สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 344 เริ่มสงสัย
บทที่ 344 เริ่มสงสัย
แน่นอนว่าคนของตำหนักฮว๋าชิงไม่กล้าถวายอาหารสุ่มสี่สุ่มห้าให้องค์ชายเจ็ดเป็นแน่
ฮองเฮาหันหน้าไปหาฮ่องเต้ พบว่าฮ่องเต้เองก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน
ถ้าเช่นนั้น คนที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด ก็น่าจะเหลืออยู่แค่คนเดียว
เซียวฮองเฮาพยายามกัดฟันแน่นไม่หลุดพูดอะไรแล้วเดินไปที่เตียงโผกอดฉินฉู่อวี้
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วและถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
กว่าฮ่องเต้จะเสด็จกลับมาที่ตำหนักหวาชิงก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ส่วนฉินฉู่อวี้ที่ผ่านเรื่องผ่านราวมาทั้งคืนตอนนี้ก็ได้นอนหลับปุ๋ยพร้อมกับละเมอไม่ให้เสด็จพ่อลงโทษเขา
เซียวฮองเฮาได้แต่มองดูองค์ชายเจ็ดไปน้ำตาไหลพรากไป
“ฝ่าบาทระวังพื้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงถือโคมไฟนำทางฮ่องเต้กลับตำหนัก
พอมาถึงหน้าทางขึ้นบันไดก็ชะลอก่อนที่จะก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง
ที่ปลายสุดของทางเดิน มีร่างผอมบางของใครบางคนยืนอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นจิ้งไท่เฟย “มันดึกมากแล้ว ทำไมเสด็จแม่ไม่พักผ่อน”
ในมือของจิ้งไท่เฟยกำลูกกระวาน ไม่สามารถซ่อนความกังวลในดวงตาได้ “ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับองค์ชายเจ็ดรึ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เอ่อ องค์ชายเสวยอาหารเยอะเกินขนาดเลยปวดท้อง ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”
“บาปแท้” จิ้งไท่เฟยกำลูกกระวานพร้อมกับหลับตาลง “หากข้ารู้เร็วกว่านี้ว่ามื้อเย็นทานไปเยอะ ข้าจะไม่ถวายขนมกุ้ยฮวากับน้ำบ๊วยเป็นอันขาด”
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “เสด็จแม่อย่าได้โทษตัวเองเลย องค์ชายเจ็ดเป็นเด็กตะกละ ถึงได้อ้วนท้วมแบบนั้น”
“ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้” จิ้งไท่เฟยเอ่ย
ดวงตาของจิ้งไท่เฟยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แม้ว่าในตอนแรกฮ่องเต้จะกังวลเล็กน้อย แต่ตอนนี้พระองค์กลับรู้สึกเป็นทุกข์หนักกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่ได้พาเสด็จแม่กลับมาที่วังเพื่อทำให้นางต้องมาลำบากใจเช่นนี้นะ
จิ้งไท่เฟยถวายของว่างให้องค์ชายก็มิใช่ความผิดร้ายแรงอันใด
ที่ทำไปก็คงเพราะความเอ็นดูล้วนๆ
ฮ่องเต้ตรัส “อาการของเสด็จแม่ยังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า แล้วข้าจะให้องค์ชายมาเยี่ยมเมื่อหายดี”
“อืม” จิ้งไท่เฟยพยักหน้า
ฮ่องเต้เสด็จไปห้องทรงอักษรเพื่อทบทวนฎีกาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสด็จไปพักผ่อน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกังวลมากเกินไปหรือไม่ คืนนั้นฮ่องเต้ทรงบรรทมไม่สนิท ราวกับรู้สึกเหมือนมีคนผลักประตูเข้ามาอยู่ตลอด
พระองค์พยายามลืมตาเท่าไหร่ก็ลืมไม่ขึ้น ทั้งพยายามเรียกบ่าวไในวังแต่พบว่าตัวเองไม่สามารถส่งเสียงได้
ฮ่องเต้ลองพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับพบว่าเขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงราวกับมีอะไรบางอย่างมากดทับร่างไว้
หนังตาทั้งสองข้างพยายามอย่างหนักที่จะลืมขึ้นให้ได้ และจู่ๆ ก็มีเงาดำมืดขยับเข้ามาใกล้ๆ
เงาประหลาดที่กำลังเคือบคลานเข้ามาใกล้ๆ สร้างความหวาดกลัวให้ฮ่องเต้
ยิ่งเงานั้นเข้าใกล้มากขึ้น ฮ่องเต้ก็สังเกตเห็นว่าในมือของเงานั้นกำลังยกกริชขึ้นช้าๆ
คมกริชที่กระทบแสงเทียนสว่างวาบจนแยงสายตา
ใครกันนะ
ฮ่องเต้พยายามจะตะโกนถาม แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะดูเป็นอัมพาตไปหมด
ความรู้สึกผวาถาโถมเข้ามาในพระทัย
ในที่สุด เงานั้นก็นั่งลงข้างเตียง ยกกริชขึ้นสูงและแทงไปที่หัวใจของพระองค์!
ในจังหวะนั้น พระองค์ก็ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
“เสด็จแม่”
ฮ่องเต้กรีดร้องและตื่นขึ้นในทันใด
กายของพระองค์เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น เม็ดเหงื่อไหลลงมาที่หน้าผาก หัวใจเต้นแรง หายใจไม่เป็นจังหวะ ความหวาดกลัวจากฝันร้ายยังคงอยู่ในดวงตาของพระองค์
เว่ยกงกงลุกขึ้นจากที่นอน เดินไปเปิดม่านและถามอย่างเป็นห่วง “ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฮ่องเต้ทำให้เขาตื่นตระหนก
เขารีบแขวนผ้าม่านบนตะขอ ก่อนจะเดินไปเพิ่มไฟในตะเกียงให้สว่างขึ้น แล้วเดินกลับมาที่แท่นบรรทมของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เจ็บปวดตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นนั่ง หอบเหนื่อย เช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยแขนเสื้อพลางเอ่ย “เราสบายดี เราแค่ฝันร้าย”
มันไร้สาระเกินไปที่เขาจะฝันว่าจิ้งไท่เฟยจะปลิดชีพตน
ว่ากันว่าหากคิดอะไรมากๆ พอตกกลางคืนก็ย่อมฝันเช่นนั้น หรือเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์เริ่มสงสัยในตัวจิ้งไท่เฟยขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นรึ
เช่นนั้นเขาคงเป็นลูกเนรคุณ
บนโลกนี้ใครจะมาทำร้ายตนก็ได้ แต่ไม่ใช่กับจิ้งไท่เฟยแน่นอน
เว่ยกงกงพูดอย่างจริงจัง “ฝ่าบาทมีภาระงานมากมายต้องสะสาง ไหนจะมีเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายในวังหลัง กระหม่อมคิดว่าแรงกดดันมากเกินไป ฝ่าบาททรงต้องดูแลพระวรกายให้ดี กระหม่อมไม่รู้ว่าจะได้อยู่ดูแลพระองค์ได้อีกสักสองสามปีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โต้กลับด้วยความโกรธ “เจ้าอายุเท่าไหร่เอง เหตุใดจึงเอ่ยกับเราเช่นนี้ล่ะ ขนาดฉินกงกงยังไม่เห็นพูดแบบนี้กับจวงไทเฮาเลย! ”
ฮ่องเต้เป็นคนประเภทรักใครรักนาน ในวันที่ฮ่องเต้ตกต่ำ ก็มีเว่ยกงกงที่คอยอยู่เคียงข้างเขา ฮ่องเต้จึงจดจำแต่เรื่องดีๆ ของเว่ยกงกง
เว่ยกงกงยิ้มให้ฮ่องเต้ พลางตอบ “พ่ะย่ะค่ะ”
พลางคิดในใจ เดี๋ยวนี้พระองค์เอ่ยชื่อไทเฮาบ่อยเหลือเกินนะพ่ะย่ะค่ะ
พอเจอฝันร้ายเข้าก็ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับนอนต่อไม่ลง แต่ก็ล้าเกินกว่าจะเสด็จไปที่ห้องทรงอักษร จึงวานให้เว่ยกงกงช่วยนำฎีกามาไว้ที่ห้องบรรทมแทน
เว่ยกงกงจึงวานให้ขันทีอีกสองคนช่วยถือหนังสือและฎีกาต่างๆ ไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วจุดตะเกียงเพื่อเพิ่มความสว่าง
หลังจากฮ่องเต้อาบน้ำและเปลี่ยนฉลองพระองค์เสร็จเรียบร้อย ก็มานั่งอ่านกองฎีกาเหล่านี้ต่อ
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” ฮ่องเต้เอ่ยกับเว่ยกงกง
แม้เว่ยกงกงอายุไม่เท่าฉินกงกง แต่เขาก็ยังแก่กว่าฮ่องเต้ไม่กี่ปี แม้ท้ายที่สุดฮ่องเต้จะรับฟังคำพูดของเขาเพราะรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีกับร่างกายของตัวเองแน่ๆ
มีหรือที่เว่ยกงกงจะไม่รู้ใจฝ่าบาท เขาจึงหัวเราะพลางตอบกลับ “กระหม่อมก็พูดไปอย่างนั้น โปรดฝ่าบาทอย่าได้คิดมากเลย กระหม่อมยังร่างกายดีอยู่ และตอนนี้กระหม่อมเองก็ไม่ได้รู้สึกง่วงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รู้ดีว่าต่อให้ไล่เว่ยกงกงให้ไปนอนตอนนี้เขาคงทำไม่ลง จึงไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากที่ฮ่องเต้ก้มหน้าก้มตาทำงาน ความคิดเรื่องฝันร้ายเมื่อครู่นี้ก็ค่อยๆ จางหายไป
หลังจากผ่านช่วงฤดูฝน ทำให้จำนวนคนไข้เริ่มเยอะขึ้น โรงหมอจึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน วันนี้กู้เจียวต้องไปตรวจนอกสถานที่ถึงสองที่ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน
หลังจากที่ตรวจคนไข้เรือนแรกเสร็จ กำลังมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังที่สอง กู้เจียวก็ได้เดินผ่านที่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นชมรมหมากรุก
โดยทั่วไปแล้ว ชมรมหมากรุกเป็นสถานที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ชมรมหมากรุกแห่งนี้กลับคึกคักมากในวันนี้ เต็มไปด้วยผู้คนทั้งในและนอก
กู้เจียวยืนมองด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ด้วยความที่ยังมีคนไข้รออยู่ จึงเลือกที่จะไม่สนใจ
มีการแข่งขันนัดยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในชมรมหมากรุก และสาเหตุที่มันใหญ่โตก็เพราะหนึ่งในผู้เล่นหมากรุกเป็นนักพรตเขาเหมาซานที่มีชื่อเสียงมากเมื่อไม่นานมานี้
นักพรตเขาเหมาซานอายุราวๆ สี่สิบปี เขาไม่ใช่คนในเมืองหลวงแต่เพิ่งเดินทางมาที่เมืองหลวงเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากทักษะการเล่นหมากรุกชั้นยอดของเขา เขาจึงได้รับเชิญจากชมรมหมากรุกหลายๆ แห่ง แม้กระทั่งครอบครัวที่ร่ำรวยก็เชิญเขาให้เล่นหมากรุก
เขามีสถานะทางสังคมสูงส่งและผู้เล่นหมากรุกทุกคนในเมืองหลวงต่างภูมิใจที่ได้เล่นกับเขา หากพวกเขาโชคดีพอที่จะเอาชนะเขาได้สักครั้งหรือสองครั้ง สามารถโอ้อวดไปได้อีกหลายปี
น่าเสียดายที่ยังไม่มีใครเอาชนะเขาได้
ไท่จื่อเฟยทรงเป็นปรมาจารย์ด้านหมากรุก แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองยังไม่เคยเล่นด้วยกันเลย
นักพรตเขาเม่าซานเล่นกับผู้เล่นเพียงหนึ่งคนต่อวัน และบุคคลนั้นต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อรอบหรือเอาชนะผู้เล่นทั้งหมดในชมรมหมากรุกในวันนั้นเพื่อให้มีสิทธิ์เล่นกับเขา
ซึ่งผู้เล่นหมากรุกที่นั่งตรงข้ามเขาตอนนี้เป็นคนประเภทหลัง
ลักษณะของเขาดูไม่เหมือนผู้เล่นหมากรุกเสียทีเดียว แทบจะเหมือนขอทานแก่เสียด้วยซ้ำ
ชายชราขอทานเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งนั่งลงตรงหน้านักพรตเขาเม่าซาน
ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก
ไม่ว่าผู้ชมจะมาดูการแข่งขันหรือเพื่อชมความสนุกก็ตาม แต่ตอนนี้ทั้งห้องเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบจะไม่มีช่องให้หายใจ
ขณะเดียวกัน ในห้องข้างๆ นางข้าหลวงที่แต่งตัวเป็นสามัญชนพูดกับไท่จื่อเฟย “ขอทานเฒ่ากำลังท้าประลองหมากรุกกับนักพรตเขาเม่าซานเพคะ หากนักพรตท่านนั้นชนะ ก็จะได้เข้าพบกับท่านเพคะ”
“ไม่ต้องรีบร้อนไป” ไท่จื่อเฟยเอ่ยยั้ง “รอให้แข่งกันเสร็จก่อนแล้วกัน”
นางมาที่นี่เพื่อมาเล่นหมากรุกเท่านั้น
ไท่จื่อเฟยเคยได้ยินมาว่านักพรตผู้นี้มีฝีมือเก่งกาจ นางจึงต้องรักษาระดับของตัวเองไว้ เพื่อให้ได้เล่นกับผู้เล่นหมากรุกที่มีทักษะสูง
แต่ที่น่าประหลาดใจ ก็คือขอทานชรากลับชนะนักพรตในท้ายที่สุด
นางข้าหลวงถึงกับอุทาน “เป็นไปไม่ได้ นักพรตเขาเม่าซานแพ้รึ”
“มีชนะย่อมมีแพ้เป็นเรื่องธรรมดา” ไท่จื่อเฟยไม่เคยเข้มงวดกับใครเว้นเสียแต่ตัวเองเท่านั้น
นางข้าหลวงเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้น… ไท่จื่อเฟยยังอยากแข่งกับเขาผู้นั้นอยู่ไหมเพคะ”
“อืม” ไท่จื่อเฟยไม่ตัดสินใจจากการแพ้หรือชนะ เข้าใจดีว่าคนเราย่อมมีดวงหรือโชคชะตาที่ต่างกันออกไป ให้เขาเข้ามาเล่นหมากรุกกับข้าสองสามตาก็แล้วกัน”
“เพคะ!”
ไท่จื่อเฟยและนักพรตได้มีโอกาสแข่งด้วยกันไม่กี่ตา ฝีมือการเล่นของนักพรตนั้นเรียกได้ว่าไม่เลวเลย ไท่จื่อเฟยได้เรียนรู้อะไรจากเขาไปไม่น้อย เพียงแต่ระดับของเขายังไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นเซียนในอุดมคติของไท่จื่อเฟย
แต่ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าในแคว้นเจายังไม่มีใครฝีมือดีไปมากกว่าเขาแล้ว
“ขอบใจท่านมาก วันหลังข้าจะมาเล่นอีก” ไท่จื่อเฟยเอ่ยขอบคุณนักพรตอย่างเกรงใจ ก่อนจะเดินออกจากชมรมหมากรุกไป
พอขึ้นนั่งบนรถม้าได้ไม่ทันไร นางข้าหลวงก็เกิดร้องอุทานออกมา “ไท่จื่อเฟยเพคะ ดูนั่นสิ!”
ไท่จื่อเฟยมองตามที่นางข้าหลวงชี้ไปให้ดู ก็เห็นขอทานชรากับเด็กสาวชุดเขียวพร้อมตะกร้าใบเล็กบนหลังนั่งยองๆ ที่มุมถนน
“นั่นนางใช่ไหม” ไท่จื่อเฟยเอ่ยถามอย่างงุนงง
“ใช่นางแน่ๆ เพคะ!” นางข้าหลวงคิดว่าไท่จื่อเฟยกำลังเอ่ยถึงชายชราขอทาน “นางคือคนที่เล่นชนะนักพรตเขาเม่าซานเจ้าค่ะ!”
ไท่จื่อเฟยเอาแต่จับจ้องไปที่กู้เจียว ไม่ได้สนใจชายชราขอทานเลยแม้แต่นิด
ภาพที่นางเห็นในตรอกในคืนนั้นยังคงตราตรึงในความทรงจำ และเมื่อใดก็ตามที่นางเจอกับกู้เจียว ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพวันนั้นที่เซียวลิ่วหลังค้ำนางติดกำแพง
ความร้อนรุ่มถาโถมเข้ามาภายในใจของจิ้งไท่เฟย
กู้เจียวกำลังเล่นหมากรุกกับชายแก่ขอทาน
วันนี้กู้เจียวไม่ได้สวมหน้ากาก แต่ขอทานชราจำเสียงกู้เจียวได้
วันนี้ขอทานชราไม่ได้เล่นแบบปั่นประสาทแบบที่เขาเคยเล่น เขาลงเล่นอย่างจริงจัง จนในที่สุดกู้เจียวก็แพ้เขาจนได้
ขอทานแก่หัวเราะ “เป็นอย่างไรเล่า เห็นถึงความเก่งกาจของข้าแล้วหรือยัง!”
กู้เจียวทำหน้างอลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน มาเล่นต่อสิ!” ขอทานชราเอ่ยรั้งไว้
“สิบตำลึง” กู้เจียวหันไปทำหน้าบึ้งใส่
ขอทานชรา “…”
กู้เจียวหยิบเงินแล้วเดินจากไป ผ่านรถม้าของไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยเห็นดังนั้นจึงรีบเปิดผ้าม่านแล้วเรียกกู้เจียว “ท่านหมอกู้ โปรดหยุดก่อน”
กู้เจียวหันไปมองด้วยสายตาเฉยเมยและสีหน้าที่สงบราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำให้ตนประหลาดใจ
“มีเรื่องอันใดหรือ”
ไท่จื่อเฟยไม่รู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของกูเจียวเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยอมรับเสียทีเดียว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นไท่จื่อเฟย ส่วนอีกฝ่ายเป็นแค่หมอหญิงสามัญชนเท่านั้น
ไท่จื่อเฟยระงับความกังวลและพูดอย่างใจเย็น “หากท่านหมอกู้ชอบเล่นหมากรุก ลองไปที่ชมรมหมากรุกดูสิ จะได้ไม่ต้องอยู่กับขอทานข้างถนน ท่านหมอเป็นถึงบุตรสาวของ ติ้งอันโหว อีกทั้งเป็นภรรยาของท่าน…เซียว…เซียวจอหงวน ซ้ำยังเป็นคนสนิทของไทเฮา จะทำการใดโปรดระวังสถานะของตนเองด้วย”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านด้วยล่ะ” กู้เจียวย้อนถามกลับ
นางข้าหลวงออกตัวแทน “เจ้าพูดจาแบบนี้ได้อย่างไร ไท่จื่อเฟยเห็นแก่เจ้าหรอกนะถึงได้เอ่ยเตือนน่ะ!”
กู้เจียวเอ่ยกลับ “ข้าต้องให้นางมาเห็นแก่ข้าด้วยหรือ”
นางข้าหลวงถึงกับพูดไม่ออก “เจ้า…”
“ผิงเอ๋อร์!” ไท่จื่อเฟยขมวดคิ้วใส่นางข้าหลวง ส่วนนางข้าหลวงที่ชื่อผิงเอ่อร์ก็ขึงตาใส่กู้เจียว และไม่พูดอะไรต่อ
ไท่จื่อเฟยยังคงทำท่าใจดีสู้เสือและเอ่ยกับกู้เจียวต่อ “ถ้าแม่นางกู้ไม่รังเกียจ ข้าขอแนะนำให้แม่นางกู้ไปเล่นที่ชมรมหมากรุก มีชมรมหมากรุกชื่อดังหลายแห่งในเมืองหลวง เช่นชมรมหมากรุกชิงฮวนที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ก็ไม่เลวเลย แน่นอน ถ้าแม่นางกู้อยากหาที่ใกล้ๆ กับโรงหมอ สามารถไปเล่นที่ชมรมฮ่าวเทียนได้”
“ไม่เป็นไรหรอก” กู้เจียวเอ่ยจบก็เดินออกไปโดยไม่ลาสักคำ
ผิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยความโกรธ “นางทำเกินไปแล้ว! แม้นางจะเป็นที่โปรดปรานของจวงไทเฮา แต่นางจะทำตัวไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ! ”
ไท่จื่อเฟยกลับไม่โกรธอะไร นางเคยเห็นคนเอาแต่ใจและหยิ่งผยองมาตั้งมากมาย การเป็นคนดีชั่วขณะหนึ่งไม่สำคัญ แต่การเป็นคนดีชั่วชีวิตต่างหากคือทักษะที่ต้องฝึกฝนไปตลอด
ดูอย่างกรณีกู้จิ่นอวี้เป็นตัวอย่างสิ จากจุดสูงสุดมาอยู่จุดที่ตกอับสุด ทำให้ท่าทีของผู้คนที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ที่นางยังอยู่รอดมาได้ก็เพราะถูกคลุมถุงชนกับอันจวิ้นอ๋อง
อย่างน้อยกู้จิ่นอวี้นั้นเป็นคนมีนิสัยอ่อนโยน นอบน้อม มีความรู้ความสามารถ
เทียบกับแม่นางกู้คนนี้แล้วเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
แล้วอย่างนี้จะหยิ่งผยองได้สักกี่น้ำกันเชียว