ่งอ้อมแผ่นหลังนางไปโอบรอบเอวบางของนางไว้ กักกอดร่างทั้งร่างของนางไว้ในอ้อมอก อีกมือจับท้ายทอยนางไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงบังนาง
แม้จะมีม่านราตรีสีทะมึนขวางกั้น แต่ไท่จื่อเฟยก็ยังสัมผัสได้ถึงความหวงแหนและความอบอุ่นของชายผู้นั้น
บนร่างเขามีกลิ่นอายน่าเกรงขามอันรุนแรง แต่กลับถูกกดทับไว้อย่างระแวดระวัง
นี่เขา…นี่เขา….
“หลินหลัง หลินหลัง หลินหลัง!”
ไท่จื่อเขย่าไหล่ไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยพลันได้สติ นางเดินกลับมายังข้างกายไท่จื่อแล้ว แต่ในสมองนางมีแต่ภาพที่เซียวลิ่วหลังก้มหน้าลงจูบกู้เจียว
นางอยู่ไกลจึงเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่บรรยากาศคลุมเครือนั่นกลับเหมือนเปลวเพลิงลามท่วมไปทั้งอกนางไปหมด
นางตั้งสติ ก่อนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ฝ่าบาท”
ไท่จื่อมองนางอย่างงุนงง “อาหารเย็นชืดหมดแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่กินเล่า เมื่อครู่ข้าเรียกเจ้าอยู่ตั้งนานเจ้าก็ไม่ได้ยิน เจ้ามัวแต่คิดอะไรอยู่จึงได้ใจลอยเพียงนั้น”
“ข้า…” ไท่จื่อเฟยพลันพูดไม่ออก สมองนางยุ่งเหยิงไปหมด
ไท่จื่อขมวดคิ้ว “เพราะเซียวลิ่วหลังใช่หรือไม่ พอเจ้าเห็นเขาก็เหมือนวิญญาณออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น เจ้านึกถึงอาเหิงใช่หรือไม่ เจ้ายังไม่ลืมอาเหิงจริงๆ ด้วย!”
ไท่จื่อเฟยหลบตาลงแล้วเอ่ย “ฝ่าบาทระงับโทสะด้วย เมื่อครู่ข้าไม่ได้คิดถึงเขา แต่กำลังคิดถึงแม่นางข้างกายเขาเพคะ”
“สตรีอัปลักษณ์ที่ใบหน้ามีปานน่ะรึ” ไท่จื่อยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เพื่อลบล้างความสงสัยที่ตนคิดถึงอาเหิงให้หมดสิ้น ไท่จื่อเฟยจำต้องฝืนเปลี่ยนเรื่องไปที่กู้เจียวแทน “ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่านางเป็นใคร”
“ใครรึ” ไท่จื่อถามอย่างไม่ใส่ใจ
ไท่จื่อเฟยเอ่ย “นางอยู่กับเซียวซิวจ้วน ไท่จื่อไม่สงสัยหรือว่านางเป็นใคร”
ไท่จื่อเอ่ยอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “หากไม่ใช่ภรรยาเขาก็คงเป็นอนุของเขานั่นแหละ หรือไม่ก็เป็นหญิงชู้รักที่ไม่เขาการเอางานตามรายทาง เรื่องพรรค์นี้ข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าสนใจหรอก ที่ข้าสนใจก็คือเซียวลิ่วหลังผู้นี้ดีร้ายอย่างไรก็เป็นจอหงวนคนใหม่ เหตุใดจึงหาสตรีที่ไม่เอาไหนเช่นนี้”
“นางเป็นคุณหนูของจวนอันติ้งโหว” ไท่จื่อเฟยบอก
ไท่จื่อชะงัก “คุณหนูตระกูลกู้อย่างนั้นรึ ข้าเคยเจอคุณหนูตระกูลกู้มาก่อน นางไม่ได้หน้าตาเช่นนี้นะ!”
ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงนุ่ม “ที่ฝ่าบาทเห็นนั่นคุณหนูรองเพคะ เป็นสตรีชนบทที่โดนอุ้มมาผิดตั้งแต่เด็กๆ เมื่อครู่นี้ต่างหากที่เป็นบุตรสาวสายตรงของจวนโหวที่แท้จริง”
“อ๋อ” ไท่จื่อพลันกระจ่าง “ข้านึกออกแล้ว เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ ด้วย”
ไม่แปลกที่ไท่จื่อจะไม่ใส่ใจ แต่เมืองหลวงผู้คนมากมาย ตระกูลใหญ่โตมีดาษดื่นยิ่งกว่าเรื่องนินทา เขาเพียงแค่ฟังแกล้มมื้ออาหารก็ลืมไป ไหนเลยจะไปใส่ใจจำ
ไท่จื่อขมวดคิ้ว “แล้วนาง…”
ไท่จื่อเฟยเอ่ย “นางเป็นภรรยาของเซียวลิ่วหลัง ทั้งคู่รู้จักกันที่ชนบท และแต่งงานกัน หลังจากแต่งแล้วจึงได้รู้ว่าเป็นคุณหนูที่อุ้มมาผิด”
ไท่จื่อแค่นเสียง “เหตุใดดูแล้วเซียวลิ่วหลังจึงโชคดีไม่น้อยเลยเล่า ไอ้เป๋บ้านนอกคนหนึ่ง สู่ขอสตรีชนบทมาเป็นเมียดันได้คุณหนูตระกูลโหวมา แม้ว่าจะอัปลักษณ์ไปบ้าง แต่อย่างไรเสียฐานะก็ไม่เลว”
ไท่จื่อเฟยหยุดเว้นแล้วเอ่ยต่อ “แต่หม่อมฉันได้ยินว่าคุณหนูกู้ผู้นี้ไม่เคยกลับจวนตระกูลกู้สักครั้งเลย”
“เหตุใดจึงไม่กลับเล่า” ไท่จื่อถามอย่างสงสัย
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” ไท่จื่อเฟยส่ายหน้า
ไท่จื่อครุ่นคิด “บางที่อาจเป็นเพราะยอมรับนางออกหน้าออกตาไม่ได้ จวนติ้งอันโหวกลัวจะขายหน้ากระมัง”
ไท่จื่อเฟยส่ายหน้าน้อยๆ “ไท่จื่อทราบเรื่องเครื่องสูบลมหรือไม่…”
พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง หน้าประตูร้านก็มีเสียงหัวเราะแจ่มใสลอยมาว่า “พี่รอง!”
“เจ้าสี่!” ไท่จื่อดวงตาเป็นประกาย รีบกวักมือเรียกเขา “เจ้ามาได้อย่างไร รีบมานั่งเร็วเข้า!”
“ข้าได้ยินว่าร้านพวกเขาเปิดใหม่น่ะสิ บังเอิญเดินผ่านมาทางนี้พอดี ไม่คิดว่าพี่รองก็จะอยู่ที่นี่ด้วย” องค์ชายสี่เดินมาหน้าโต๊ะของทั้งคู่ ก่อนประสานมือคำนับให้ไท่จื่อเฟย “พี่สะใภ้รอง”
ไท่จื่อเฟยยิ้มจางๆ พลางพยักหน้ารับ
สองพี่น้องสนทนากัน หัวข้อสนทนาเมื่อครู่จึงไม่ได้คุยกันต่อ
ไท่จื่อเฟยจิบสุราดอกกุ้ยฮวาในจอกอยู่เงียบๆ
อีกด้านหนึ่ง เซียวลิ่วหลังพาคนบางคนกลับมาถึงบ้าน
สุราดอกกุ้ยฮวาครั้งนี้ฤทธิ์แรงนัก ไม่เหมือนเหล้าที่เซียวลิ่วหลังนำกลับมาจากหัวเมือง ทั้งยังคนละชั้นกับเหล้าดอกสาลี่ที่กู้เฉิงเฟิงหมักเลยด้วยซ้ำ พอมาถึงบ้านกู้เจียวก็แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว
นางล้มตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วเสียงกรนในทันใด!
ครานี้กู้เจียวหลับลึกมากทีเดียว เมื่อตื่นขึ้นมาพวกผู้ชายในบ้านก็ไปทำงานไปเรียนหนังสือกันหมดแล้ว
อวี้หยาร์ยกน้ำแกงแก้เมาค้างเข้ามาให้ “คุณหนูใหญ่ท่านฟื้นแล้วหรือ ก่อนท่านชายจะออกไปสั่งข้าว่าพอท่านตื่นแล้วต้องให้ท่านดื่มน้ำแกงแก้เมาค้างชามนี้ให้ได้เจ้าค่ะ”
กู้เจียวหายแล้ว แต่ในเมื่อเป็นเจตนาของสามี นางจึงยอมดื่มอย่างว่าง่าย